ในคืนแห่งชัยชนะของโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ที่มีเหนือปารีส แซงต์ แชร์กแมง เต็มไปด้วยเรื่องราวมากมายที่น่าประทับใจ
ผลงานอันยอดเยี่ยมของผู้เล่นในสนาม การวางหมากของโค้ช และ ‘The Yellow Wall’ กำแพงยักษ์สีเหลืองอร่ามที่เป็นต้นกำเนิดขุมพลังของดอร์ทมุนด์ ที่แสดงให้เห็นถึงความสุดยอดของพวกเขาอีกครั้ง
แต่คนที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในเกมนี้ย่อมหนีไม่พ้น จาดอน ซานโช ที่ทำผลงานได้อย่างสุดยอดตลอดทั้งเกมที่ซิกนัล อิดูนา สเตเดียม
สเต็ปเท้า การลากเลื้อย ความมั่นใจในทุกจังหวะการเล่น การวาดลวดลายบนฟลอร์หญ้าที่เหมือนกับการเริงระบำในสนามของเขา ทำให้คนที่รักและชื่นชมปีกพรสวรรค์รายนี้ได้โล่งใจอีกครั้ง เพราะนี่คือฟอร์มการเล่นที่แท้จริงที่ทุกคนรู้ว่าเขาทำได้
แต่มันก็มาพร้อมกับคำถามที่น่าสนใจ
ทำไมเขาถึงไม่ทำอะไรแบบนี้ให้เห็นกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งเป็นสโมสรต้นสังกัดตัวจริงในปัจจุบันของเขาเลย?
หนึ่งในสถิติที่น่าประทับใจสำหรับซานโชคือ การพยายามเลี้ยงบอลผ่านคู่แข่ง ซึ่งในช่วงครึ่งแรกนั้นเขาพยายามจะลากผ่านคู่แข่งทั้งหมด 11 ครั้ง และทำได้สำเร็จ 7 ครั้ง ก่อนที่จบเกมสถิติในการลากบอลผ่านคู่แข่งของปีกทีมชาติอังกฤษสูงถึง 12 ครั้ง
ตัวเลขดังกล่าวเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดในรายการแชมเปียนส์ลีกนับตั้งแต่สถิติเดิมของ ลิโอเนล เมสซี ที่เคยทำไว้ในเกมที่พบกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในฤดูกาล 2008/09 ที่ทำไว้ทั้งหมดถึง 16 ครั้งด้วยกัน ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในเกมระดับ ‘มาสเตอร์พีซ’ สำหรับซานโชแล้ว
โดยเฉพาะเมื่อคิดถึงช่วงเวลาก่อนหน้านี้ที่ประสบปัญหาอย่างหนักในการย้ายไปเล่นกับแมนฯ ยูไนเต็ด จนถึงขั้นแตกหักกับเอริก เทน ฮาก นายใหญ่แห่งโอลด์แทรฟฟอร์ด
ปัญหาในช่วงนั้นทำให้มีความกังวลกันว่าซานโชอาจจะเป็นอีกหนึ่งนักเตะพรสวรรค์ที่หลงทางและไม่มีวันกลับมาได้ เหมือนนักเตะหลายคนที่เก่งกาจในช่วงการเป็นดาวรุ่ง แต่สุดท้ายประสบปัญหาจนไม่สามารถกลับมาเป็นคนเดิมได้อีก เช่น เดเล อัลลี อดีตดาวรุ่งมหัศจรรย์ของวงการฟุตบอลอังกฤษคนก่อนหน้า
แต่หลังจากที่ซานโชได้โอกาสในการย้ายกลับมาเล่นให้กับดอร์ทมุนด์ ต้นสังกัดเก่าอีกครั้ง ในช่วงตลาดการซื้อ-ขายรอบฤดูหนาวที่ผ่านมา เขาก็ใช้เวลาเพียงไม่นานในการเรียกความมั่นใจและฟอร์มการเล่นในแบบเดิมๆ กลับมา
คำถามคือ ทำไมซานโชจึงเล่นให้แมนฯ ยูไนเต็ด แบบนี้ไม่ได้?
เรื่องนี้มีปัจจัยหลายอย่างด้วยกันที่ผสมผสานปนเปจนยากจะแยก
มันอาจจะเกิดขึ้นจากผู้เล่น ผู้จัดการทีม หรือสโมสร หรือทั้งหมดรวมกัน
ย้อนกลับไปในปี 2021 ที่ซานโชถูกแมนฯ ยูไนเต็ด คว้าตัวมาจากดอร์ทมุนด์ด้วยค่าตัวราว 75 ล้านปอนด์ โดยที่เจ้าตัวได้รับค่าเหนื่อยมากมายมหาศาลที่มาพร้อมกับความคาดหวังที่สูงลิบ เพราะฟอร์มการเล่นของเขาในเวลานั้นถือว่าเป็นหนึ่งในนักเตะที่โดดเด่นที่สุดของวงการฟุตบอลยุโรป
แต่ซานโชซึ่งเคยเป็นเด็กในอะคาเดมีของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ประสบปัญหาตั้งแต่ช่วงแรกทันที
ปัญหานั้นถูกมองในช่วงแรกว่าเป็นปัญหาของการปรับตัว เพราะฟุตบอลพรีเมียร์ลีกมีความแตกต่างจากบุนเดสลีกาค่อนข้างมาก แต่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ฟอร์มการเล่นของซานโชก็ไม่ได้ดีขึ้นอย่างที่ควรจะเป็น
ให้ความยุติธรรมแก่นักเตะ ซานโชไม่ได้เล่นในตำแหน่งที่ถนัดที่สุดอย่างการเป็นปีกขวาเหมือนในทีมดอร์ทมุนด์ แต่ถูกโยกมายืนทางปีกซ้ายแทน รวมถึงตำแหน่งอื่นๆ ด้วย ซึ่งเห็นได้ชัดในการเล่นว่าเขามีปัญหากับการปรับตัวในตำแหน่งใหม่ค่อนข้างมาก
ฟอร์มการเล่นที่หนืดส่งผลต่อเรื่องของความมั่นใจ และสำหรับนักเตะที่พึ่งพาความรู้สึกมั่นใจในการเล่นเป็นหลักอย่างซานโช ทุกอย่างแย่ลงตามลำดับ ซึ่งรวมถึงผลกระทบจากทีมชาติอังกฤษในช่วงฟุตบอลยูโร 2020 ที่สุดท้ายทำให้เขาสูญเสียตำแหน่งในทีมชาติไปด้วย
ผลกระทบที่เกิดขึ้นตามมาคือเรื่องปัญหาสภาพจิตใจ ซานโชประสบปัญหาเรื่องนี้อย่างรุนแรงจนไม่ต้องขอเข้ารับการดูแลและบำบัด ซึ่งได้รับอนุญาตจาก เอริก เทน ฮาก รวมถึงสโมสรแมนฯ ยูไนเต็ด ที่ดูแลและใส่ใจนักเตะเป็นอย่างดี (จุดนี้ต้องชื่นชม)
แต่ซานโชก็ยังไม่สามารถเป็นคนเดิมได้ และปัญหากับต้นสังกัดยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
โดยเฉพาะการเปิดศึกกับเทน ฮาก ที่วิพากษ์วิจารณ์ซานโช จนมีการโต้ตอบกัน และสุดท้ายนำไปสู่บทลงโทษที่รุนแรงด้วยการตัดออกจากทีม
เทน ฮาก ไม่ได้คิดที่จะตัดออกจากทีมอย่างถาวรแต่อย่างใด เพราะข้อแม้มีเพียงนิดเดียวคือ ขอแค่ ‘ขอโทษ’ กันเท่านั้น
อย่างไรก็ดี ปีกจอมเลื้อยไม่เอ่ยคำขอโทษ ซึ่งเป็นเพราะไม่ต้องการที่จะอยู่กับแมนฯ ยูไนเต็ด อีกต่อไป อยากจะย้ายไปที่ไหนก็ได้ ซึ่งรวมถึงต้นสังกัดเก่าอย่างดอร์ทมุนด์ที่อยากยืมตัวมาใช้งานในช่วงครึ่งหลังของฤดูกาล 2023/24
เรื่องนี้อาจมองว่าเป็น ‘หมาก’ ที่ซานโชวางเอาไว้ ทั้งการก่อเรื่องไปจนถึงการไม่ยอมขอโทษเพื่อให้ได้ย้ายทีม ซึ่งอาจจะต้องยอมแลกกับการถูกตัดออกจากทีม ต้องไปซ้อมเดี่ยวคนเดียว
แต่มองผลลัพธ์ในปัจจุบันแล้วก็ถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ดีและคุ้มค่า
การที่ซานโชสามารถเล่นให้กับดอร์ทมุนด์ได้อย่าง ‘เทพ’ อีกครั้ง แต่ไม่เคยแสดงฟอร์มแบบนี้ให้เห็นได้เลยกับแมนฯ ยูไนเต็ด อาจจะเกิดจากเรื่องของ ‘องค์ประกอบ’ หลายอย่างภายในทีม
อย่างแรกเลย ดอร์ทมุนด์รู้จักและเข้าใจวิธีการใช้งานนักเตะอย่างซานโชมากกว่า
อย่างต่อมาคือ ดอร์ทมุนด์เอื้อต่อการทำให้ซานโชเล่นได้สบายกว่า ซึ่งไม่เพียงแต่เรื่องของระบบการเล่นเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสไตล์การเล่น การสนับสนุนจากเพื่อนร่วมทีม เช่น การเล่นร่วมกับแบ็ก กองกลาง หรือกองหน้า ที่เข้าใจกันมากกว่า
และอย่างสุดท้ายที่เป็นประเด็นที่มีการพูดถึงชัดเจนขึ้นคือ บรรยากาศภายในสโมสรแมนฯ ยูไนเต็ด ที่อาจเป็นปัญหา
บรรยากาศสถานที่ทำงานที่เป็นพิษ (Toxic Environment) ในโอลด์แทรฟฟอร์ด เป็นเรื่องที่มีการพูดถึงกันมานาน ซานโชไม่ได้เป็นนักเตะคนแรกที่มีปัญหาไม่สามารถที่จะเล่นได้ตามความคาดหวัง เพราะยังมี อองโตนี มาร์กซิยาล, แอนโทนี, เมสัน เมาท์ หรือแม้แต่นักเตะลูกหม้ออย่าง มาร์คัส แรชฟอร์ด
คนที่ทำงานออฟฟิศย่อมรู้ว่าวัฒนธรรมองค์กรเป็นเรื่องสำคัญที่ส่งผลต่อการทำงานอย่างมาก ซึ่งแมนฯ ยูไนเต็ด ดูจะมีปัญหาเรื่องนี้อย่างรุนแรงในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา ที่ทำให้อะไรๆ มันเลวร้ายไปหมด นักเตะฝีเท้าดีที่ถูกคว้าตัวมามักจะจบด้วยความน่าผิดหวังเสมอ
เพียงแต่เรื่องนี้ก็ยากที่จะบอกว่าเป็นความผิดของสโมสรทั้งหมด เพราะซานโชเองก็อาจจะมีส่วนผิดด้วยเหมือนกัน ในการแสดงออกถึงความไม่เป็นมืออาชีพในหลายครั้ง ซึ่งเป็นสิ่งที่แฟนบอล Red Army เองก็ไม่ค่อยสบอารมณ์นัก
แต่อย่างน้อยการกลับมาเป็นตัวของตัวเองได้สำเร็จก็เป็นกรณีตัวอย่างที่น่าสนใจ เพราะเขาไม่ใช่นักเตะคนแรกที่ย้ายออกมาจากแมนฯ ยูไนเต็ด แล้วกลับมาเล่นได้ดีเช่นกัน (แม้กระทั่ง มาร์แซล ซาบิตเซอร์ กองกลางที่แมนฯ ยูไนเต็ด ยืมตัวจากบาเยิร์น มิวนิก มาใช้งานในฤดูกาลที่แล้ว ก็เล่นได้โดดเด่นกับดอร์ทมุนด์ในฤดูกาลนี้)
สิ่งเหล่านี้คือคำตอบแบบอ้อมๆ ว่า ทำไม เซอร์จิม แรตคลิฟฟ์ ในฐานะเจ้าของสโมสรรายย่อยที่ได้สิทธิ์ในการบริหารจัดการทุกอย่างในโอลด์แทรฟฟอร์ด จึงพยายามเข้ามาชำระสะสางปัญหาทุกอย่างในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา และคาดว่าจะต้องทำต่อไปอีกนานอีกหลายเดือนหรือหลายปี
ปัญหาที่หยั่งรากลงลึกไปถึงระดับของพนักงานปฏิบัติการที่มีวัฒนธรรมที่ล้าสมัยหลายอย่าง
นี่อาจพอเป็นข้อสรุปเบื้องต้นได้ว่า ทำไมนักเตะอย่าง จาดอน ซานโช และอาจจะรวมถึงคนอื่นๆ จึงไม่สามารถเปล่งประกายได้อย่างที่ควรจะเป็น
เพียงแต่แมนฯ ยูไนเต็ด จะเป็นเช่นไรในความรู้สึกของซานโช ก็ไม่ใช่เรื่องอะไรสำหรับเขาอีกแล้ว
การย้ายมายูไนเต็ดเป็นอดีตที่ผิดพลาดที่เขาไม่คิดที่จะหันหลังกลับไปอีก
และในทางกลับกัน ก็อาจไม่เหลือใครในโอลด์แทรฟฟอร์ดที่อยากจะเปิดประตูต้อนรับเขากลับมาเหมือนกัน