จากจุดเริ่มต้นของแบรนด์ Indigoskin เกิดจากความอยากทำยีนส์คุณภาพดี ซึ่งเป็นสัญชาติไทย โดยใช้ผ้ายีนส์พรีเมียมจากประเทศญี่ปุ่นผสมลวดลายไทยๆ อย่างลายกนก จนประสบความสำเร็จและสร้างชื่อในแวดวงสตรีทแวร์เมืองไทยและต่างชาติ ก่อนเติบโตขยายไลน์สินค้าสู่เสื้อผ้า เช่น เสื้อยืด แจ็กเก็ต ฮู้ดดี้ และเครื่องประดับต่างๆ ยาวนานกว่า 10 ปี บัดนี้เมื่อ Indigoskin ต้องการขยับตัว เพื่อเป็นมากกว่าแบรนด์เสื้อผ้า พวกเขาจึงกลับไปคิดและทำการบ้านว่าจะทำอย่างไรให้แบรนด์ Indigoskin แทรกซึมอยู่ในไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ โดยเฉพาะลูกค้ากลุ่มดั้งเดิมได้ โดยที่ยังไม่เสียตัวตน จนตกผนึกมาเป็น ‘Indigoskin Cafe’ ที่อิงคอนเซปต์เหมือนร้านเสื้อผ้าของญี่ปุ่น ที่มักเปิดคาเฟ่ของตัวเอง โดยดัดแปลงเอาบ้านเก่าหรือตึกแถวมาทำเป็นคาเฟ่ ซ่อนตัวอยู่ในย่านที่อยู่อาศัย แทนที่จะเป็นห้างสรรพสินค้า นอกจากจำหน่ายเมนูเครื่องดื่มต่างๆ เมล็ดกาแฟ และแก้วกาแฟแล้ว ชั้น 2 ของคาเฟ่แห่งนี้ยังเป็นโชว์รูมจำหน่ายเสื้อผ้า Indigoskin และไอเท็มพิเศษอย่างเก้าอี้เท่ๆ ที่นำผ้ายีนส์ลายทหารมาใช้ในขั้นตอนการผลิตอีกด้วย
The Vibes
ความตั้งใจของผู้ก่อตั้ง ก้อ-ธัชวีร์ สนธิระติ อยากให้คาเฟ่แห่งนี้เปรียบเสมือนบ้านหรือจุดรวมตัวของคนที่มีความชอบคล้ายคลึงกัน เช่น ชอบดื่มกาแฟ อ่านหนังสือ และแต่งตัวคล้ายๆ กัน ได้มาเจอกันในสถานที่พิเศษ มีความสบาย นิ่ง เงียบ ไม่หวือหวา สามารถนั่งทำงานได้ทั้งวัน หรือแลกเปลี่ยนบทสนทนาเรื่องยีนส์หรือรองเท้าผ้าใบลิมิเต็ดเอดิชัน เพราะเหล่านี้คือประสบการณ์ที่ลูกค้าไม่สามารถหาได้จากร้านค้าออนไลน์
การตกแต่งจึงอาศัยหลักพื้นฐานที่ใช้มาตั้งแต่ก่อตั้งแบรนด์ นั่นคือการยึดเอาจากสิ่งที่เราชอบเป็นหลัก ทำจนเราชอบ แล้วค่อยส่งต่อสิ่งนั้นสู่ลูกค้า การตกแต่งร้านจึงเน้นไปที่ความเรียบ เท่ โปร่ง นั่งสบาย แมนๆ ไม่หวานหรือใช้ไฟนีออนจัดๆ เหมือนคาเฟ่แห่งอื่น ด้านหน้าของคาเฟ่เป็นสวนหินสไตล์ญี่ปุ่นที่ใช้ต้นไม้ของไทยในการจัดแต่ง ส่วนที่นั่งใช้เป็นเก้าอี้แคมป์ Colemans สีเขียวทหารให้อารมณ์เหมือนหนุ่มๆ กำลังตั้งแคมป์นอกสถานที่ ในขณะที่เฟอร์นิเจอร์ภายในร้านใช้งานไม้ตัดกับความดิบของปูนเปลือยหรือผนังเล่นเท็กซ์เจอร์ลายไม้ แต่ลดทอนความขึงขังลงด้วยโทนสีภายในร้าน ที่เน้นไปที่สีเขียวเข้มหรือสีน้ำเงินเข้ม เพื่อให้สอดคล้องไปกับชื่อแบรนด์ และไอเท็มสร้างชื่ออย่างยีนส์ ซึ่งแม้ไม่ได้หวือหวาแต่เรียบง่าย ซึ่งความไม่เยอะนี้เองที่ทำให้เราอยากกลับมาบ่อยๆ
The Drinks
เมื่อตัดสินใจว่าจะเปิด Indigoskin Cafe หนึ่งในหุ้นส่วนคนสำคัญอย่าง โก้-สุทธิธัช สนธิระติ จึงเรียนทำกาแฟกับอาจารย์ซึ่งเป็นเจ้าของร้าน KOFF AND BUN Specialty Coffee ย่านฝั่งธนบุรี ซึ่งเป็นแชมป์บาริสต้าสาขาคั่วเมล็ดกาแฟ ซึ่งเมล็ดกาแฟที่ทางร้านเลือกใช้เน้นไปทางคั่วเข้ม ผสมระหว่างไทย-ลาวพรีเมียม และเมล็ดกาแฟจากบราซิล ซึ่งทั้ง 3 ตัวนี้ มอบความนัตตี้และช็อกโกแลตสูง มีรสชาติที่เข้ม ข้น มัน เหมาะกับการผสมกับนม น้ำเปล่า และน้ำแข็ง เมนูขายดีของทางร้านจึงตกเป็นของ ลาเต้เย็น (100 บาท) ที่มีรสช็อกโกแลตนัตตี้ชัดเจน ได้ความนัวกลมกล่อม ไม่อ่อนจนไม่ได้รสกาแฟ หรือเข้มเกินไปจนดื่มยาก แต่ถ้าอยากได้ความเข้มข้นหวานมัน ต้องลอง เอสเปรสโซไทยสไตล์ (100 บาท) ซึ่งเป็นกาแฟไทยโบราณ แต่เปลี่ยนจากความหวานมันของนมข้นทั่วไป มาเป็นนมข้นสูตรของทางร้านที่ใช้นมสดแท้ ไม่มีส่วนผสมของนมเทียมให้เสียสุขภาพ
ถ้าอยากเข้มขึ้นมาอีก ต้องลอง Military latte (120 บาท) ซึ่งเป็นการดัดแปลงชาเขียวผสมนม มาเป็นชาเขียวนมที่เสิร์ฟพร้อมช็อตกาแฟ เริ่มจากยกมาโดยที่ในแก้วแยกเลเยอร์ระหว่างชาเขียวกับนม แต่ก่อนกินให้เทช็อตกาแฟตามลงไป เพื่อให้เกิดเป็นลวยลายคาโม (Camo) หรือลายทหาร แก้วนี้จึงมีรสชาติที่เข้มข้นหนักแน่น เข้มทั้งจากชาเขียวและกาแฟ ที่รับรองว่าตื่นแน่สำหรับคนที่ต้องการคาเฟอีนเต็มๆ
นอกจากนี้ในอนาคต Indigoskin Cafe อาจเริ่มจัดเวิร์กช็อป สอนการทำกางเกงยีนส์ การทำรองเท้า หรือสอนศิลปะ เพราะผู้ก่อตั้งทั้งสองอยากสร้างคอมมูนิตี้ให้กับสถานที่แห่งนี้ ไม่ใช่แค่ร้านที่เรามาซื้อสินค้า จ่ายเงิน แล้วกลับบ้านไป แต่อยากให้ Indigoskin Cafe เป็นสังคมแห่งใหม่ของคนที่ชอบอะไรเหมือนๆ กัน สามารถพูดคุยกันได้อย่างถูกคอ เพื่อส่งต่อแรงบันดาลใจให้กัน ผ่านบทสนทนาและกาแฟหอมกรุ่นแก้วนั้น
Indigoskin Cafe
Open: ทุกวัน เวลา 08.00-17.00 น.
Address: ศาลาแดงซอย 2
Budget: 100-120 บาท
Contact: 09 5836 0001
Page: www.facebook.com/indigoskinjeans
Map:
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล