นับเป็นข่าวที่สะเทือนวงการอีคอมเมิร์ซอยู่ไม่น้อย เมื่อ JD.com, Inc. ยักษ์อีคอมเมิร์ซเบอร์ 2 ของแดนมังกร ประกาศยุติกิจการร่วมทุนใน 2 ประเทศพร้อมกันคือไทยและอินโดนีเซีย เนื่องจากเปลี่ยนกลยุทธ์ในต่างประเทศไปสู่บริการซัพพลายเชนและโลจิสติกส์
JD.ID ในอินโดนีเซียจะหยุดรับคำสั่งซื้อตั้งแต่กลางเดือนกุมภาพันธ์ และบริการทั้งหมดจะหยุดให้บริการภายในสิ้นเดือนมีนาคม ในขณะที่ JD CENTRAL ในประเทศไทยจะหยุดดำเนินการตั้งแต่วันที่ 3 มีนาคม ตามแถลงการณ์บนเว็บไซต์ของธุรกิจ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- JD.com อีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ของจีน เล็งถอนตัวจากการร่วมทุนในไทย-อินโดนีเซีย หลังตลาดซบเซา แบกขาดทุนมาหลายปี
- ถอนทุน 100%! ‘เซ็นทรัล’ เตรียมหย่าขาด JD.com พร้อมอาจเปลี่ยนชื่อ JD Central เป็น JD Commerce คาดเกิดขึ้นภายในปีนี้
- จับตา ‘เซ็นทรัล’ ลดบทบาทใน JD Central เปิดทาง ‘จีน’ เข้ามา หลัง 5 ปีขาดทุน 5.6 พันล้านบาท
Bloomberg รายงานว่า JD.com เป็นคู่แข่งรายใหญ่ที่สุดของ Alibaba Group Holding ได้เปลี่ยนทิศทางธุรกิจระหว่างประเทศไปสู่บริการต่างๆ เช่น การจัดการซัพพลายเชนและคลังสินค้า
โดย JD.com เป็นหนึ่งในยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีของจีนที่ควบคุมการใช้จ่ายเพื่อรับมือกับการเติบโตที่ชะลอตัว ซึ่งเป็นผลมาจากข้อจำกัดของโควิดในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา และการปราบปรามบริษัทอินเทอร์เน็ตของรัฐบาล
“JD.com จะยังคงให้บริการในตลาดโลก รวมถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผ่านทางโครงสร้างพื้นฐานของซัพพลายเชน” บริษัทระบุในอีเมล “เรากำลังพัฒนาในตลาดต่างประเทศ โดยมุ่งเน้นไปที่การสร้างเครือข่ายซัพพลายเชนข้ามพรมแดน โดยมีโลจิสติกส์และคลังสินค้าเป็นแกนหลัก”
ข่าวการยุติกิจการเป็นสิ่งที่พูดถึงมาหลายเดือนแล้ว โดยบริษัทจีนเข้าสู่ตลาดทั้งสองแห่งผ่านการร่วมทุนที่แยกจากกัน โดยมี Provident Capital ในอินโดนีเซีย และ Central Group ในประเทศไทย
ในอินโดนีเซีย JD.ID ตามหลัง Shopee, Tokopedia และ Lazada อย่างต่อเนื่อง ตามตัวเลขของ data.ai ทาง JD.ID มีผู้ใช้งานราว 1 ล้านคนในอินโดนีเซีย ขณะที่ Shopee มี 31 ล้านคน และ Tokopedia มี 17 ล้านคนในปี 2021 ในขณะเดียวกัน Shopee และ Lazada ก็ครองตำแหน่งในประเทศไทย โดยพบว่า JD CENTRAL ขาดทุนไม่น้อยกว่า 5.6 พันล้านบาท
อ้างอิง: