×

ตกหลุมรัก Kamakura ผ่านแผ่นฟิล์ม 3 เรื่อง เมืองเล็กเนิบช้าที่แสนจะดีต่อใจ

โดย Pogghi
08.09.2017
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

4 Mins. Read
  • คามาคุระ เป็นเมืองเล็กๆในจังหวัดคานางาวะ ห่างจากมหานครโตเกียวเพียง 60 กิโลเมตร
  • สัญลักษณ์สื่อแทนเมืองคามาคุระคือวัดโคโตกุ ซึ่งมี ‘พระพุทธรูปไดบุตสึ’ พระพุทธรูปสีเขียวสำริดขนาดมหึมา ทาบทาด้วยริ้วรอยซีดจางที่ผ่านกาลเวลามาเกือบ 800 ปี ครองสถิติอันดับที่ 2 ของพระพุทธรูปที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น และภายในวัดแห่งนี้ยังมี ‘ต้นสนทรงปลูก’ ซึ่งเกี่ยวข้องกับพระบรมราชจักรีวงศ์ของไทย
  • ไม่แปลกนักที่คามาคุระมีวัดน้อยใหญ่กระจัดกระจายไปทั่ว เพราะในยุคที่เป็นศูนย์กลางการปกครองนั้น โชกุนและเหล่านักรบต่างยึดมั่นในวิถีซามูไร เน้นความเรียบง่ายและตั้งมั่นในศาสนาจนมีการขนานนามว่าเป็น ‘เกียวโตฝั่งตะวันออก’
  • รถไฟสายเอโนะเด็น ดำเนินกิจการมานับศตวรรษแล้ว แต่ทว่ากาลเวลากว่าร้อยปีไม่ได้ทำให้รถไฟสายนี้โบราณคร่ำครึ ตรงกันข้าม กลับกลายเป็นความคลาสสิกคู่เมือง

     คามาคุระ (Kamakura) เมืองเล็กๆ ใกล้โตเกียวที่อัดแน่นไปด้วยเสน่ห์ระดับ 5 ดาว ตั้งแต่ประวัติศาสตร์ยุคโชกุนเรืองอำนาจ ความสัมพันธ์กับกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ตำนานมังกรยักษ์ เส้นทางเดินป่า ชายหาดสุดคึกคักที่มีภูเขาไฟฟูจิเป็นฉากหลัง รถไฟคลาสสิกน่ารักที่สุดสายหนึ่งของประเทศ และสำหรับคอหนังญี่ปุ่น เมืองแห่งนี้คือเส้นทางตามรอยภาพยนตร์ดัง 3 เรื่องที่ทำให้ผมตกหลุมรักคามาคุระแบบ 3 ระยะ

 

 

ระยะไกล – Hana and Alice

     ภาพเคลื่อนไหวครั้งแรกที่เห็นเมืองคามาคุระปรากฏในฉากหนึ่งของภาพยนตร์เรื่อง Hana and Alice (2004) ผลงานของผู้กำกับสายอินดี้ ชุนจิ อิวาอิ ถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตวุ่นๆ ของวัยรุ่นสาวสองคน

     ฉากแสนสั้นประมาณ 5 นาที คือการพบกันระหว่าง ‘อลิซ’ สาวน้อยตัวเอกของเรื่องกับผู้เป็นพ่อซึ่งไม่ได้อยู่ด้วยกัน ทั้งคู่ใช้เวลาด้วยกันในร้านอาหาร เดินเล่นที่ศาลเจ้าและท่าเรือริมทะเล ก่อนจะกล่าวคำอำลา

     เป็น 5 นาทีที่ได้รู้จักกับคามาคุระอย่างผิวเผินเหลือเกิน… ไม่ต่างจากการไปเยือนในครั้งแรกของผม

 

 

     คามาคุระเป็นเมืองเล็กๆในจังหวัดคานางาวะ (Kanagawa) ห่างจากมหานครโตเกียวเพียง 60 กิโลเมตร ภาพลักษณ์ในปัจจุบันโดดเด่นในฐานะเมืองท่องเที่ยวตากอากาศยอดนิยม แต่หากย้อนอดีตกลับไประหว่างปี 1185-1333 สถานะของเมืองแห่งนี้ คือศูนย์กลางการเมืองการปกครอง เป็นส่วนหนึ่งในประวัติศาสตร์สำคัญของประเทศญี่ปุ่น เพราะเป็นจุดเริ่มต้นระบอบโชกุนโดยตระกูลมินาโมโตะ ทั้งยังเป็นยุครุ่งโรจน์ในวิถีแห่งซามูไร

     หากต้องการไปเยือนเมืองเก่าแห่งนี้ สามารถนั่งรถไฟสายท้องถิ่นจากโตเกียวเพียง 1 ชั่วโมงเศษก็ถึงที่หมาย ข้อมูลจากไกด์บุ๊กแทบจะทั้งหมดแนะนำโปรแกรมเที่ยวแบบไปเช้าเย็นกลับ ผมจึงทำตามคำแนะนำนั้นโดยออกจากโตเกียวตั้งแต่เช้า มุ่งหน้าไปสู่จุดหมายแรกที่เสมือนเป็นสัญลักษณ์สื่อถึงเมืองคามาคุระคือ วัดโคโตกุ (Kotoku) ซึ่งมี ‘พระพุทธรูปไดบุตสึ’ (Daibutsu) พระพุทธรูปสีเขียวสำริดขนาดมหึมา ทาบทาด้วยริ้วรอยซีดจางที่ผ่านกาลเวลาเกือบ 800 ปี ขนาดความสูง 13.35 เมตร ครองสถิติอันดับที่ 2 ของพระพุทธรูปที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น และภายในวัดแห่งนี้ยังมี ‘ต้นสนทรงปลูก’ ซึ่งมีเรื่องราวเกี่ยวข้องกับพระบรมราชจักรีวงศ์ของไทย

 

 

     ถัดจากนั้นหากเดินไปบนถนนเส้นเดียวกันจะเป็นที่ตั้งของ วัดฮาเสะเดระ (Hasedera) วัดที่มีชื่อเสียงของเจ้าแม่กวนอิมแกะสลัก และยังเป็นวัดที่มีภูมิทัศน์สวยงามละลานตาด้วยดอกไม้นานาพรรณจนได้รับการขนานนามว่า ‘วัดดอกไม้’

     หลังจบโปรแกรมชมวัด ผมมีเวลาซอกแซกไปตามถนนสายรองอีกนิด ไปแถวริมชายหาดอีกหน่อย แต่สภาพอากาศในช่วงเปลี่ยนจากฤดูใบไม้ผลิเข้าสู่ฤดูร้อนที่มักมีฝนโปรยปรายบ่อยครั้งบังคับให้เถลไถลไปไหนได้ไม่ไกลนัก จึงจำต้องกลับเข้าสู่โปรแกรมมาตรฐานตามไกด์บุ๊ก มุ่งหน้าสู่ เอโนะชิมะ (Enoshima) เกาะเล็กๆ ทางทิศตะวันตกของคามาคุระ จุดหมายปลายทางท่องเที่ยวยอดฮิตอีกแห่งที่มีเส้นทางเชื่อมเดินเท้าจากแผ่นดินใหญ่ไปถึงเกาะได้

     เกาะแห่งนี้มีตำนานเล่าว่า ครั้งหนึ่งมีมังกร 5 หัวออกมารุกรานชาวบ้าน จนกระทั่งเทพเจ้าเบนไซเท็น (Benzaiten) หนึ่งในเทพองค์สำคัญตามความเชื่อญี่ปุ่นปรากฏกายขึ้น ณ เกาะเอโนะชิมะ มังกรร้ายก็ตกหลุมรักและสำนึกผิดบาปที่เคยสร้างความเดือดร้อน จึงให้คำมั่นกับเทพเจ้าว่าจะขอปกปักรักษาเกาะแห่งนี้แทน

     ยังไม่ทันจะได้ละเลียดชมความงามบนเกาะได้อย่างเต็มอรรถรส ผืนฟ้ายามรัตติกาลก็เริ่มส่งสัญญาณว่าได้เวลากลับสู่เมืองหลวง ทำให้ ได้ข้อคิดให้กับตัวเองว่า ‘ความใกล้ของระยะทางอาจกลายเป็นความห่างไกลในความรู้สึก’ หากเราไม่มีโอกาสใช้เวลาให้มากพอ

 


ระยะกลาง – Midnight Sun
     ผมได้รู้จักคามาคุระผ่านภาพยนตร์อีกเรื่องคือ Midnight Sun (2006) ที่ใช้เมืองริมทะเลแห่งนี้ถ่ายทำ

     ‘อามาเนะ’ สาวน้อยผู้มีพรสวรรค์ทางด้านดนตรี มีความสุขกับการได้มอง ‘โคจิ’ จากหน้าต่างห้องนอนของเธอ เพราะโคจิมักจะมารอเพื่อนบริเวณป้ายรถประจำทางตั้งแต่รุ่งสางก่อนเดินทางไปเล่นเซิร์ฟเสมอ

     อามาเนะมองหนุ่มที่แอบปิ๊งในเวลาเช้ามืดจนกระทั่งมีโอกาสได้เจอกัน แต่ก็เฉพาะในยามค่ำคืน เนื่องจากอาการป่วยด้วยโรค Xeroderma Pigmentosum ที่ทำให้เธอไม่สามารถใช้ชีวิตภายใต้แสงอาทิตย์ได้

     การหลงรักใครสักคนแล้วมีโอกาสพบกัน แม้เป็นแบบครึ่งๆ กลางๆ แต่อย่างน้อยระยะห่างก็น้อยลง คล้ายการไปเยือนเมืองแห่งนี้ครั้งที่ 2 ของผม

 

 

     หลังจากพลาดการใกล้ชิดกับเมืองมากเสน่ห์ในการมาเยือนครั้งแรก ในปีถัดมาผมแก้มือด้วยการไปสำรวจแบบเจาะลึกกว่าเดิม คำแนะนำประเภทวันเดย์ทริปนั้นถูกโยนทิ้งไป เปลี่ยนเป็นโปรแกรมพักค้างคืนเพื่อทำความรู้จักกันให้ลึกซึ้ง ซึ่งด้วยความเป็นเมืองเล็ก ตัวเลือกที่พักจึงมีไม่มากนัก หากใครจับจองไม่ทัน แนะนำให้เขยิบพิกัดไปพัก ‘เมืองฟูจิซาวา’ (Fujisawa) ที่อยู่ติดกันได้ ผมเองก็เลือกแบบนั้น

     โปรแกรมรอบนี้ผมคัดกรองวัดเด่นๆ สถานที่ดังๆ ออกไปบ้าง แล้วมาเน้นชมวัดเล็กๆ ที่เพิ่งจะรู้จักจากแผ่นพับ ซึ่งหาหยิบได้ตามโรงแรมหรือสถานีรถไฟ เช่น วัดจอมโยจิ (Jomyoji) วัดที่เต็มไปด้วยความเงียบสงบแบบวิถีเซน มีอาคารที่เหมาะแก่การจิบชา นั่งชมสวนหินแบบเซนอย่างร้างไร้ผู้คน, วัดโฮโคะคุจิ (Hokokuji) ที่มีโรงน้ำชาซุกซ่อนอยู่ท่ามกลางความเขียวขจีของเส้นทางป่าไผ่, วัดโทเคจิ (Tokeiji) วัดเก่าแก่ซึ่งเคยใช้เป็นที่พักพิงของสตรีผู้ถูกล่วงละเมิดจากสามี เป็นต้น

     ไม่แปลกนักที่คามาคุระมีวัดน้อยใหญ่กระจัดกระจายไปทั่ว เพราะในยุคที่เป็นศูนย์กลางการปกครองนั้น โชกุนและเหล่านักรบต่างยึดมั่นในวิถีซามูไร เน้นความเรียบง่ายและตั้งมั่นในศาสนาจนมีการขนานนามว่าเป็น ‘เกียวโตฝั่งตะวันออก’

 

 

     นอกจากชมวัดวาอารามนอกกระแสแล้ว คราวนี้ยังได้ลอง ‘เดินป่า’ หรือ Hiking Trails กิจกรรมท่องเที่ยวยอดนิยมอย่างหนึ่งของเมืองนี้ เพราะด้วยลักษณะภูมิศาสตร์มีภูเขาโอบล้อม จึงมีเส้นทางสำรวจผืนป่าสัมผัสกับธรรมชาติรูปแบบง่ายๆ ตั้งแต่ 1-2 ชั่วโมง แล้วแต่ความฟิตและความว่าง เด็กเดินได้ ผู้ใหญ่เดินดี ซึ่งผมเลือก The Daibutsu Hiking เส้นทางลัดเลาะไปบนภูเขาอันเป็นที่ตั้งของ Genjiyama Park สวนสาธารณะซึ่งมีอนุสาวรีย์โชกุน ‘มินาโมโตะ โยริโทโมะ’ (Minamoto Yoritomo) จากนั้น ชมนกชมไม้ไปตามเส้นทางราวชั่วโมงครึ่งก็มาโผล่ด้านหลังวัดโคโตกุ

 

 

     แม้เป็นเส้นทางเดินเรียบง่าย ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นถึงขนาดต้องร้องว้าว แต่ความเงียบสงบและอากาศสดชื่นใต้ร่มเงาผืนป่าระหว่างการเดินนั้นมีพลังอย่างน่าประหลาด ทำให้เรามีช่วงเวลาที่ได้สนทนากับความคิดตัวเอง

     วันถัดมาผมใช้เวลาไปเก็บตกสถานที่ท่องเที่ยวดังๆ ที่เคยไปมาแล้วครั้งก่อน เพราะมารอบนี้เป็นฤดูใบไม้ร่วง ทิวทัศน์บรรยากาศของธรรมชาติก็แตกต่างไป ซึ่งทุกๆ อย่างที่ทำในการมาเยือนรอบนี้น่าจะตอบโจทย์ได้ครบแล้ว แต่เมื่อพิจารณาความรู้สึกอย่างถี่ถ้วนก็พบว่าตนเองได้รับความสุขแบบครึ่งๆ กลางๆ เพราะบางครั้งการตั้งใจมาท่องเที่ยวอย่างจริงจังย่อมทำให้ในแต่ละวันต้องมีจุดหมายและภารกิจ สิ่งที่ขาดไปจึงเป็นการพักผ่อนแบบ ‘ไม่ต้องทำอะไร’ หรือการเที่ยวแบบ ‘ไปใช้ชีวิต’

 

 

ระยะใกล้ – Our Little Sister
     Our Little Sister (2015) เป็นภาพยนตร์ดัดแปลงจากมังงะระดับรางวัลชื่อ Umimachi Diary ถ่ายทอดเรื่องราวของสาวๆ 4 คนที่เป็นพี่น้องพ่อเดียวกัน

     หลังการจากไปของพ่อ ‘ซาจิ’ พี่สาวคนโต เอ่ยปากชักชวน ‘ซึสึจัง’ น้องสาวคนเล็กต่างมารดาว่าย้ายไปอยู่คามาคุระกับพี่ไหม? แล้วผู้ชมก็ได้เห็นเรื่องราวความรัก ความอบอุ่น ความงามของธรรมชาติ และเสน่ห์วิถีชีวิตที่ดำเนินไปอย่างเรียบง่ายในคามาคุระ

     การใช้ชีวิตในเมืองน่ารักๆ ของ 4 สาวตัวเอกเป็นสิ่งที่ผมก็เลือกทำสำหรับการเดินทางไปเยือนเป็นครั้งที่ 3

     ผมมีโอกาสแวะมาทำความรู้จักกับคามาคุระ 3 ปีติดต่อกัน ครั้งที่ 3 ไม่ใช่การเยือนแบบไปเช้าเย็นกลับ ไม่ได้วางจุดหมายแสวงหาที่เที่ยวใหม่ๆ แต่เป็นการมาที่เดิมเพื่อเพิ่มเติมความรู้สึกที่ขาดหาย มาเพื่อละเลียดไปกับวิถีชีวิตในเมืองเก่าแห่งนี้

 

 

     เริ่มตั้งแต่ทำความสนิทสนมกับรถไฟของคามาคุระให้มากขึ้น นั่นคือ รถไฟสายเอะโนะเด็น (Enoden) ที่ดำเนินกิจการมานับศตวรรษแล้ว แต่ทว่ากาลเวลากว่าร้อยปีไม่ได้ทำให้รถไฟสายนี้โบราณคร่ำครึ ตรงกันข้าม มันได้กลายเป็นความคลาสสิกคู่เมือง ด้วยรูปแบบของรถไฟคล้ายรถราง มีความวินเทจในรูปลักษณ์ วิ่งไปเรื่อยๆ ช้าๆ จำนวน 15 สถานีจากคามาคุระไปถึงฟูจิซาวา (จากต้นทางถึงปลายทางใช้เวลา 34 นาที) ผมซื้อตั๋ววันราคา 600 เยน ขึ้นลงได้ไม่จำกัด อยากลงสถานีไหนก็ลงโดยไม่จำเป็นว่าจะต้องมีสถานที่ท่องเที่ยว เช่น สถานี Gokurakuji ที่มีตู้ไปรษณีย์สีแดงสดเป็นเอกลักษณ์ ที่นี่ใช้ถ่ายทำ Our Little Sister แต่สำหรับตัวสถานีนั้นเล็กจิ๋ว เงียบสงบ และไม่มีเครื่องตรวจบัตรด้วยซ้ำ จากนั้นก็เดินเล่นลัดเลาะไปตามถนนสายเล็กๆ ในตัวเมือง ดูบรรยากาศบ้านเรือนร้านรวงต่างๆ แล้วจึงค่อยไปขึ้นรถไฟที่สถานีถัดไป

 

 

     วันว่างๆ ก็เตร็ดเตร่ไปแถว หาดโชนัน (Shonan) ชายหาดอันโด่งดังที่ในฤดูร้อนจะเต็มไปด้วยหนุ่มๆ ซิกซ์แพ็ก และสาวๆ ในชุดบิกินี่ (ครั้งนี้ดันมาในฤดูหนาว เสียดายชะมัด!) แต่ในช่วงปลายปีก็ยังครึกครื้นไปด้วยเหล่านักเซิร์ฟผู้ไม่เกรงกลัวต่ออุณหภูมิและคลื่นใหญ่

     คลื่นที่ทะเลแห่งนี้นี่เองคือภาพแกะพิมพ์สลักไม้โด่งดังระดับโลกที่ชื่อว่า The Great Wave of Kanagawa ซึ่งหลายคนคงพอจะคุ้นตา ภาพคลื่นใหญ่ถาโถมลวดลายแบบญี่ปุ่นที่มีภูเขาไฟฟูจิอยู่ด้านหลัง ส่วนเกาะเอโนะชิมะที่เคยไปมาแล้ว คราวนี้ได้ลองเดินไปจนสุดทาง แล้วก็นั่งเล่นดูพรานปลากำลังตกปลาอยู่ริมทะเล มองดูผู้คนท้องถิ่นที่รอเวลาชมพระอาทิตย์เคลื่อนคล้อยไปอย่างช้าๆ โดยมีภูเขาไฟฟูจิตั้งตระหง่านอยู่เคียงข้าง

 

 

     แม้ครั้งนี้เป็นการไปเรื่อยๆ แทบไม่มีจุดหมายอะไรตายตัว แต่การได้ปล่อยเวลาไปกับสถานที่ต่างๆ โดยไม่เร่งรีบจึงเป็นการมาคามาคุระที่รู้สึกผ่อนคลายและใกล้ชิดมากที่สุด แต่หากถามว่าทำให้ ‘หลงรัก’ เมืองนี้กว่าเดิมไหม ก็ไม่เชิง เพราะเชื่อว่าใครก็ตามที่มาเยือน คุณก็หลงรักตั้งแต่ครั้งแรกไปแล้วนั่นล่ะ 🙂

 

FYI
  • การเดินทางจากกรุงเทพฯ-โตเกียว

     มีหลายสายการบินให้เลือกบินตรงทุกวัน  ได้แก่ การบินไทย , All Nippon Airways และ Japan Airlines เป็นต้น

 

  • การเดินทางจากโตเกียว-คามาคุระ

     จากสถานีรถไฟโตเกียว นั่งรถไฟ JR สาย Yokosuka ไปลงที่สถานีคิตะ-คามาคุระ (Kita-Kamakura) โดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง

     จากสถานีรถไฟชินจุกุ (Shinjuku) สามารถเลือกนั่งได้ 2 วิธี

  1. รถไฟ JR สายโชนัน ชินจุกุ (Shonan Shinjuku) วิ่งตรงไปที่สถานีคามาคุระ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง มีรถวิ่งประมาณ 2 เที่ยวต่อวัน
  2. นั่งรถไฟของโอดะคิว (Odakyu) จากชินจุกุไปลงที่สถานีฟุจิซาวา แล้วจึงต่อรถรางเอโนะเด็นเข้าเมืองคามาคุระ ใช้เวลา 90 นาที
  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising