×

จ๋า BNK48 จากเด็กขี้อาย สู่การเป็นไอดอลเพื่อส่งต่อแรงบันดาลใจเหมือนอย่างที่รุ่นพี่เคยทำไว้

04.04.2018
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

7 Mins read
  • จ๋าเคยเป็นเด็กขี้อายที่ไม่ยอมคุยกับใครนอกจากพ่อแม่ของตัวเอง ถึงขนาดแม่ต้องส่งไปเรียนการแสดงเพื่อให้จ๋ากล้าแสดงออกมากขึ้น
  • จุดเริ่มต้นความฝันการเป็นไอดอลของจ๋า เริ่มจากการดูแอนิเมชันเรื่อง AKB0048 จนเริ่มติดตามผลงานของวง AKB48 โดยมีรุ่นพี่อย่างมายูยุและทากามินะซังเป็นต้นแบบ
  • ในช่วงแรกจ๋าไม่มีความมั่นใจในตัวเองและชอบเปรียบเทียบตัวเองกับเพื่อนๆ ในวงอยู่บ่อยๆ จนตอนหลังค้นพบว่า จริงๆ แล้วเธอไม่จำเป็นต้องแข่งกับใคร แค่ตั้งเป้าพัฒนาตัวเองให้ดีกว่าวันก่อนก็พอแล้ว

ท่ามกลางแสงไฟที่ส่องไปยังสมาชิก BNK48 วงไอดอลสาวที่กำลังเป็นที่นิยมที่สุดในเวลานี้ หากมองลงไปให้ดีๆ เราจะเห็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ พูดน้อยไม่ค่อยกล้าแสดงออก ที่มักจะทำเพียงแค่ส่งเสียงหัวเราะและรอยยิ้มพร้อมกับเขี้ยวเสน่ห์ออกมาให้เพียงเล็กน้อยเท่านั้นเมื่อเทียบกับสมาชิกคนอื่นในวง

 

แต่เมื่อไรก็ตามที่ ณปภัช วรพฤทธานนท์ หรือ จ๋า BNK48 ได้รับโอกาสให้ขึ้นไปแสดงบนเวที ไม่ว่าจะร้องหรือเต้นในเพลงใดๆ ก็ตาม เธอจะใส่พลังและความตั้งใจที่มีทั้งหมดลงไป เพื่อแสดงออกในสิ่งที่เธอหลงรักมาตั้งแต่เด็ก และส่งต่อพลังนั้นไปยังกลุ่มแฟนคลับให้ได้รับพลังงานที่ดีๆ กลับไปทุกครั้ง

 

พูดกันตามตรงถ้าเทียบกับสมาชิกคนอื่นๆ ในตอนนี้ ต้องยอมรับว่าคะแนนนิยมของจ๋าอาจจะยังไม่สูงเท่าไรนัก แต่จากการที่ THE STANDARD มีโอกาสได้พูดคุยกับเธออย่างตรงไปตรงมา เราเชื่อแบบเต็มร้อยว่าเรื่องความตั้งใจต่อหน้าที่ที่ได้รับ ไอดอลสาววัย 15 ปีคนนี้มีไม่แพ้ใคร และเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม เธอก็พร้อมจะพัฒนาศักยภาพทุกอย่างเพื่อเติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่ที่ออกดอกผลเป็นร่มเงาให้ทั้งตัวเองและแฟนคลับได้อย่างแน่นอน

 

 

เท่าที่ติดตามจ๋ามาตลอด จะเห็นจ๋าค่อนข้างขี้อายและพูดน้อยเมื่อเทียบกับเพื่อนๆ ในวง BNK48 คนอื่น จริงๆ จ๋ามีนิสัยแบบนี้มาตั้งแต่เด็กๆ เลยหรือเปล่า

ใช่ค่ะ จ๋าเป็นเด็กขี้อายมาก ไม่อยากคุยกับคนอื่น คิดว่าโลกของเราคือบ้าน แค่พ่อกับแม่รักเราก็พอแล้ว แต่แม่เป็นคนเฟรนด์ลีมาก เวลาออกไปไหนก็จะบอกว่าสวัสดีคนนี้สิลูก จ๋าก็จะไม่คุย ไปหลบข้างหลังแม่ตลอด แล้วก็หวงแม่ ไม่อยากให้แม่คุยกับคนอื่นด้วยนะ ถ้าแม่คุยกับใครนานๆ ก็จะเริ่มดึงแขนแม่ บอกว่ากลับบ้านได้แล้ว ถ้าแม่ไม่ยอมก็ร้องไห้ เรียกร้องความสนใจไปเลย จนแม่ก็จะปลอบให้หยุดร้อง พอเราอารมณ์ดีขึ้น แม่ก็จะบอกว่าทำแบบนี้ไม่ดีเลยนะ คนอื่นจะมองเราเป็นเด็กไม่ดี ทั้งๆ ที่เราก็เป็นเด็กน่ารัก จ๋าก็จะไม่ค่อยกลัวแม่ แต่จะกลัวพ่อ เพราะพ่อไม่ค่อยดุ แต่มือหนักมาก (หัวเราะ) ถ้าทำความผิดร้ายแรงขึ้นมาจะโดนตีทันที จำได้เลยว่าวันหนึ่งพ่อทำงานอยู่ แต่จ๋าอยากเล่นเกมแต่งตัว ก็ไปแย่งเขาเล่น แล้วโดนฟาดผัวะ หลังจากนั้นก็ไม่กล้าดื้อกับพ่ออีกเลย (หัวเราะ)

 

ส่วนแม่จะเตือนด้วยเหตุผล แต่ก็ไม่วายโดนแม่ตีอยู่ดี เพราะแม่จะเคี่ยวเข็ญเรื่องการเรียนมาก แล้วครั้งหนึ่งแม่ส่งเราไปเรียนพิเศษ แต่จ๋าไม่ยอมท่องคำศัพท์ พูดแต่ว่าไม่เอา ไม่อยากท่องอยู่แบบนั้น จนโดนแม่ตี แล้วพยายามวิ่งไปหลบหลังพ่อ ซึ่งพ่อก็ไม่เข้าข้างเราเหมือนกัน (หัวเราะ)

 

นิสัยชอบเก็บตัว ไม่อยากคุยกับคนอื่นของจ๋าเริ่มหายไปตั้งแต่เมื่อไร

พอนิสัยของจ๋าไม่หายสักที ช่วงอายุประมาณ 7 ขวบ แม่ก็เลยมีความคิดว่าอยากส่งให้ไปเรียนการแสดง ให้เรากล้าแสดงออก กล้าพูดกับคนอื่นมากขึ้น ตอนแรกจ๋าก็งอแงไม่อยากไปเหมือนเดิม ทะเลาะกับแม่ตั้งแต่อยู่บนรถ บอกว่าทำไมต้องส่งเรามาเรียนด้วย แต่แม่ไม่สนใจแล้ว พอไปถึงลากเข้าห้องไปเลย (หัวเราะ) แล้วพอไปถึงคุณครูก็ดุมาก ก็ร้องไห้ตั้งแต่ไปถึง แต่พอเริ่มคลาส สิ่งแรกที่ต้องทำคือต้องแสดง 4 อารมณ์คือ ดีใจ โกรธ เศร้า แล้วก็ร้องไห้ ซึ่งจ๋าทำไม่ได้สักอย่างเลย ขนาดร้องไห้หนักๆ อยู่ แต่พอครูบอกให้ร้องไห้ น้ำตามันดันหยุดไหลขึ้นมา เหมือนมีความรู้สึกต่อต้านอยู่ในใจ แล้วเป็นแบบนั้นอยู่หลายครั้งเลยนะ

 

จนครั้งหนึ่งโดนครูเรียกไปว่าหน้าชั้นเรียน บอกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ถ้าให้เกรดของจ๋าจะได้ F- ซึ่งน้อยกว่ามาตรฐานที่ต่ำสุดอีก (หัวเราะ) เพราะเราทำอะไรไม่ได้สักอย่าง ทำแบบนี้พ่อแม่ไม่เสียใจเหรอที่เสียเงินส่งเรามาเรียน ทำไมไม่ตั้งใจให้มากกว่านี้ แล้วครูก็ว่าไปเรื่อยๆ จนร้องไห้จนได้ แล้วเขาก็ชมเราทันทีเลย บอกว่าจำอารมณ์นี้เอาไว้ให้ดีๆ นะ หลังจากนั้นเหมือนปลดล็อกความรู้สึกในตัว กลายเป็นไม่ว่าจะให้ทำอารมณ์ไหน หัวเราะ ดีใจ ร้องไห้ โกรธ จ๋าก็ทำได้หมดเลย เริ่มมีความกล้าแสดงออกมากขึ้น จนเริ่มมีคนทาบทามให้ไปเล่นละคร และเป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าวงการ  

 

 

จากเด็กที่ได้เกรด F- กลายเป็นเกรดอะไรในเวลาต่อมา

A+ ทุกครั้งเลยค่ะ แต่ถามว่าชอบการแสดงตั้งแต่ตอนนั้นเลยหรือเปล่า ก็ยังไม่แน่ใจนะ เอาจริงๆ เรายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันสนุกจริงๆ หรือเปล่า แต่เหมือนพอได้เรียนไปเรื่อยๆ กลายเป็นซึมซับสิ่งเหล่านั้นเข้ามาอยู่ในตัว พอรู้ตัวอีกทีก็ไม่ได้เกลียด ไม่ได้รู้สึกยี้ว่าจะต้องไปเรียนการแสดงอีกแล้ว

 

พอเริ่มแสดงละคร นิสัยชอบเก็บตัวก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ต้องรู้จักปรับตัวที่จะคุยกับคนอื่น เพราะแม่ไม่ได้มาคอยดูแลเราได้ตลอดเวลา เวลาไม่รู้เรื่องตรงไหนก็ต้องถามพี่ๆ ในกองถ่าย กินข้าวร่วมกับคนอื่น ได้เจอเพื่อนๆ พี่ๆ ที่เริ่มสนิทกัน ทำให้จ๋าเริ่มมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีมากขึ้น

 

เท่าที่ไปตามดูผลงานเก่าๆ ของจ๋ามา จะเห็นว่ามีแต่บทโหดๆ ต้องร้องไห้ หรือเป็นเด็กมีปัญหาทั้งนั้นเลย

สงสัยเพราะการร้องไห้ที่ครูสอนในวันนั้นล่ะค่ะ (หัวเราะ) เลยทำให้จ๋าเป็นเด็กไม่กี่คนที่ร้องไห้แบบสั่งได้ ตั้งแต่บทเด็กป่วยเป็นธาลัสซีเมียในเรื่องแรก จนมาเป็นคนบ้าในละครเรื่อง ขุนเดช ที่ต้องร้องไห้ทุกฉาก กรี๊ดทุกฉาก หรือบทปัทมาในเรื่อง ขมิ้นกับปูน ก็มีแต่ซีนดราม่า เหวี่ยงอารมณ์ทั้งนั้น จนอายุประมาณ 11 ขวบที่เลิกเล่นละคร น่าจะผ่านละครมาประมาณ 10 เรื่อง ก็มีแต่บทร้องไห้ทั้งนั้น ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม เพราะบางทีจ๋าก็อยากเล่นเป็นเด็กๆ ที่มีความสุขกับเขาบ้างเหมือนกันนะ (หัวเราะ)

 

ละครเรื่อง ขมิ้นกับปูน ที่แจ้งเกิดให้จ๋าในฐานะนักแสดง

 

จ๋าถือว่าเป็นนักแสดงเด็กที่ทำผลงานได้ดีขนาดนั้น เคยคิดบ้างไหมว่าจะเอาดีทางด้านการแสดงแบบจริงๆ จังๆ ไปเลย

ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเคยมีความคิดถึงขนาดนั้นหรือเปล่า เพราะเท่าที่รู้สึกคือ เราพอที่จะสนุกและทำได้อยู่บ้างก็เลยทำมาเรื่อยๆ แต่พออายุประมาณ 11 ขวบ มีเพื่อนชวนให้ดูแอนิเมชันเรื่อง AKB0048 ตอนแรกจ๋าชอบดูพวกแอนิเมชันสาวน้อยอยู่แล้วนะ พอมาเจอเรื่องนี้ก็ยิ่งชอบ เพราะรู้ว่าเป็นการ์ตูนไอดอลที่ใช้การร้องเพลงเพื่อสู้กับอะไรหลายๆ อย่าง แล้วเพลงก็เพราะมาก ไปเสิร์ชหาเพลงฟังในยูทูบก็เจอว่ามันมีวงไอดอลที่ชื่อ AKB48 จริงๆ แล้วก็ติดตามวงนั้นมาเรื่อยๆ เพราะชอบรุ่นพี่ทากามินะซัง (มินามิ ทากาฮาชิ) กับรุ่นพี่มายูยุ (มายุ วาตานาเบะ) มากๆ  

 

จนกลายเป็นความฝันของจ๋าขึ้นมาว่าอยากเป็นแบบรุ่นพี่ทั้ง 2 คนบ้าง ช่วงนั้นจ๋าร้องเพลงกับเต้นเพลงของ AKB48 ในห้องน้ำทุกวัน ขนาดที่เราดูเป็นแค่การ์ตูน หรือเห็นพวกเขาเป็นไอดอลอย่างเดียวยังสร้างแรงบันดาลใจให้มากขนาดนี้ ถ้าเราเป็นแบบเขาได้ เป็นคนที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับใครหลายๆ คนได้เหมือนที่ AKB48 สร้างแรงบันดาลใจให้เราได้บ้างก็คงจะดีมากเลย

 

 

พอรู้เรื่องการประกาศออดิชันสมาชิกของวง BNK48 รู้สึกอย่างไรบ้าง

วันนั้นจ๋าเศร้ามาก เพราะเป็นวันคอนเสิร์ตจบการศึกษาของรุ่นพี่ทากามินะซังพอดี แล้วอยู่ๆ ก็มีประกาศว่าจะมีวงน้องสาวของ AKB48 อีก 3 วง แล้วมี BNK48 ด้วย ตื่นเต้น ดีใจมาก แต่ตอนแรกยังไม่คิดจะสมัคร เพราะคิดว่าเรายังเป็นนักเรียนอยู่เลย เพิ่งสอบเข้า ม.1 ที่โรงเรียนสามเสนวิทยาลัย ควรจะตั้งใจเรียนอย่างเดียวไปก่อนหรือเปล่า แต่อันนี้ก็เป็นความฝันของเรา เลยกรอกข้อมูลใบสมัครเอาไว้ อัดคลิปวิดีโอเรียบร้อย แต่ไม่เคยกล้ากดส่งจริงๆ จนถึงวันสุดท้ายที่ตัดสินใจสมัคร แล้วค่อยเดินไปบอกแม่ว่านี่คือความฝันอีกอย่างหนึ่ง จ๋าขอลองสมัครนะ แม่ก็บอกว่าถ้าเป็นความฝันของเราจริงๆ แม่ก็พร้อมสนับสนุน แต่ยังไม่กล้าบอกพ่อ เพราะพ่อซีเรียสเรื่องการเรียนมาก เขาแอบมีความหวังลึกๆ ว่าอยากให้จ๋าเป็นหมอ

 

พอประกาศว่าผ่านรอบแรก แม่ก็พาไปออดิชันรอบสองโดยที่ยังไม่บอกพ่อ จนวันประกาศว่าเราได้เป็น BNK48 แล้วจริงๆ ก็ค่อยรวบรวมความกล้าไปบอกพ่อ แล้วก็ทะเลาะกันจริงๆ ตามคาด (หัวเราะ) พ่อเป็นห่วงทั้งเรื่องสุขภาพของเราที่ต้องซ้อมหนัก ทั้งเรื่องที่จะไม่สามารถโฟกัสกับการเรียนได้เต็มที่ จนแม่ต้องเข้าไปคุยกับพ่อให้อีกรอบหนึ่งว่านี่คือความฝันของลูกจริงๆ สุดท้ายพ่อก็ยอมให้เป็น แต่ย้ำเหมือนเดิมว่าต้องไม่เสียการเรียนเด็ดขาด ซึ่งจ๋าก็รับปากว่าจะไม่ยอมให้เสียการเรียนเด็ดขาด และคิดว่าจะเลือกเรียนต่อในสายวิทย์-คณิต เพื่อเตรียมทางไว้สำหรับการสอบเข้าหมออย่างที่คุณพ่ออยากให้เป็นไว้ด้วย

 

หลังจากเข้ามาเป็นสมาชิกของ BNK48 จริงๆ แล้วปฏิกิริยาของพ่อเปลี่ยนไปบ้างไหม

ตอนนี้เรียกว่าเห่อเลย (หัวเราะ) เวลาเจอเพื่อนก็ชอบพูดว่า รู้จักวง BNK48 ไหม ลูกสาวอยู่ในวงนั้นด้วยนะ

 

 

รู้สึกอย่างไรบ้างเมื่อเราได้เข้ามาเป็น ‘ไอดอล’ แบบรุ่นพี่ที่เคยฝันไว้จริงๆ

ตอนแรกที่เข้ามาจ๋ากลัวมาก กลัวว่าทุกอย่างจะไม่ดี ไม่ได้สวยหรูแบบที่เราวาดเอาไว้ กลัวว่าจะไม่ใช่ทางเรา จำได้ว่าวันแรกก่อนจะเปิดประตูเข้าไปเจอเพื่อนๆ ยังลังเลมากว่าจะกลับไปเรียนดีไหม ตอนนี้ยังทันนะ แต่ก็คิดว่าเราอุตส่าห์ผ่านมาถึงขนาดนี้แล้ว นี่คือสิ่งที่เราตอบตัวเองได้แล้วว่าชอบมันจริงๆ

 

แล้วพอเข้ามาจริงๆ ก็รู้เลยว่าการที่เราได้ร้อง ได้เต้น ได้ส่งรอยยิ้ม ส่งความสุข ออกไปแสดงให้คนอื่นได้เห็นในสิ่งที่เราชอบ ในสิ่งที่เราเคยอยากเป็นมาโดยตลอด มันคือสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขมาก ทุกเพลงคือเพลงโปรดที่เราชอบฟัง ชอบร้อง ชอบเต้นในห้องน้ำ แต่วันนี้เราได้ไปยืนอยู่บนเวทีและได้ทำแบบนั้นให้คนอื่นมีความสุขและสนุกกับเราไปด้วย รวมทั้งสิ่งที่ได้รับจากแฟนคลับ ในฐานะคนที่เคยเป็นแฟนคลับของรุ่นพี่มาก่อน ทุกอย่างมันดีมากกว่าที่เราเคยคิดเอาไว้มากเลย

 

พลังของแฟนคลับมีผลกับจ๋าในฐานะ BNK48 มากขนาดไหน

เยอะมาก บางครั้งเวลาที่จ๋าท้อหรือเหนื่อยเวลาร้องหรือเต้นได้ไม่ดีพอ กดดันตัวเองจนคิดว่าถ้าเราทำไม่ได้ขนาดนี้ก็ออกไปเลยดีไหม แต่มันจะมีพลังจากแฟนคลับที่ส่งมาให้ ที่บอกให้รู้ว่ายังมีคนต้องการเราอยู่ มันรู้สึกดีมากเลยนะที่มีคนส่งจดหมายมาบอกว่าอยากเห็นเรายิ้ม เห็นเราได้ออกไปเต้นอยู่หน้าเวที ทำให้เรามีกำลังที่จะสู้ต่อไป

 

พอรู้ว่าแฟนคลับมีความสำคัญกับเรามาก ตัวจ๋าเองต้องพยายามทำอะไรบ้างเพื่อทำให้คนเหล่านั้นรักเราและสนับสนุนเราต่อไป

ช่วงแรกๆ สับสนว่าจะทำยังไงให้เขาชอบเราดี แล้วเรามีเพื่อนๆ อีก 28 คน ที่ถ้าเราแพ้เขาหรือแฟนคลับน้อยกว่าเขาจะทำยังไง จนเกิดความไม่เป็นตัวเองขึ้นมา เกิดการสร้างภาพลักษณ์ที่จะพยายามเป็นอย่างนู้นเป็นอย่างนี้เพื่อให้ทุกคนหันมาชอบเรา พยายามทำตัวให้น่ารัก คิกขุ ยิ้มให้กว้างที่สุด แสดงความสดใสให้มากที่สุด เพราะว่าอยากให้ทุกคนชอบเรา โดยที่ไม่รู้เลยว่าจริงๆ แล้วมันไม่จำเป็นต้องพยายามฝืนตัวเองขนาดนั้นก็ได้ ไม่มีใครหรอกที่จะยิ้มหรือทำตัวน่ารักได้ตลอดเวลา ทุกคนมีมุมที่น่าสนใจของตัวเอง ถ้าทุกคนคิดว่าต้องน่ารักสดใสเหมือนกันหมด แล้วเสน่ห์ของพวกเรา BNK48 จะมีอยู่ตรงไหน

 

จนสุดท้ายเราก็พยายามปล่อย ไม่คิดอะไรมาก พยายามสนุกกับสิ่งที่เป็น มีความสุขกับสิ่งที่เป็น แล้วก็พยายามแสดงความเป็นตัวเองออกมาในทางที่ดี ให้เห็นว่าเราก็เป็นคนอย่างนี้จริงๆ นะ คุณครูจะพูดเสมอว่า ถ้าเขารักที่เราเป็นตัวของตัวเอง อาจจะมีน้อยหน่อย แต่เขาจะรักเราไปตลอด เพราะถ้าเราแสร้งเป็นคนอื่น เมื่ออยู่ไปนานแล้วตัวตนที่แท้จริงของเราเปิดเผย เขาก็จะหายไป ไม่รักเราเหมือนเดิม และค่อยๆ หายไปในที่สุด

 

จ๋าเปรียบเทียบตัวเองกับเพื่อนๆ คนอื่นมากขนาดไหน เมื่อต้องพาตัวเองเข้าไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ต้องแข่งกับเพื่อนๆ อีกหลายคน

ช่วงแรกๆ ก็มีบ้าง อย่างงานจับมือครั้งแรก เราไม่ได้ตั้งใจมองนะ แต่ถึงช่วงที่เลนว่าง สายตาจะเหลือบไปมองเลนของคนอื่นโดยอัตโนมัติ แล้วเลนของจ๋าดันไปอยู่ใกล้ๆ กับเลนของตัวท็อปอย่างพี่แก้ว พี่อร พี่ปัญ ที่แถวยาวกันทั้งนั้น แล้วก็เสียใจว่าทำไมแถวเราถึงไม่มีคนเยอะแบบนั้นบ้าง จะทำยังไงดีให้คนมาต่อแถวของเรา

 

แต่ตอนหลังก็พยายามไม่คิดอะไรมาก แค่เลิกเปรียบเทียบกับคนอื่นในครั้งต่อไป ไม่ต้องคิดว่าแถวของเราจะต้องยาวกว่าคนอื่น เพราะยิ่งมองก็มีแต่ทำให้เราเป็นทุกข์ยิ่งกว่าเดิม ก็ตั้งเป้าว่าแค่ให้มีคนมาเยอะกว่าครั้งแรกก็พอ ซึ่งพอถึงงานจับมือครั้งที่สองก็โล่งใจมาก ถือว่าประสบความสำเร็จเพราะคนเพิ่มขึ้นเยอะเหมือนกัน

 

หรืออย่างตอนที่ต้องไลฟ์ในแอปฯ VOOV ครั้งแรกก็ตื่นเต้นมาก ตั้งแต่ตอนเปิดตัว BNK48 ใหม่ๆ จ๋าเคยคิดว่าเราน่าจะมีแฟนคลับเยอะกว่านี้ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เยอะอย่างที่คิด วันที่ต้องไลฟ์ก็เลยไม่มีความมั่นใจ กลัวว่าจะไม่มีคนมาดู ทำการบ้านเตรียมเรื่องที่จะพูดไว้เยอะมาก ตั้งกล้องรอไว้เป็นชั่วโมงก่อนที่จะเริ่มกดถ่าย แล้ววันนั้นปรากฏว่ามีคนเข้ามาดูประมาณ 500 คน ซึ่งมันอาจจะไม่เยอะถ้าเทียบกับเพื่อนคนอื่น แต่พอมาคิดใหม่ว่า ถ้าเราไม่ได้มาเป็น BNK48 จะมีคนดูถึงสิบคนหรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย นี่มีคนเข้ามาดูเราตั้งมากขนาดนี้แล้วนะ เพราะฉะนั้นไม่ต้องคิดอะไรให้มากแล้ว แค่ทำทุกอย่างให้ดีที่สุดก็พอ แล้วก็พยายามคิดแบบนั้นมาตลอด จนตอนนี้มีคนเพิ่มเข้ามาประมาณ 1,000 กว่าคนแล้ว

 

มีอะไรอยากบอกกับแฟนคลับที่คอยสนับสนุนเรามาตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้บ้างไหม

ขอบคุณที่คอยติดตาม คอยเชียร์ คอยสนับสนุนมาตลอดตั้งแต่วันที่จ๋ายังไม่มีความมั่นใจในตัวเอง แต่ทุกคนก็ยังเชื่อว่าจ๋าต้องทำได้ ต้องมีสักวันที่จ๋าจะได้เปล่งประกาย จนวันนี้ได้เป็นเซ็นเตอร์เพลง พลิ้ว ถึงจะยังไม่ใช่เพลงหลัก แต่จ๋าก็กำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ อยากขอบคุณทุกๆ ความเชื่อที่คอยอยู่เคียงข้าง สัญญาว่าจ๋าจะทำทุกอย่างให้เต็มที่และไม่ทำให้พวกเขาผิดหวังที่คอยเชียร์มาตลอด

 

จำนวนของแฟนคลับที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ บอกอะไรกับจ๋าในทุกวันนี้บ้าง

บอกว่าสิ่งที่เราพยายามทำมาตลอดมันค่อยๆ แสดงผลทีละนิดแล้วนะ เหมือนเรารดน้ำต้นไม้แล้วค่อยๆ เติบโตขึ้นมา อาจจะยังไม่โตเร็วเท่าของคนอื่น แต่อย่างน้อยก็เริ่มสูงขึ้น มีดอก มีผล มีร่มเงาออกมาบ้างแล้ว และต่อไปก็อยากให้ต้นไม้ของเราโตมากขึ้น มีผลที่อร่อยให้แฟนคลับและตัวของเราได้มีความสุขและเติบโตไปพร้อมๆ กัน

 

ถ้าเปรียบชีวิตเป็นต้นไม้ คิดว่าต้นไม้อะไรเหมาะกับจ๋ามากที่สุด

คงเป็นต้นแอปเปิ้ลมั้งคะ คิดว่าแอปเปิ้ลเป็นจุดเริ่มต้นของอะไรหลายๆ อย่าง ตอนเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ เซอร์ไอแซก นิวตัน ก็ค้นพบแรงโน้มถ่วงใต้ต้นแอปเปิ้ล มันคือจุดเริ่มต้นของเขาและอะไรอีกหลายอย่างมากมาย ก็เลยอยากให้เป็นจุดเริ่มต้นของจ๋าเหมือนกัน

FYI
  • นอกจากนิสัยชอบเก็บตัวไม่ยอมคุยกับใครแล้ว จ๋ายังเคยเป็นเด็กที่ไม่ชอบกินข้าว และติดการกินนมแม่จนอายุ 2 ขวบ และต้องพึ่งอาหารเสริมมาตลอด จนป่วยหนักตอนอายุ 8 ขวบ และหลังจากนั้นจ๋าก็กลายเป็นคนที่ชอบมากินตลอด ถึงขนาดเคยน้ำหนักขึ้น 5 กิโลกรัมในช่วงเวลาแค่ปิดเทอมครั้งเดียวมาแล้ว
  • ช่วงอายุ 8-10 ขวบ วัยกำลังซนของเด็กๆ ทั่วไป จ๋าเป็นเด็กที่ไม่ชอบเล่นม้าหมุน ชิงช้า สไลเดอร์ และเครื่องเล่นทุกชนิด เพราะกิจกรรมอย่างเดียวที่จ๋าชอบในวัยเด็กคือการนอนอย่างเดียวเท่านั้น
  • ผลงานแสดงของจ๋าที่ผ่านมาได้แก่ บท ทิพย์ ในละครเรื่อง ขุนเดช ออกอากาศปี พ.ศ. 2555 รับบทเป็นเด็กกำพร้าในละครเรื่อง พราว บท หนูลี ในละครเรื่อง ลีลาวดีเพลิง ออกอากาศปี พ.ศ. 2557 และบท ปัทมา ธรรมคุณ จากเรื่อง ขมิ้นกับปูน ที่แจ้งเกิดให้จ๋าได้ในปี พ.ศ. 2559 ฯลฯ
  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising