บรรยากาศการซื้อขายหุ้นกลุ่มประกันในตลาดหุ้นไทยวันนี้ (15 พฤศจิกายน) ปรับตัวลดลงยกแผง นำโดยหุ้น บมจ.เครือไทย โฮลดิ้งส์ (TGH) ที่ปิดตลาดราคาหุ้นลดลง 7.96% มายืนที่ 26.00 บาท, หุ้น บมจ.ไทยรับประกันภัยต่อ (THRE) ราคาหุ้นลดลง 9.68% มาที่ 1.12 บาท, หุ้น บมจ.กรุงเทพประกันภัย (BKI) ลดลง 2.52% มายืนปิดที่ 271 บาท
ส่วนหุ้น บมจ.อลิอันซ์ อยุธยา แคปปิตอล (AYUD) ราคาหุ้นลดลง 1.00% มาที่ 38.00 บาท, และหุ้น บมจ.สินมั่นคงประกันภัย (SMK) ราคาหุ้นลดลง 4.95% มายืนที่ 24.00 บาท, บมจ.กรุงเทพประกันชีวิต (BLA) ลดลง 0.81% มาที่ 30.50 บาท
ขณะที่หุ้น บมจ.คิง ไว กรุ๊ป (ประเทศไทย) (KWG) ลดลง 1.24% ยืนที่ 1.59 บาท, บมจ. เมืองไทยประกันภัย (MTI) ลดลง 0.26% มาที่ 95 บาท, บมจ.นำสินประกันภัย (NSI) ลดลง 1.52% มายืนที่ 80.75 บาท และ บมจ.ไทยรีประกันชีวิต (THREL) ราคาหุ้นลดลง 2.63% มายืนปิดที่ 2.96 บาท
การปรับตัวลดลงของหุ้นในกลุ่มประกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทประกันภัยที่ออกและเสนอขายแผนประกันการเจ็บป่วยจากการติดเชื้อโควิดแบบ เจอ จ่าย จบ อันเป็นผลมาจากนักลงทุนขาดความเชื่อมั่นด้านความมั่นคงของฐานะการเงิน หลัง บมจ.เดอะวัน ประกันภัย ได้ส่ง SMS แจ้งไปยังลูกค้า เพื่อเสนอแนวทางปรับเปลี่ยนการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของผู้เอาประกันภัย เพื่อไม่ให้ได้รับผลกระทบจากปัญหาสภาพคล่องของบริษัท
ทั้งนี้ จากการสำรวจของทีมข่าว THE STANDARD WEALTH พบว่าในช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้ บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในกลุ่มประกันจำนวน 16 แห่ง จาก 17 แห่ง ได้รายงานต่อตลาดหลักทรัพย์ว่ามีผลการดำเนินงานขาดทุนถึง 8 แห่ง คิดเป็นการขาดทุนรวม 5,719.65 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนที่ขาดทุนเพียง 1 แห่ง มีผลขาดทุน 120.77 ล้านบาท
ขณะที่ บจ. อีก 8 แห่ง แม้จะโชว์ผลกำไร แต่มีกำไรรวมเพียง 2,200.89 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิรวม 5,226.79 ล้านบาท
การขาดทุนดังกล่าวส่งผลให้ภาพรวมผลประกอบการไตรมาส 3 ของ บจ.กลุ่มประกัน ปรับตัวลดลงถึง 45.10% หรือขาดทุนรวมทั้งกลุ่ม 3,518.76 ล้านบาท จากงวดปีก่อนที่มีกำไรสุทธิรวม 5,106.02 ล้านบาท
โดย บจ.ในกลุ่มประกันที่ขาดทุนมากที่สุดในไตรมาส 3 นี้ คือ บมจ.สินมั่นคงประกันภัย (SMK) ขาดทุน 3,662.38 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไร 160.20 ล้านบาท, บมจ.กรุงเทพประกันภัย (BKI) ขาดทุน 885.30 ล้านบาท จากที่มีกำไร 761.57 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน
ส่วน บมจ.เครือไทย โฮลดิ้งส์ (TGH) ขาดทุน 662.16 ล้านบาท จากมีกำไร 89.86 ล้านบาท และ บมจ.ไทยรับประกันภัยต่อ (THRE) ขาดทุน 331.34 ล้านบาท จากที่มีกำไร 74.29 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน
เอนกพงศ์ พุทธาภิบาล นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส กล่าวว่า บริษัทประกันภัยที่มีการรับลูกค้าประกันแบบ เจอ จ่าย จบ เข้ามาจำนวนมาก จะได้รับผลกระทบจากการเคลมประกันในช่วงไตรมาส 3 ซึ่งสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิดรุนแรงมากกว่าบริษัทที่ไม่มีประกันลักษณะนี้ หรือมีจำนวนน้อย ทำให้บางบริษัทประสบภาวะการขาดทุนและมีปัญหาสภาพคล่อง
อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจากปัญหาสภาพคล่องดังกล่าวยังต้องติดตามในช่วงไตรมาส 4 นี้ เนื่องจากภาวะการแพร่ระบาดของโควิดซึ่งคลี่คลายในทิศทางที่ดีขึ้น จะช่วยให้การเคลมประกันแบบ เจอ จ่าย จบ ลดจำนวนลง ความตึงเครียดด้านสภาพคล่องของบริษัทประกันก็จะผ่อนคลายลงด้วย
“การเคลมเจอ จ่าย จบ ไตรมาส 3 มีเยอะมาก ทำให้ บจ.ในกลุ่มประกันภัยที่ออกประกันแบบนี้มาต้องแบกรับการเคลม มีปัญหาสภาพคล่อง และขาดทุน แต่แนวโน้มไตรมาส 4 สถานการณ์ดีขึ้น หากโควิดไม่กลับมาระบาดรุนแรง แนวโน้มก็น่าจะดีขึ้น”
เอนกพงศ์กล่าวว่า นักลงทุนควรพิจารณาความมั่นคงของหุ้นในกลุ่มประกันจากส่วนของผู้ถือหุ้นว่าติดลบหรือไม่ สัดส่วนมูลค่าเงินกองทุนมีมากหรือน้อยอย่างไร เพราะถือเป็นข้อมูลเบื้องต้นที่จะสะท้อนความมั่นคงของบริษัทประกัน
ด้านเบญจพล สุทธิ์วนิช หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เอเชีย เวลท์ กล่าวว่า ปัจจุบันหุ้นกลุ่มประกันอยู่ในสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงเรื่องสภาพคล่องและต้องติดตามอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะบริษัทที่มีกรรมธรรม์แบบ เจอ จ่าย จบ จำนวนมาก และคาดว่ากลุ่มประกันได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมา
“ถ้าโควิดไม่กลับมารุนแรงอีกครั้ง ถือว่าประกันน่าจะ Bottom แล้ว ปีหน้ากรมธรรม์จะครบกำหนด น่าจะไม่มีใครออกแบบนี้มาอีก และคนก็ฉีดวัคซีนกันเยอะมากแล้ว แต่หุ้นในกลุ่มนี้เราก็ไม่แนะนำตัวไหนเลย ยกเว้น BLA ตัวเดียวที่เรามีคำแนะนำซื้อ”
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line คลิก https://lin.ee/xfPbXUP
