×

iPhone X ไร้ปุ่มโฮม ปลดล็อกด้วยใบหน้า ชาร์จไร้สาย เพิ่มลูกเล่น Animoji พร้อมสรุปไฮไลต์เด่นในงาน

13.09.2017
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

7 Mins. Read
  • งานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ย้ายมาจัดกันที่ ‘Steve Jobs Theater’ หอประชุมขนาดยักษ์ที่ตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้ร่วมก่อตั้งและอดีตซีอีโอคนเก่าที่ล่วงลับไปแล้วอย่าง สตีฟ จ็อบส์
  • ภายในงาน Apple ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ทั้งหมดที่แบ่งออกเป็น 4 หมวดใหญ่ๆ ได้แก่ Apple Watch Series3, Apple TV 4K, iPhone 8 & iPhone 8Plus และ iPhone X
  • ไฮไลต์เด่นสุดคงหนีไม่พ้น iPhone X สมาร์ทโฟนรุ่นฉลองครบรอบ 10 ปีไอโฟนที่มาพร้อมกับหน้าจอแบบไร้ขอบ (Bezel-less display) 5.8 นิ้ว ไม่มีปุ่มโฮม ความคมชัดแบบ Super Retina Display และยังสามารถใช้งานระบบตรวจจับใบหน้า Face ID เพื่อทำการปลดล็อกเครื่อง หรือ Animoji อิโมจิสื่ออารมณ์ผู้ใช้งานผ่านการทำงานร่วมกันของเซนเซอร์และกล้องหน้า

     ผ่านพ้นกันไปเป็นที่เรียบร้อยสำหรับงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ของ Apple ที่จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่เมื่อวันอังคารที่ 12 กันยายนที่ผ่านมาตามเวลาประเทศสหรัฐอเมริกา หรือตรงกับช่วงเที่ยงคืนของวันพุธที่ 13 กันยายนตามเวลาประเทศไทย

     งานเปิดตัวในครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่ย้ายมาจัดกันที่หอประชุมขนาดยักษ์ ‘Steve Jobs Theater’ ซึ่งเพิ่งจะเปิดใช้งานอย่างเป็นทางการไปหมาดๆ เมื่อช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา พวกเขาจึงเลือกใช้แท็กไลน์ประจำงานในครั้งนี้ไว้ว่า ‘Let’s meet at our place’ เพื่อแทนความหมายของการเปิดสำนักงานของบริษัทต้อนรับสื่อมวลชนจากทั่วทุกมุมโลกในการเยี่ยมชมสถานที่ และยลการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ประจำเดือนกันยายน 2017 นี้เป็นคร้ังแรก

 


 

     โดยก่อนงานเริ่มได้ประมาณ 2 ชั่วโมง ทิม คุก (Tim Cook) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนปัจจุบันของบริษัท ได้ทวีตข้อความพร้อมรูปถ่ายของ Steve Jobs Theater ว่า

     “เป็นวันที่ยิ่งใหญ่ของ Apple! พวกเรารู้สึกเป็นเกียรติและตื่นเต้นที่จะเป็นเจ้าภาพงานคีย์โน้ตแรกของพวกเราที่ Steve Jobs Theater ในเช้าวันนี้”

     ส่วนไฮไลต์เด็ดๆ ของงาน ผลิตภัณฑ์ และฟีเจอร์เด่นๆ ที่ทาง Apple ได้ทำการเปิดตัวจะมีอะไรกันบ้าง เราได้รวบรวมข้อมูลทั้งหมดไว้ให้คุณเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

“จิตวิญญาณของ สตีฟ จะเป็นดีเอ็นเอของ Apple ตลอดไป…”

     Steve Jobs Theater คือหอประชุมขนาดยักษ์ที่ถูกตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้ร่วมก่อตั้งและอดีตซีอีโอคนเก่าที่ล่วงลับไปแล้วอย่าง สตีฟ จ็อบส์ โดยตั้งอยู่ในชั้นใต้ดินแคมปัสของ Apple ณ เมืองคูเปอร์ติโน รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ซึ่งรองรับผู้คนได้มากถึง 1,000 ที่นั่ง

     และก่อนที่งานเปิดตัวผลิตภัณฑ์จะเริ่มต้นขึ้น ก็มีการเปิดเสียงพูดในอดีตของ สตีฟ จ็อบส์ ที่ส่งผ่านแรงบันดาลใจในการบริหารงานบริษัท Apple ให้กับบุคลากรทุกคน

     และเมื่อเสียงดังกล่าวเงียบลง ทิม คุก ก็ค่อยๆ เดินขึ้นเวทีมาพร้อมกับเสียงปรบมือ ทั้งยังกล่าวว่าเขารักเสียงและการสร้างแรงบันดาลใจของสตีฟมาก “ความจริงสตีฟควรจะได้เปิดหอประชุมของเขาด้วยตัวเอง

     “ไม่มีวันไหนเลยที่พวกเราจะไม่คิดถึงเขา ความทรงจำต่างๆ ได้ถาโถมมารวมกันอย่างรวดเร็วในวันที่เราช่วยกันเตรียมงานสำหรับวันนี้ แต่เราก็สามารถสะท้อนความเป็นตัวตนของเขาออกมาด้วยความสุขแทนที่จะเป็นความเศร้าได้ จิตวิญญานของสตีฟจะเป็นดีเอ็นเอของ Apple ตลอดไป”

     ทิมยังได้กล่าวแนะนำถึง Apple Park สำนักงานใหญ่ของทาง Apple ที่พนักงานทุกคนทุกแผนกในบริษัทจะเริ่มทยอยย้ายเข้ามาประจำการในช่วงปลายปีนี้

     “ที่ Apple Park เรามีการออกแบบให้ใกล้เคียงกับธรรมชาติมากที่สุด โดยที่แห่งนี้ถูกดัดแปลงมาจากพื้นที่ยางมะตอยขนาดกว่า 175 ไร่ให้กลายเป็นพื้นที่สีเขียวที่มีต้นไม้กว่า 9,000 ต้น ใช้พลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) แบบ 100% และยังติดตั้งหลังคาพลังงานแสงอาทิตย์ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก”

     ก่อนที่จะเข้าสู่ช่วงแนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ จาก Apple ซึ่งแบ่งออกเป็นทั้งหมด 4 หมวดใหญ่ๆ ได้แก่ Apple Watch Series3, Apple TV 4K, iPhone 8 & iPhone 8 Plus และ iPhone X โดยรายละเอียดต่างๆ มีดังนี้

 

 

Apple Watch Series 3 & OS4 โดดเด่นด้วยความสามารถในการใส่ซิมการ์ด

     ฟีเจอร์เด่นๆ ที่จะถูกเพิ่มขึ้นในระบบปฏิบัติการ Apple Watch OS4 คือตัวนาฬิกาจะสามารถเเจ้งเตือนผู้ใส่ได้ทันทีเมื่อมีอัตราการเต้นของหัวใจที่สูงเฉียบพลัน มีแนวโน้มว่าจะหยุดเต้น หรือเต้นผิดจังหวะ โดยจะปล่อยออกมาในวันที่ 19 กันยายนนี้

     สำหรับตัวเครื่อง Apple Watch Series 3 รุ่นใหม่จะมาพร้อมกับการรองรับการใช้งานสัญญาณโทรศัพท์และการใส่ซิมการ์ดในตัวเครื่อง โดย Apple ชูจุดขายที่ผู้ใช้สามารถไปไหนมาไหนโดยไม่ต้องมีโทรศัพท์พกติดตัวอีกต่อไป และยังฟังเพลงบน Apple Music จำนวน 40 ล้านเพลงได้ทันที

     Apple Watch Series 3 มาพร้อมกับ Dual Core Processor ที่ทำงานได้รวดเร็วกว่าเดิม 70% ทำให้ Siri ประมวลผลได้เร็วขึ้น และสามารถพูดได้ รวมถึงชิป W2 ที่ใช้ขับเคลื่อน Bluetooth และ Wifi ให้ทำงานได้เร็วขึ้น 85% สามารถกันนำ้และใช้ระบบนำทาง GPS โดยมีขนาดตัวเครื่องเท่าเดิม เมื่อเปรียบเทียบกับ Apple Watch Series2

 

 

     ราคารุ่นที่ใส่ซิมไม่ได้จะเริ่มต้นอยู่ที่ 329 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 10,898 บาท ส่วนรุ่นที่ใส่ซิมได้จะเริ่มต้นอยู่ที่ 399 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 13,217 บาท ซึ่งในช่วงแรกจะรองรับการใช้งานซิมการ์ดจากผู้ให้บริการแค่ใน 8 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา,​ แคนาดา, จีน, ออสเตรเลีย, ญี่ปุ่น, สหราชอาณาจักร, เยอรมนี และฝรั่งเศสเท่านั้น โดยจะเปิดให้สั่งจองในวันที่ 15 กันยายน และจัดส่งในวันที่ 22 กันยายน

 

 

Apple TV 4K คุณภาพความคมชัดที่เหนือโทรทัศน์ 4K ทั่วๆ ไป

     Apple TV 4K มาพร้อมกับความคมชัดแบบ 4K HDR ซึ่งจะให้คุณภาพของความคมชัดของภาพได้สดและสมจริงกว่าโทรทัศน์ทั่วๆ ไปที่มีคุณภาพความคมชัดแบบ 4K และยังมาพร้อมกับชิปประมวลผล A10X ที่ทำงานได้เร็วกว่าเดิม 2 เท่าตัว

     นอกจากนี้ยังจับมือกับสตูดิโอฮอลลีวูดชื่อดังอย่าง 20th Century Fox, Lionsgate, Paramount, Universal, Warner Bros. และ Sony Pictures ในการป้อนคอนเทนต์ต่างๆ ที่มีความคมชัดแบบ 4K HDR ให้ผู้ใช้งานทุกๆ คนได้ดูกันในราคาสมาชิกแบบเดิม (HD)

     อย่างไรก็ดี ปัจจุบันแอปฯ ของตัว Apple TV ยังใช้งานได้แค่ในประเทศสหรัฐอเมริกา, ออสเตรเลีย, แคนาดา, ฝรั่งเศส, เยอรมนี, นอร์เวย์, สวีเดน และสหราชอาณาจักรเท่านั้น

     Apple TV 4K รุ่นใหม่นี้จะสนนราคาที่ 179 เหรียญสหรัฐ (32 GB) หรือประมาณ 5,730 บาท และ 199 เหรียญสหรัฐ (64 GB) หรือประมาณ 6,591 บาท โดยจะเปิดให้สั่งจองในวันที่ 15 กันยายน และจัดส่งในวันที่ 22 กันยายน

 

 

Introducing to New iPhone

     แล้วก็ถึงช่วงเวลาที่ทุกคนรอคอย สำหรับการเปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ โดยทิม คุก ได้กล่าวก่อนเริ่มเผยโฉม iPhone รุ่นใหม่ว่า “การที่ iPhone ได้สร้างแรงกระเพื่อมต่อโลกใบนี้ในทุกๆ วันถือเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์มากๆ ความตั้งใจของพวกเรากับ iPhone คือการสร้างสรรค์ส่ิงที่ทรงพลัง ดื่มด่ำ และมหัศจรรย์อยู่เสมอ ซึ่งแทบจะเลือนหายไปแล้วในฮาร์ดแวร์ปัจจุบัน

     “iPhone รุ่นแรกได้เปลี่ยนวิธีการที่พวกเรามีปฏิสัมพันธ์กับเทคโนโลยีไปตลอดกาลด้วยการสามารถสัมผัสบนหน้าจอได้หลายนิ้ว (Multitouch) และตลอดหลาย 10 ปีที่ผ่านมา เรายังคงขับเคลื่อนนวัตกรรมด้วยนวัตกรรม ซึ่งพาให้เรามาอยู่ในจุดที่อยู่ในทุกวันนี้ด้วยการที่เราสามารถพัฒนาอุปกรณ์ที่ฉลาดขึ้น มีความสามารถมากขึ้น และสร้างสรรค์มากขึ้นกว่าที่เคย”

 

 

iPhone 8 และ iPhone 8Plus ฉีกขนบ iPhone ‘S’

     หนึ่งในไฮไลต์เด่นของการเปิดตัว iPhone 8 และ iPhone 8Plus ในครั้งนี้คือการที่ Apple เลือกข้ามการเปิดตัว iPhone 7s ไป ซึ่งโดยปกติแล้วการเปิดตัวรุ่น S ได้กลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่พวกเขายึดถือเป็นแนวทางของ iPhone มาเสมอนับตั้งแต่รุ่น iPhone 3GS ที่เปิดตัวมาเมื่อประมาณ 8 ปีที่แล้ว

     สำหรับวัสดุของตัวเครื่อง iPhone 8 และ iPhone 8Plus เป็นอลูมิเนียมเกรดเดียวกับที่ใช้ในยานอวกาศ มี 3 สีให้เลือกคือ สีเงิน, สีเทาสเปซเกรย์ และสีทอง (แบบใหม่) โดย iPhone 8 จะมาพร้อมกับขนาดหน้าจอ 4.7 นิ้ว ส่วน iPhone 8Plus มาพร้อมกับหน้าจอขนาด 5.5 นิ้ว เสริมคุณภาพด้วยลำโพงที่ดังกว่า iPhone 7 ถึง 25% และให้คุณภาพเสียงเบสที่แน่นกว่า ซึ่งทั้ง 2 รุ่นจะขับเคลื่อนด้วยชิปประมวลผล A11 Bionic แบบ CPU 6 Cores ที่ช่วยให้ทำงานได้รวดเร็วกว่าชิป A10 เกือบๆ 95% (CPU 2 ตัวทำงานได้เร็วกว่าเดิม 25%, ส่วน CPU อีก 4 ตัวช่วยให้ทำงานได้เร็วกว่าเดิม 70%)

 

 

     ส่วนข้อมูลด้านกล้องถ่ายรูป iPhone 8 จะมาพร้อมกับกล้องหลังขนาด 12 ล้านพิกเซล ขณะที่ iPhone 8Plus จะมาพร้อมกับกล้องหลังแบบเลนส์คู่ที่ 12 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงที่ f 1.8 และ f 2.8 ที่จะทำให้ภาพถ่ายแบบพอร์เทรตเห็นถึงความต่างแบบชัดลึกมากขึ้น และยังมีโหมด ‘Portrait Lighting’ ที่ทำให้ภาพถ่ายบุคคลที่ได้ออกมาเหมือนการถ่ายภาพจัดแสงในสตูดิโอก็ไม่ปาน

     ด้านการถ่ายวิดีโอ ทาง Apple เคลมว่า iPhone 8 และ iPhone 8Plus เป็นสมาร์ทโฟนที่สามารถจับภาพเคลื่อนไหวได้ดีที่สุดในบรรดาสมาร์ทโฟนบนโลกนี้ สามารถถ่ายวิดีโอในระดับความคมชัดแบบ 4K ที่เฟรมเรต 60 ต่อวินาที หรือระดับความคมชัดแบบ 1080p ที่เฟรมเรต 240 ต่อวินาที (สโลว์โมชัน)

     ทั้งคู่ยังมีความสามารถในการทำงานร่วมกับเทคโนโลยี AR (Augmented Reality) ซึ่งทั้งหมดจะถูกขับเคลื่อนด้วย  A11 Bionic โดยจะมีเกมและแอปพลิเคชันใหม่ๆ ที่รองรับการใช้งานแบบ AR บน iPhone ในอนาคตมากขึ้น

 

 

     ด้านการชาร์จแบตเตอรี่จะสามารถรองรับการใช้งานแบบไร้สายได้ โดยใช้มาตรฐานของ Qi Wireless Charging

     สนนราคาเริ่มต้นของ iPhone 8 จะอยู่ที่ 699 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 23,154 บาท โดยมีให้เลือกทั้งความจุแบบ 64 GB และ 256 GB เช่นเดียวกับ iPhone 8Plus ที่มาพร้อมกับความจุขนาด 64GB และ 256GB สนนราคาเริ่มต้นที่ 799 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 26,467 บาท โดยจะเปิดให้สั่งจองในวันที่ 15 กันยายนและจัดส่งในวันที่ 22 กันยายน ส่วนการอัพเกรดสำหรับ iOS 11 จะปล่อยให้ดาวน์โหลดในวันที่ 19 กันยายนนี้

 

 

iPhone X ไอโฟนเท็น ฉลอง 10 ปีแบบไร้ขอบ
ไร้ปุ่มโฮม

     เป็นอย่างที่สื่อหลายสำนักได้คาดการณ์ไว้ เเละไม่หนีจากข้อมูลที่มีการหลุดออกมาก่อนหน้านี้มากนัก สำหรับการใช้ชื่อเรียกว่า ‘iPhone X’ สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่จาก Apple ในวาระครบรอบ 10 ปี iPhone (X = 10 ตามการนับเลขแบบโรมัน)

     ทิม คุก ได้ให้ความเห็นว่า iPhone X (ไอโฟนเท็น) ถือเป็นก้าวกระโดดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ที่เคยมี iPhone รุ่นแรกมา ทั้งยังเป็นอนาคตที่แท้จริง

     iPhone X มาพร้อมกับขนาดหน้าจอแบบไร้ขอบ (Bezel-less Display) และไม่มีปุ่มโฮม! ขนาดอยู่ที่ 5.8 นิ้ว มีให้เลือกด้วยกัน 2 สี ได้แก่ สีเงิน และสีเทาสเปซเกรย์ พร้อมความสามารถในการกันฝุ่นและน้ำเช่นเคย ส่วนหน้าจอจะเป็นแบบ Super Retina Display โดยเป็นระดับความคมชัดสูงสุดเท่าที่ iPhone เคยมีมาที่ 2436 x 1125-458 ppi,ใช้เทคโนโลยีของ OLED Display ซึ่งให้ความแม่นยำของการแสดงผลของเม็ดสีได้อย่างยอดเยี่ยม

 

 

     และยังมาพร้อมกับกล้องหลังเลนส์คู่แบบแนวตั้งที่ 12 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงที่ f 1.8 และ f 2.4 เสริมด้วยแฟลชแบบ Quad-LED True Tone

     เท่านั้นยังไม่พอ กล้องหน้าแบบ TrueDepth ก็จะทำให้ผู้ใช้งานสามารถถ่ายภาพเซลฟี่แบบ Portrait Lighting ได้เช่นกัน เพื่อสอดรับความนิยมของเทรนด์การถ่ายรูปแบบเซลฟี่ด้วยกล้องหน้าในปัจจุบัน

     ส่วนแบตเตอรี่จะใช้งานได้นานกว่า iPhone 7 ถึง 2 ชั่วโมง และยังใช้ระบบชาร์จไร้สายด้วยมาตรฐานของ Qi Wireless Charging เช่นเดียวกับ iPhone 8 และ iPhone 8Plus

     สนนราคาจะเริ่มต้นอยู่ที่ 999 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 33,092 บาท โดยมาในรุ่นความจุ 64 GB และ 256 GB และจะเริ่มเปิดให้สั่งจองในวันที่ 27 ตุลาคม ก่อนวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในวันที่ 3 พฤศจิกายนเป็นต้นไป

 

 

Face ID ตรวจจับและปลดล็อกเครื่องด้วยใบหน้าบน iPhone X

     เนื่องจากไม่มีปุมโฮม การปลดล็อกแบบใช้ลายนิ้วมือ (Touch ID) จึงไม่สามารถทำได้ แต่เปลี่ยนเป็น Face ID ซึ่งคือระบบการปลดล็อกเครื่องด้วยการตรวจจับใบหน้าที่ใช้กล้องหน้าแบบ TrueDepth และเซนเซอร์ต่างๆ ในการทำงานแทน โดยสามารถตรวจจับใบหน้าของผู้ใช้ที่ทำงานได้ดี แม้อยู่ในที่มืด

     นอกจากนี้ก็ยังมี Neural Engine ที่ทำให้การประมวลผลตรวจจับใบหน้าของผู้ใช้งานทำงานได้ดีและรวดเร็ว และยังจดจำใบหน้าของผู้ใช้ได้ ไม่ว่าจะเปลี่ยนทรงผม ใส่แว่น หนวดขึ้น หรือมีการเปลี่ยนแปลงต่างๆ เกิดขึ้นตามกาลเวลา ทั้งยังได้รับการทดสอบมาแล้วว่าแม้แต่ภาพถ่ายก็ไม่สามารถหลอก Face ID ได้!

     มีการเปรียบเทียบว่าการใช้งาน Touch ID อาจมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นบ้างในจำนวน 1 ใน 50,000 ครั้ง แต่ Face ID จะมีความผิดพลาดเกิดขึ้นแค่ 1 ใน 1,000,000 ครั้งเท่านั้น

 

 

Animoji แปลงร่างเป็นอีโมจิบน iPhone X
     ฟีเจอร์การใช้อีโมจิแบบเคลื่อนไหว หรือ Animoji ที่ทาง Apple เคลมว่าผู้ใช้สามารถเลือกใช้อีโมจิคาแรกเตอร์ต่างๆ ทั้งหมา, แมว,​ แพนด้า, ก้อนอุนจิ, หุ่นยนต์, ไก่, หมู, ลิง, ยูนิคอร์น,​ กระต่าย, เอเลี่ยน,​ จิ้งจอก โดยเซนเซอร์จะอ่านอารมณ์จากเสียงและสีหน้าของผู้ใช้ ก่อนแปลงเป็นอีโมจิสามมิติที่สามารถเคลื่อนไหวและพูดได้ตามประโยคของผู้ใช้ได้อย่างน่ารักน่าชัง ประหนึ่งว่าคุณสามารถปลอมตัวเป็นอิโมจิตัวน้ันได้เลย

 

Air Power แท่นชาร์จไร้สายโดย Apple

     ตัวชาร์จแบบไร้สายที่สามารถชาร์จอุปกรณ์ของ Apple ที่รองรับระบบนี้ได้เกือบๆ จะแทบทุกรุ่น และยังแสดงผลสถานะการชาร์จของอุปกรณ์ชนิดอื่นๆ บนหน้าจอ iPhone ได้อีกด้วย โดยจะเริ่มวางขายในปีหน้า

 

     ย้ำอีกครั้ง iPhone X จะเริ่มเปิดให้สั่งจอง วันที่ 27 ตุลาคม และวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการวันที่ 3 พฤศจิกายนนี้!

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising