×

รวมข้อคิดสร้างแรงบันดาลใจโดยแจ็ค หม่า จากงาน World Economic Forum 2018

26.01.2018
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

15 Mins read
  • แจ็ค หม่า (Jack Ma) เชื่อในการวางเป้าหมายและเตรียมความพร้อมเพื่อแข่งขันในระยะยาวว่าจะนำไปสู่ความสำเร็จได้ดีกว่าการดำเนินการระยะสั้น
  • ด้วยบุคลิกความห่วงใยและใส่ใจผู้อื่น เขามองว่าบุคลากรหญิงช่วยให้องค์กรประสบความสำเร็จและสร้างสมดุลได้ดีกว่าพนักงานผู้ชาย
  • ก่อนพบจุดลงตัวกับ Alibaba เขาต้องฝ่าฟันอุปสรรคมานับครั้งไม่ถ้วน ตกสัมภาษณ์งานครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ส่ิงที่เขายึดเป็นแนวทางปฏิบัติมาโดยตลอดคือการไม่ย่อท้อ มุมานะ และเรียนรู้จากข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น
  • เชื่อว่ากระบวนการศึกษาควรจะปรับเปลี่ยนรูปแบบการเรียนการสอนเสียที เพื่อให้คนรุ่นใหม่ก้าวขึ้นมามีศักยภาพเหนือเครื่องจักร หุ่นยนต์ และปัญญาประดิษฐ์

ไม่ว่าแจ็ค หม่า (Jack Ma) ประธานกรรมการบริหารกลุ่มธุรกิจอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่จากจีน ‘Alibaba’ จะขึ้นบรรยายครั้งไหนและเมื่อไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่การันตีว่าคนฟังอย่างเราจะได้รับแน่นอนคือ ข้อคิดที่ช่วยสร้างแรงบันดาลใจ และประสบการณ์ชีวิตจริงของชายวัย 53 ปีที่เป็นบทเรียนสอนคนรุ่นหลังได้เสมอ

 

วันพุธที่ 24 มกราคมที่ผ่านมา แจ็ค หม่าได้เข้าบรรยายในงาน World Economic Forum 2018 ซึ่งจัดกัน ณ เทศบาลดาวอส (Davos) ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เราจึงหยิบแนวคิดสร้างแรงบันดาลใจต่อการทำงานและการดำเนินชีวิตของชายผู้นี้มานำเสนอกัน

 

อย่ากลัวเทคโนโลยีและความเปลี่ยนแปลง

เราโชคดีมากๆ เพราะอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านของโลกครั้งยิ่งใหญ่ ซึ่งเป็นผลมาจากเทคโนโลยี ผมคิดว่าเราทุกคนเคยอ่านเจอในหนังสือมาแล้วว่าเมื่อ 200 ปีที่ผ่านมา ตอนที่อุตสาหกรรมแรกถือกำเนิดขึ้นก็มีผู้คนเก่งๆ กลายเป็นที่รู้จักมากมาย หลังจากนั้น 100 ปีถัดมา ในวันที่เกิดการปฏิวัติพลังงานไฟฟ้าก็มีบุคคลที่ประสบความสำเร็จเป็นจำนวนมหาศาล

 

ฉะนั้นในวันนี้ที่เทคโนโลยีเริ่มเข้ามามีบทบาท มันก็จะช่วยสร้างคนที่ประสบความสำเร็จมากขึ้นตามไปด้วย ช่วยสร้างงานที่น่าสนใจ แต่ด้วยความสัตย์จริง ผมคิดว่าทุกครั้งที่เกิดเทคโนโลยีมันก็จะเกิดการแก้ไขปัญหาต่างๆ ตามมาด้วย การปฏิวัติเทคโนโลยีครั้งแรกและครั้งที่สองก็เป็นสาเหตุให้เกิดสงครามโลกทั้ง 2 ครั้ง ตอนนี้เรากำลังอยู่ในครั้งที่ 3 แล้ว (การปฏิวัติเทคโนโลยี) คำถามคือจะเกิดอะไรขึ้น?

 

ผู้คนต่างกังวลเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ หุ่นยนต์ คอมพิวเตอร์ ข้อมูล ความเป็นส่วนตัว และระบบรักษาความปลอดภัย ทุกคนเริ่มกังวลกันไปหมด แต่ไม่ว่าคุณจะกังวลหรือไม่ก็ตาม สุดท้ายแล้วมันก็จะเกิดขึ้นอยู่ดี (ความทันสมัยและการปฏิวัติในวงการเทคโนโลยี) ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดคือการเปลี่ยนแปลงที่ตัวคุณเองมากกว่า

 

ผมคิดว่าอีก 30 ปีข้างหน้าโลกใบนี้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ ถ้ามีสงครามโลกครั้งที่ 3 ผมคิดว่ามันจะเป็นสงครามที่มนุษย์ต้องเผชิญโรคภัยไข้เจ็บ สิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษและความยากจนร่วมกัน ไม่ใช่การก่อสงครามระหว่างมนุษย์ด้วยกันเอง แต่ถ้าเรามองไม่เห็นปลายทางที่ชัดเจนกับการใช้เทคโนโลยีแก้ปัญหาทั้งหมด ถ้าเราไม่รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน มนุษย์ก็จะต้องห้ำหั่นต่อสู้กันเอง เพราะทุกๆ การปฏิวัติทางเทคโนโลยีล้วนแล้วแต่ทำให้โลกนี้ไม่สมดุล เมื่อเกิดความไม่สมดุล คนที่เคยเป็นอันดับ 1 ก็อาจจะตกลงมาอยู่ที่อันดับ 2 ส่วนคนที่เคยอยู่ที่อันดับ 3 ก็อาจจะขึ้นเป็นเบอร์ 1 ของโลก

 

 

มนุษย์กับวัย 30

เมื่อคุณอายุ 30 ปี ผมแนะนำให้คุณทำงานกับหัวหน้าที่ดี ร่วมงานกับบริษัทดีๆ สักแห่งเพื่อเรียนรู้ว่าจะจัดการทำสิ่งต่างๆ ให้เหมาะสมอย่างไร เมื่ออายุ 30-40 ปี ถ้าคิดจะเริ่มทำอะไรๆ ด้วยตัวเอง ลงมือเลย คุณยังมีโอกาสพลาดได้อีก

 

แต่เมื่ออายุ 40-50 ปีเมื่อไร คำแนะนำของผมคือให้ทำสิ่งที่ถนัดเท่านั้น ไม่ใช่ทำสิ่งที่อยากลองน่าสนใจ ซึ่งอันตรายมากกว่า พออายุ 50-60 ปี จงใช้เวลาทั้งหมดทุ่มเทกับการพัฒนาคนหนุ่มคนสาวรุ่นใหม่ขึ้นมา และเมื่อเลย 60 ขึ้นไปแล้วการอยู่กับหลานๆ คือสิ่งที่ดีกว่า นี่คือส่ิงที่คนส่วนใหญ่ล้วนทำกัน

 

ตอนแตะหลักเลข 3 พวกเราจะมีความท้าทายมากมายถาโถมเข้ามา สิ่งต่างๆ จะเกิดขึ้น ด้วยความสามารถด้านร่างกายและด้านสติปัญญาความรู้ นี่คือช่วงเวลาที่เราควรเปลี่ยนแปลง ถ้าคุณอยากประสบความสำเร็จในวันรุ่งขึ้น คงเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว แต่หากคุณคิดจะประสบความสำเร็จในปีถัดไป มันอาจจะเป็นไปได้มากกว่า และถ้าคุณอยากจะชนะในอีก 10 ปีข้างหน้าคุณก็มีโอกาสเลยล่ะ

 

อยากเป็นองค์กรที่ประสบความสำเร็จ จ้างพนักงานผู้หญิง

ถ้าจำไม่ผิดเมื่อประมาณ 4 ปีที่แล้วเคยมีนักข่าวเข้ามาสัมภาษณ์ที่บริษัทของเรา (Alibaba) และก็ถามผมว่า “ทำไมบริษัทคุณถึงมีผู้หญิงเยอะขนาดนี้?” ตอนนั้นผมเองไม่ได้สังเกตเลยด้วยซ้ำว่า Alibaba มีพนักงานเพศหญิงเป็นจำนวนมหาศาล

 

ทุกวันนี้เกือบๆ 49% ของบุคลากรในบริษัทเราเป็นผู้หญิง เป็นจำนวนมหาศาลมากๆ สำหรับบริษัทเทคโนโลยี ผมคิดว่าพวกเธอช่วยเหลือบริษัทของเราให้เติบโตก้าวหน้าได้มากมาย Alibaba คือบริษัทอีคอมเมิร์ซ และอีคอมเมิร์ซก็คือธุรกิจการบริการ จะทำหน้าที่ในส่วนนี้ได้คุณควรมีใจรักการบริการ ซึ่งเราค้นพบว่าผู้หญิงทำงานในส่วนนี้ได้ดีกว่าผู้ชายมากๆ

 

ช่วงศตวรรษที่ผ่านมานี้คนส่วนใหญ่แข่งกันด้วยพละกำลัง แต่ในศตวรรษนี้เราแข่งกันด้วยความรู้ล้วนๆ ต่อไปในอนาคต ผมเชื่อว่าคนที่อยากประสบความสำเร็จจะต้องมี EQ สูงมากๆ และถ้าคุณไม่อยากเพลี่ยงพล้ำตั้งแต่ต้น คุณควรจะมี IQ สูง แต่ถ้าคุณอยากเป็นที่เคารพของผู้คน คุณต้องมี Q แห่งความรักที่สูง (ความรัก: Love Quotient)

 

ผู้ชายส่วนใหญ่จะมี IQ สูง แต่กลับมี EQ ต่ำ และมี LQ กระจิริด ขณะที่ผู้หญิงสามารถรักษาสมดุลของ 3Q ได้อย่างลงตัวและยอดเยี่ยม ถ้าคุณต้องการให้บริษัทประสบความสำเร็จ ครบครันไปด้วยสติปัญญาและความห่วงใย ผู้หญิงคือคนที่ตอบโจทย์คุณได้ดีที่สุด  

 

ในบริษัทของผม เห็นกันชัดๆ เลยว่าผู้หญิงจะใส่ใจคนรอบข้างมากกว่าผู้ชาย แม้แต่การขายสินค้าบนเว็บไซต์ เราก็พบว่าผู้หญิงชอบช้อปมากกว่าผู้ชาย แต่พวกเธอช้อปเพื่อสามีและลูกๆ แม้ว่าส่วนใหญ่จะซื้อให้ตัวเองมากกว่าก็ตาม เพราะว่าคุณห่วงใยผู้อื่นยังไงล่ะ มันถึงทำให้คุณแตกต่างจากคนอื่น

 

49% ของบุคลากรใน Alibaba เป็นผู้หญิง ส่วนอีก 37% ของผู้จัดการอาวุโสเป็นผู้หญิง พวกเราไม่รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่แปลก เมื่อไรก็ตามที่พวกเธอรักการทำงาน เธอจะเสียสละได้มากกว่า มีความเชื่อมั่น และเธอก็จะทำเช่นนั้นไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นผมคิดว่าหนึ่งใน Secret Sauce ของ Alibaba คือการมีบุคลากรผู้หญิงเป็นจำนวนมาก และผมก็ภูมิใจมากๆ

 

เวลาที่ผมเดินทางไปที่ไหนก็ตาม ผมแทบจะไม่เคยสังเกตเลยด้วยซ้ำว่าทีมของผมมีพนักงานผู้หญิงมากกว่า 50% เพราะเราไม่เคยคิดว่าพวกเธอคือผู้หญิง แต่มองเป็นเพื่อนร่วมงานที่ยอดเยี่ยม

 

ทุกครั้งที่เกิดการแข่งขัน ผู้ชายจะเต็มไปด้วยความโมโหและความเดือดดาล ส่วนผู้หญิงจะคิดถึงแค่การดูแลและบริการลูกค้ามาเป็นอันดับ 1 ผู้หญิงส่วนใหญ่จะเชื่อในความฝันและความรักลำดับแรกของพวกเธอ แต่กับผู้ชายนั้น พวกเขาลืมอะไรๆ ได้ง่ายๆ เสมอ ผมต้องขอโทษด้วยเพราะไม่ได้มีเจตนาจะกล่าวว่าร้ายผู้ชายเลย แต่นี่คือสถิติล้วนๆ นี่คือเหตุผลว่าทำไมบริษัทของเราถึงสมดุล และเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างปกติอยู่แล้ว ทุกวันนี้ผมไม่คิดว่าจะมีบริษัทเทคโนโลยีแห่งใดที่จ้างพนักงานผู้หญิงมากกว่าเรานะ

 

ไม่มีใครหยุดยั้งการเปลี่ยนแปลงและโลกาภิวัตน์ได้

ผมคิดว่าโลกาภิวัตน์คือสิ่งที่ไม่มีใครยับยั้งได้ ไม่มีใครหยุดการแลกเปลี่ยน (Trade) ได้ เมื่อไรก็ตามที่การแลกเปลี่ยนถูกหยุดลง โลกใบนี้ก็จะชะงักตัว การแลกเปลี่ยนคือวิธียุติสงครามไม่ใช่สาเหตุของมัน ตลอด 30 ปีที่ผ่านมา โลกาภิวัตน์ดำเนินไปได้อย่างยอดเยี่ยมในหลายๆ ประเทศ

 

แต่แน่นอนว่ามันก็เกิดปัญหาตามมาเป็นจำนวนมากเช่นกัน หนุ่มสาวขาดโอกาส เช่นเดียวบริษัทธุรกิจเล็กๆ และประเทศกำลังพัฒนา แต่นั่นมันแค่ 30 ปีเองนะ ถือว่าเล็กน้อยมาก คุณต้องพัฒนามันสิ ผมเชื่อว่าในยุคของเรา ทุกวันนี้มีวิทยาการทางเทคโนโลยีที่ยอดเยี่ยมเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก เรามีความรู้เกี่ยวกับกระบวนการโลกาภิวัตน์ และมันคือยุคของพวกเราแล้วที่จะต้องรับผิดชอบและใช้โอกาสเพื่อพัฒนา

 

ช่วยบอกผมหน่อยสิว่าเราจะหยุดโลกาภิวัตน์นี้ได้อย่างไร? ตอนนี้ปัญญาประดิษฐ์ หุ่นยนต์ก็เริ่มคืบคลานมาแล้ว การจะแก้ปัญหาเหล่านี้ได้คือการที่เราพัฒนาอย่างเรียบง่ายที่สุด การแลกเปลี่ยนในระดับโลกควรจะเป็นสิ่งง่ายๆ ที่ทันสมัยและควรจะเอื้อประโยชน์ให้ทุกๆ คนได้รับโอกาสเพิ่มขึ้นเท่าเทียมกัน ผมเชื่อว่ากระบวนการโลกาภิวัตน์ในยุคถัดไปควรจะเป็นไปเพื่อให้โอกาสคนอายุน้อยๆ ได้มีส่วนร่วมด้วย

 

ในประวัติศาสตร์โลก โลกาภิวัตน์เกิดขึ้นภายใต้การกำกับของกษัตริย์และจักรพรรดิบางพระองค์เท่านั้น โลกาภิวัตน์ 30 ปีล่าสุดนี้ถูกควบคุมโดยบริษัทยักษ์ใหญ่จำนวน 60,000 แห่ง ถ้าคุณไม่ได้อยู่ในบริษัทใหญ่ๆ หรือประเทศมหาอำนาจคุณก็ไม่มีโอกาสเหล่านั้น แต่อีก 30 ปีข้างหน้านี้ผมขอท้าพนันไว้เลยว่าเราจะมีบริษัทจำนวนกว่า 6-16 ล้านแห่งเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการโลกาภิวัตน์ที่จะเกิดขึ้น และผมมั่นใจว่าเราจะทำให้มันเกิดขึ้นได้แน่นอน

 

จับโอกาสนี้ไว้ให้มั่น (ความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น รวมถึงเทคโนโลยีต่างๆ ที่จะทำให้ชีวิตประจำวันของมนุษย์หดย่อเหลืออยู่ในโทรศัพท์เครื่องเดียว) ถ้าคุณเอาแต่ตีโพยตีพาย ฟูมฟาย คนอื่นๆ จะช่วงชิงโอกาสนั้นไป แต่ถ้าคุณนำโอกาสเหล่านี้ที่มีไปพัฒนาเสียตอนนี้ คุณจะกลายเป็น Alibaba รายต่อไป

 

อย่าย่อท้อต่ออุปสรรคและความล้มเหลว

ผมเกิดในครอบครัวที่ยากจน ไม่เคยได้รับการศึกษาที่ดี ไม่ผ่านการสอบและการคัดเลือกครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยเหตุผลบางประการที่ตัวเองก็ไม่เคยล่วงรู้ แต่หลังจากนั้นเมื่อผมค้นพบว่าตัวเองไม่รวย ไม่มีความรู้ด้านเทคโนโลยี ไม่มีภูมิหลังที่ดีเหมือนคนรวยคนอื่นๆ สิ่งเดียวที่ผมเชื่อคือการวัดกันในอีก 10 ปีข้างหน้า ฉะนั้นผมจึงทำทุกอย่างเพื่อเป้าหมายในอีก 10 ปี ผมรู้แน่นอนว่าในวันนั้นส่ิงที่ผมต้องการจะต้องเกิดขึ้นแน่ๆ ผมจึงเตรียมความพร้อมสำหรับทุกๆ อย่าง เพราะรู้ว่าถ้าต้องแข่งกับคนอื่นในเดือนหน้า ผมคงไม่มีโอกาสชนะแน่นอน

 

เราต้องไม่คอยมองหาโอกาส แต่ต้องลงมือไขว่คว้ามันด้วยตัวเอง ทำทุกหนทางเพื่อให้เกิดความสร้างสรรค์

 

 

เรียนรู้จากบทเรียนที่ชื่อว่า ‘ความผิดพลาด’ ไม่ใช่ความสำเร็จ

ตอนผมยังเด็กหรือแม้แต่วันนี้ ผมก็ไม่เคยคิดว่าจะมาอยู่​ ณ จุดนี้ได้เลย แต่เมื่อมองย้อนกลับไปในทุกๆ ปัญหาที่ผมเผชิญตอนนั้นถือว่ามันเป็นประโยชน์กับผมมากๆ ผมเผชิญความล้มเหลวนับครั้งไม่ถ้วน ทุกคนอาจจะทราบกันดีว่าผมยื่นสมัครงานไปหลายแห่ง เกินกว่า 30 ที่และถูกปฏิเสธทุกครั้ง ไม่แม้แต่จะได้รับโอกาสใดๆ ทั้งสิ้น

 

ช่วงที่ KFC ประกาศสัมภาษณ์งาน 24 คน สุดท้ายเขารับ 23 คน มีผมคนเดียวที่ถูกปฏิเสธ หรืองานที่สมัครกัน 6 คน เขาได้งานกัน 5 คน และก็เป็นผมคนเดียวที่พลาด ครั้งหนึ่งผมและญาติเคยไปสมัครเป็นพนักงานเสิร์ฟที่โรงแรม 4 ดาวในเมืองด้วยกัน เรารอกันนานเกือบ 2 ชั่วโมง เขาได้งาน แต่ผมถูกปัดตก จนคุณแม่ของผมท่านก็ได้แต่มองผมแล้วถอนหายใจ

 

แต่ผมรู้ว่านี่คือการฝึกซ้อมของผม ก่อนที่ผมจะอายุ 30 ผมเจอแต่ความผิดหวังและพ่ายแพ้ แต่ผมไม่เคยยอมแพ้ ผมคิดว่ามันยังพอจะมีโอกาสรอผมอยู่ หลังจากนั้นผมก็มาเป็นอาจารย์สอนที่มหาวิทยาลัยเป็นเวลา 6 ปี ช่วงปีที่ 5 ผมได้รับการคัดเลือกจากนักศึกษาให้เป็นอาจารย์ดีเด่น

 

สิ่งเดียวที่เราควรทำคือการแชร์ประสบการณ์และ Know-How ที่มี โดยเฉพาะความผิดพลาดกับผู้อื่น นั่นแหละความเชื่อของผม พวกคุณจำไว้ให้ดีว่าถ้าต้องการจะประสบความสำเร็จ จงเรียนรู้จากบทเรียนความผิดพลาดของผู้อื่น ไม่ใช่เรื่องราวความสำเร็จ เรื่องราวความสำเร็จที่เขาทำได้อย่าไปฟัง เพราะว่ามันมีเหตุผลที่มาหลายประการ

ผมจำได้ว่าครั้งแรกที่โรงเรียน Harvard Business ติดต่อมาหาผมว่าอยากจะเขียนเรื่องราวกรณีศึกษาของผม ช่วงนั้นน่าจะราวๆ ปี 2001 หรือ 2000 นี่แหละ พวกเขาใช้เวลาเป็นอาทิตย์ขลุกอยู่กับผมและเขียนรายงาน แต่พอผมได้อ่าน ผมก็บอกพวกเขาว่า “นี่ไม่ใช่ผมหนิ นี่มันคุณ” พวกเขาก็บอกว่า “นี่ไม่ใช่พวกเรา นี่แหละคุณ!” หลังจากนั้นพวกเขาก็เอาเรื่องที่เขียนไปสอนต่อๆ กันในมหาวิทยาลัยหลายแห่ง

 

5 ปีถัดมาพวกเขาเชิญผมไปพูดเรื่องกรณีศึกษาอีกครั้ง และก็เชิญผู้นำองค์กรบริษัทคู่แข่งมาด้วย ทุกๆ ครั้งที่ผมพูดเรื่องกรณีศึกษาของผม Alibaba ดูจะล้มเหลวตลอด ในขณะที่คู่แข่งก็ดูจะประสบความสำเร็จตลอด ขณะที่พอผ่าน 5 ปีนั้นไป ทุกบริษัทกลับเจ๊งระนาว มีแค่เราที่ยังอยู่รอด เพราะฉะนั้นผมเลยสงสัยว่าทำไมพวกคุณถึงเอาแต่เรียนหรือถกเถียงเรื่องราวของการประสบความสำเร็จกัน การเรียนรู้จากข้อผิดพลาดไม่ใช่เพื่อให้คุณหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดนั้น แต่เมื่อความผิดพลาดนั้นมาเยือนคุณอีกครั้ง คุณจะรู้วิธีการรับมือและเผชิญหน้ามัน หนังสือที่ผมอยากเขียนมากที่สุดคือ ‘1,001 ความผิดพลั้งของ Alibaba’

 

ใช้จ่ายเงินอย่างมีสติ ลงทุนเพื่อวันข้างหน้า

ผู้คนมักจะบอกว่า แจ็คคุณเป็นเศรษฐีและคงไม่มีเวลาจะมาใช้เงิน และผมก็ทราบดีว่าเงินพวกนี้มันไม่ใช่ของผม ถ้าแค่ 1-2 ล้านมันอาจจะใช่ แต่ถ้า 20 ล้านมันจะมีปัญหาต่างๆ ตามมาอีกมากรวมถึงเรื่องหุ้น

 

และเมื่อไรก็ตามที่คุณมีทรัพย์สินมากกว่า 1 พันล้าน นั่นคือจำนวนเงินที่มาพร้อมกับความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ เนื่องจากสังคมเชื่อมั่นในตัวคุณว่าจะควบคุมการใช้เงินได้ดีกว่าพวกเขา ถ้าคุณคิดว่ามันคือเงินของคุณทั้งหมด คุณเจอปัญหาแน่นอน

 

นี่คือส่ิงที่ผมเชื่อ คนหนึ่งๆ จะมีเงินมากกว่า 20 หรือ 2 พันล้านได้อย่างไร มันไม่สำคัญว่าคุณจะทำงานหนักแค่ไหน เพราะคุณจะไม่มีวันได้เงินจำนวนนั้นแน่ๆ เงินมหาศาลขนาดนี้มาจากความเชื่อมั่นในเครดิตที่คุณมี ฉะนั้นคุณควรใช้เงินจำนวนนี้ให้ดีกว่าภาครัฐหรือคนอื่นๆ ใช้มันเพื่อส่งเสริมหน่วยงานองค์กรที่เหมาะสม

 

พวกเราทุ่มเงิน 1 แสนล้านหยวน หรือประมาณ 15,000 ล้านเหรียญสหรัฐเพื่อการวิจัยสำหรับเทคโนโลยีขั้นสูง ในฐานะบริษัทผมหวังว่าในอนาคตเราจะได้กำไรมหาศาลเพราะเทคโนโลยีที่เรามี  

 

คนอย่างพวกเราเมื่อมีเงิน มีช่องทาง และกลุ่มบุคลากรรุ่นใหม่ที่เป็นเลิศ เราควรทุ่มเงินไปกับการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อช่วยส่งเสริมผู้คน สร้างพละกำลังให้พวกเขา ทำคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น นี่คือส่ิงที่พวกเราต้องการจะลงทุนพัฒนา

 

ทำอย่างไรเมื่อปัญญาประดิษฐ์และหุ่นยนต์คืบคลานเข้ามา

ผมไม่ชอบการถกเถียงในประเด็นที่ปัญญาประดิษฐ์และ Big Data จะเข้ามาคุกคามมนุษย์ เพราะผมคิดว่าปัญญาประดิษฐ์จะเข้ามาสนับสนุนมนุษย์มากกว่า  ส่วนเทคโนโลยีก็จะเข้ามาช่วยเหลือผู้คน ไม่ใช่การปิดกั้นพวกเขา ตอนที่รถถือกำเนิดครั้งแรก มนุษย์เกลียดมัน แต่วันนี้เรากลับคิดว่ารถเป็นส่ิงที่ดี

 

ในอนาคตเมื่อนำมนุษย์ไปเปรียบเทียบกับเครื่องจักร เราก็จะไม่มีโอกาสชนะเลย คอมพิวเตอร์จะฉลาดกว่าเราอยู่แล้ว พวกมันไม่เคยลืมอะไรทั้งนั้น จดจำได้ทุกอย่าง ไม่ฉุนเฉียวโมโห คำนวณทุกสิ่งอย่างได้รวดเร็ว แต่คอมพิวเตอร์จะไม่มีวันสุขุมได้เหมือนเรา

 

อะไรคือความต่างระหว่างฉลาด (Smart) และปราดเปรื่อง (Wisdom) ในมุมมองของผม คนฉลาดจะเห็นสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น แต่คนที่สุขุมคือคนที่เห็นในสิ่งแกล้งทำเป็นมองไม่เห็น คนฉลาดรู้ว่าตนต้องการอะไร คนที่หลักแหลมจะรู้ว่าอะไรคือส่ิงที่เขาไม่ต้องการ

 

ผมขอบอกอะไรคุณสักอย่างละกันว่าปัญญาประดิษฐ์และหุ่นยนต์จะเข้ามาแย่งงานมนุษย์ในอนาคตแน่ๆ พวกเราจึงต้องลงทุนกับอุตสาหกรรมภาคบริการให้มากขึ้น เนื่องจากจะมีอัตราการบริโภคมากขึ้นในอนาคต และอุตสาหกรรมนี้ก็ยังมีความหวังอยู่ แต่คุณต้องทำให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวด้วย

 

ผู้นำที่ดีต้องคิดบวก ทุกกระบวนการทำงานคือมรดกล้ำค่าของคนรุ่นหลัง

ประการแรกเลยมันคือสัญชาตญาณของคุณล้วนๆ ถัดมาคุณควรฝึกซ้อมกับการเผชิญประสบการณ์ที่ยากลำบากแต่ยังคงคิดบวกเสมอ ผมพบว่าผู้นำที่เจ๋งๆ ของโลกล้วนแล้วแต่คิดบวกทั้งนั้น พวกเขาไม่เคยตำหนิผู้อื่น แต่เลือกที่จะมองหลายๆ มุมมากกว่า

 

ที่บริษัทของผม ช่วงแรกก็ไม่มีใครชอบผมเพราะผมมักจะคิดถึงแต่แผนการระยะยาว 5 ปี 10 ปี แต่หลังจากที่พวกเราได้ทำงานกัน 5 ปี พวกเขาก็พบว่าสิ่งที่ผมคิดคือสิ่งที่ถูก งานของผู้นำคือเวลาที่ทุกคนกำลังมีความสุข คุณต้องมองหาสิ่งที่ดูเป็นความทุกข์ เมื่อทุกคนดูเป็นทุกข์ คุณก็ต้องมองหาสิ่งที่เป็นสุขแทน การเป็นผู้นำคือสิ่งที่เป็นธรรมชาติแต่คุณก็ควรจะฝึกฝนและเรียนรู้

 

ผมโชคดีที่มีผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทถึง 18 คนและส่วนใหญ่ก็เป็นลูกศิษย์ของผมทั้งนั้น ตอนที่อยู่ในอพาร์ตเมนต์ของผม ผมบอกทุกคนว่าภารกิจของตัวเองคือการถ่ายวิดีโอตลกๆ ตอนที่ Alibaba เปิดตัววันแรก ผมถ่ายวิดีโอเก็บทุกอย่างที่สำคัญไว้ รวมถึงการประชุมร่วมกัน จุดประสงค์ก็คือวันหนึ่งข้างหน้าถ้าเราล้มเหลว เราจะได้นำวิดีโอนี้ให้ผู้คนได้ศึกษาว่าเพราะเหตุใด แต่ถ้าประสบความสำเร็จเราก็มีตัวอย่างให้เขาดู เพราะฉะนั้นผมเลยมีวิดีโอกองไว้เป็นจำนวนมาก

 

อย่าทะนงตน รู้จักการบริหารทรัพยากรบุคคลให้เกิดประโยชน์

เริ่มแรกผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเทคโนโลยีและการจัดการทั้งนั้น ซึ่งคุณไม่จำเป็นต้องรู้อะไรมากมายหรอก แต่คุณต้องหาคนที่ฉลาดกว่าคุณเข้ามาร่วมงาน สิ่งที่ผมทำเป็นลำดับแรกๆ คือหาคนที่มีความรู้ด้านคอมพิวเตอร์เข้ามา นักบัญชีที่ฉลาดกว่าผม ตลอดหลายปีที่ผ่านมาผมพยายามจะหาคนที่ฉลาดกว่าผมมาทำงานด้วยเสมอ พอมีพนักงานที่ฉลาดจำนวนมาก หน้าที่ผมคือทำให้แน่ใจว่าพวกเขาหรือเธอจะทำงานร่วมกันได้ เมื่อสามารถทำได้เช่นนั้น วิสัยทัศน์ที่คุณเชื่อก็เป็นเรื่องง่ายแล้ว

 

คนไม่ฉลาดจะทำงานด้วยกันได้ง่ายมากกว่าคนฉลาด แต่พวกเขาจะไม่มีวันเชื่อในวิสัยทัศน์ของคุณ สิ่งสำคัญคือการหาคนที่ฉลาดมาสู่องค์กร  

 

ผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดของบริษัทคือลูกจ้าง ในช่วงแรกผมใช้เวลานานมากควานหาพนักงานของ Alibaba ผมคุยกับทุกคนเกือบ 2 ชั่วโมงและพวกเขาก็ตกลงมากับผม ผมบอกพวกเขาว่าผมจะไม่สัญญาว่าคุณจะรวย ไม่สัญญาว่าจะได้เลื่อนตำแหน่ง แต่ผมสัญญาว่าคุณจะต้องเจ็บปวด มีชีวิตที่แย่ ทุกๆ ความย่ำแย่จะเกิดขึ้นกับคุณเมื่อเข้ามาทำงานที่นี่ เพราะถ้าคุณให้สัญญาในสิ่งดีๆ คุณจะล้มเหลว เพราะแม้แต่ผมก็ยังให้สัญญาตัวเองไม่ได้เลยด้วยซ้ำในช่วงนั้น เรารู้ว่านั่นคืออนาคต แต่ก็ไม่แน่ใจว่าเราจะไปถึงจุดนั้นได้ไหม และถ้าคุณไม่ร่วมกันทำมัน เราก็จะตกงานกันหมด

 

ครูและหัวหน้าที่ดีย่อมอยากเห็นลูกศิษย์และลูกทีมไปได้ไกลกว่าตน

ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองจะกลายเป็นอาจารย์หรือซีอีโอที่ดีได้ สิ่งที่ผมเรียนรู้จากการเป็นอาจารย์และบุคลิกของคนเป็นครูคือพวกเรามักจะคาดหวังให้ลูกศิษย์ทำได้ดีกว่าตน อยากให้นักเรียนเป็นนายธนาคาร นายกรัฐมนตรี นักวิทยาศาสตร์ นี่คือสิ่งที่คนเป็นครูต้องการ ถ้าคนเป็นครูไม่คิดเช่นนี้พวกเขาคือครูที่แย่มากๆ ครูที่ดีต้องการให้ศิษย์ดีกว่าตน ไม่มีครูคนไหนอยากให้ศิษย์ตัวเองติดคุกล้มละลาย

 

เมื่อเป็นซีอีโอ ผมต้องการให้คนที่เข้ามาทำงานที่บริษัทผมทำผลงานได้ดีกว่าที่เขาคิด ทุกๆ ส่ิงที่บริษัทควรจะทำคือทำให้แน่ใจว่าองค์กรมีสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการพัฒนาเขาให้เป็นคนเก่งกว่าเดิม นี่คือหน้าที่ของคนเป็นครู (ซีอีโอ) การเป็นครูไม่ได้หมายความว่าผมรู้ดีกว่าคุณเพราะตรากตรำเรียนมาจากที่อื่น ครูควรจะใฝ่รู้ตลอดเวลา แบ่งปันอยู่ตลอด และคาดหวังให้ลูกศิษย์ดีกว่าตนเสมอๆ อยู่แล้ว

 

ปฏิวัติรูปแบบการเรียนการสอนได้แล้ว

การศึกษาคือความท้าทายครั้งใหญ่ในตอนนี้ ถ้าเราไม่เปลี่ยนแปลงรูปแบบการสอนเด็กๆ อีก 30 ปีข้างหน้าเราแย่แน่ๆ เพราะหลักสูตรที่เราสอนเด็กๆ ในวันนี้คือส่ิงที่ดำเนินมาเป็น 200 ปีแล้วกับการยึดติดแค่ความรู้แบบเดิมๆ เป็นหลัก ซึ่งเราจะไม่สามารถสอนพวกเขาให้แข่งกับเครื่องจักรที่ฉลาดกว่าได้เลย เราต้องสอนอะไรที่จำเพาะมากขึ้น ซึ่งจะทำให้หุ่นยนต์ตามเราไม่ทัน

 

ส่ิงที่คุณควรสอนเด็กๆ คือ คุณค่า ความเชื่อ อิสระทางความคิด ทีมเวิร์ก ความห่วงใยถวิลหาผู้อื่น นี่คือส่วนประกอบเล็กๆ น้อยๆ ที่ ‘ความรู้’ ให้เราไม่ได้ นี่คือเหตุผลว่าทำไมเราควรสอนให้เด็กๆ รู้จักกีฬา, ดนตรี, ศิลปะ เพื่อให้แน่ใจว่ามนุษย์และทุกสิ่งที่เราสอนพวกเขาจะต่างจากหุ่นยนต์ เพราะถ้าหุ่นยนต์ทำได้ดีกว่าเราเมื่อไร เมื่อนั้นเราคงต้องมานั่งพิจารณาตัวเองกันแล้ว

ตื่นรู้และปรับตัวตลอดเวลา การเป็นองค์กรที่ดีต้องควบคู่กับจิตใจที่ดีงาม

ถือเป็นโชคดีที่ผมไม่จำเป็นต้องทำอะไรพวกนี้มากในบริษัท (กระตุ้นให้คนพัฒนาตัวเอง) เพราะพวกเราทุกคนสู้กันยิบตาอยู่แล้วเพื่ออนาคต เรารู้ว่าถ้าไม่ทุ่มเทมากพอ คู่แข่งอย่าง Facebook, Google, Amazon ก็จะทำได้ดีกว่าคุณ

 

มันคือการแข่งขันในระดับโลก ไม่ใช่แค่การแข่งขันในอุตสากรรมเทคโนโลยีเท่านั้น จากวันแรกที่เราก่อตั้งด้วยบุคลากรจำนวน 18 คน มีวิศวกรแค่ 2 คน แต่วันนี้เรามีวิศวกรมากกว่า 25,000 คน พวกเขาฉลาดทุกคน และทำได้ดีกว่าเมื่อ 18 ปีที่แล้ว

 

แต่สิ่งเดียวที่ผมต้องการทำให้แน่ใจคือคนเหล่านี้มีพื้นฐานจิตใจที่ดี เพราะด้วยเทคโนโลยีที่เรามี ถ้าพวกเขาไม่มีจิตใจที่ดีเราก็จะสร้างหายนะให้กับโลก Google, Facebook, Amazon, Alibaba บริษัทเหล่านี้คือบริษัทที่โชคดีที่สุดในศตวรรรษนี้ แต่เราก็ควรมีความรับผิดชอบด้วยใจที่ดีเพื่อทำสิ่งที่ดีด้วย

 

Photo: AFP

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X