×

อินเดียหวนใช้ยาแรง ’ล็อกดาวน์-เคอร์ฟิว’ หลังเผชิญโควิด-19 ระบาดรอบ 2 ทำสถิติติดเชื้อวันเดียว 103,558 ราย

โดย THE STANDARD TEAM
06.04.2021
  • LOADING...
อินเดียหวนใช้ยาแรง ’ล็อกดาวน์-เคอร์ฟิว’ หลังเผชิญโควิด-19 ระบาดรอบ 2 ทำสถิติติดเชื้อวันเดียว 103,558 ราย

ภาพเหตุการณ์ที่คุ้นเคยกำลังกลับมาปรากฏให้เห็นอีกครั้งตามเมืองใหญ่ทั่วอินเดีย ไม่ว่าจะเป็นเตียงโรงพยาบาลที่เต็มไปด้วยผู้ป่วยโควิด-19, โกดังสินค้า, รถไฟที่ไม่ได้ใช้งาน และพื้นที่สาธารณะขนาดใหญ่ที่ถูกเปลี่ยนเป็นศูนย์บำบัดชั่วคราว ตลอดจนการกลับมาประกาศใช้มาตรการล็อกดาวน์ครั้งใหม่ เมื่ออินเดียกำลังเผชิญกับการแพร่ระบาดระลอกที่ 2 ท่ามกลางความกังวลว่าจะเลวร้ายกว่ารอบแรก เนื่องด้วยการกลายพันธุ์ของไวรัส ความรู้สึกเบื่อหน่ายของประชาชนต่อข้อจำกัดต่างๆ และการที่ชาวอินเดียจำนวนมากแห่ร่วมพิธีสำคัญทางศาสนา

 

กระทรวงสาธารณสุขของอินเดียเปิดเผยว่า พบผู้ป่วยรายใหม่ 103,558 รายในวันจันทร์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดในวันเดียวนับตั้งแต่เริ่มมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศ

 

สำหรับสถิติสูงสุดก่อนหน้านี้เกิดขึ้นในเดือนกันยายนปีที่แล้ว โดยพบผู้ป่วยเกือบ 98,000 รายในวันเดียว ซึ่งถือเป็นช่วงสูงสุดของการแพร่ระบาดรอบแรก ก่อนที่จำนวนผู้ป่วยรายวันจะค่อยๆ ลดลงเกือบ 90% มาอยู่ที่ราว 9,000 รายต่อวันในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งหลายฝ่ายต่างแสดงความยินดี เนื่องจากเชื่อว่าเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าอินเดียควบคุมการแพร่ระบาดได้แล้ว

 

อย่างไรก็ตาม จำนวนผู้ป่วยเริ่มกลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้งในช่วงต้นเดือนมีนาคม และจำนวนผู้ป่วยรายวันเพิ่มขึ้นมากกว่าสิบเท่าในระยะเวลาเพียงไม่ถึงสองเดือน 

 

โดยขณะนี้พบปัญหาการขาดแคลนเตียงทั้งในโรงพยาบาลเอกชนและสถานพยาบาลของรัฐ ดีพัก บาอิด ประธานสมาคมที่ปรึกษาทางการแพทย์ในมุมไบ กล่าวว่า เนื่องจากไม่มีเตียงให้บริการ ผู้ป่วยจำนวนมากจึงกักตัวเองอยู่ที่บ้าน หรือจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่ไม่ใช่โรงพยาบาลสำหรับผู้ป่วยโควิด-19

 

ข้อมูลของมหาวิทยาลัยจอห์นส์ฮอปกินส์เผยว่า ตัวเลขผู้ติดเชื้อกว่าแสนรายในวันจันทร์ส่งผลให้ยอดผู้ติดเชื้อสะสมในอินเดียเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 12.5 ล้านราย ขณะที่มีผู้เสียชีวิตรวมแล้ว 165,000 ราย

 

“ผู้ป่วยโควิด-19 ในอินเดียเพิ่มขึ้นรวดเร็วมากในขณะนี้ ซึ่งแตกต่างจากปีที่แล้วอย่างมาก โดยในตอนนั้นดูเหมือนว่าจำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นในอัตราที่ช้ากว่านี้มาก” รามานัน ลักษมีนารายัน จาก Center for Disease Dynamics, Economics and Policy ในนิวเดลีกล่าว

 

ความแตกต่างที่สำคัญอย่างหนึ่งคือ ในช่วงของการระบาดระลอกแรกเมื่อปลายฤดูใบไม้ผลิปีที่แล้ว อินเดียเพิ่งประกาศผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ ซึ่งรวมถึงการปิดพรมแดนของรัฐต่างๆ ปิดการเดินทางในประเทศ และการใช้ข้อจำกัดต่างๆ ที่ทำให้ธุรกิจต้องหยุดชะงัก โดยลักษมีนารายันกล่าวว่า การล็อกดาวน์อย่างเข้มงวดและการค่อยๆ ผ่อนคลายข้อจำกัดเป็นระยะ ทำให้การติดเชื้อช้าลงอย่างเห็นได้ชัด แต่นั่นไม่ใช่สถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในเวลานี้

 

อย่างไรก็ดี มีปัจจัยบางประการที่อาจช่วยลดผลกระทบของการระบาดครั้งนี้ได้ หนึ่งในนั้นคือ การจัดเตรียมโครงสร้างพื้นฐานทางการแพทย์ที่ดีขึ้น และเจ้าหน้าที่มีประสบการณ์มากขึ้น ซึ่งสามารถลดอัตราการเสียชีวิตได้แม้ว่าอัตราผู้ป่วยจะเพิ่มขึ้นก็ตาม นอกจากนี้ อินเดียยังอยู่ระหว่างดำเนินโครงการฉีดวัคซีน โดยมีวัคซีน 2 ชนิดที่ได้รับการอนุมัติให้ใช้ในประเทศ อีกทั้งผู้ที่เคยติดเชื้อมาก่อนอาจมีภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติอยู่บ้าง โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการระบาดครั้งก่อน เช่น เดลี และมุมไบ 

 

แต่ถึงกระนั้น ลักษมีนารายันกล่าวว่า “นั่นไม่เพียงพอที่จะป้องกันไม่ให้เกิดการระบาดระลอกที่ 2”

 

รัฐที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักเริ่มกลับมาประกาศใช้มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดอีกครั้งในช่วงสุดสัปดาห์ โดยเฉพาะรัฐมหาราษฏระทางตะวันตกที่สถานการณ์กำลังน่าเป็นห่วง เนื่องจากจำนวนผู้ป่วยรายใหม่ในรัฐนี้คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 60% ของผู้ป่วยใหม่ทั้งหมดของอินเดียในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา และในบรรดา 10 เมืองทั่วประเทศที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดจากการระบาดรอบล่าสุดนี้ พบว่าเป็นเมืองที่อยู่ในรัฐมหาราษฏระมากถึง 8 เมือง ซึ่งรวมถึงเมืองหลวงของรัฐอย่างนครมุมไบ 

 

นาวาบ มาลิก มุขมนตรีของรัฐมหาราษฏระ ประกาศเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาว่า ตั้งแต่วันจันทร์เป็นต้นไปจะมีการนำมาตรการมาบังคับใช้ใหม่ในรัฐมหาราษฏระ ซึ่งรวมถึงการห้ามออกนอกเคหสถานในยามวิกาล หรือเคอร์ฟิวทุกวัน และการล็อกดาวน์อย่างเข้มงวดในช่วงสุดสัปดาห์

 

โดยสถานที่สาธารณะ เช่น สวนสาธารณะ ห้างสรรพสินค้า โรงภาพยนตร์ และสถานที่ประกอบพิธีทางศาสนา จะปิดให้บริการจนกว่าจะมีการแจ้งให้ทราบอีกครั้ง ขณะที่ร้านอาหารทุกแห่งสามารถให้บริการเฉพาะซื้อกลับบ้านเท่านั้น

 

ส่วนรัฐอื่นๆ อีกหลายรัฐ ก็พบการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา เช่น กรณาฏกะ ฉัตติสครห์ เกรละ และปัญจาบ

 

โดยนายกรัฐมนตรี นเรนทรา โมดี ได้จัดการประชุมระดับสูงเมื่อวันอาทิตย์ เพื่อหารือเกี่ยวกับตัวเลขผู้ติดเชื้อที่พุ่งสูงขึ้น โดยสำนักนายกรัฐมนตรีออกแถลงการณ์ระบุว่า โมดีเรียกร้องให้รัฐและหน่วยงานต่างๆ พยายามป้องกันไม่ให้เกิดการเสียชีวิตในทุกสถานการณ์ ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพของอุปกรณ์และโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ความพร้อมของออกซิเจนและเครื่องช่วยหายใจในโรงพยาบาล

 

โมดียังได้สั่งการให้ส่งทีมผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขไปยังรัฐมหาราษฏระ พร้อมสั่งให้รัฐที่พบการแพร่ระบาดอย่างหนักเร่งดำเนินการเพื่อที่การจัดการโควิด-19 ในประเทศในช่วง 15 เดือนที่ผ่านมาจะได้ไม่สูญเปล่า

 

แรนดีป กูเลเรีย ผู้อำนวยการสถาบัน All India Institute of Medical Sciences กล่าวว่า มีสาเหตุหลายประการที่พบผู้ติดเชื้อพุ่งสูงขึ้นอย่างมากในรัฐมหาราษฏระ หนึ่งในนั้นคือการที่รัฐมหาราษฏระเป็นหนึ่งในรัฐที่มีประชากรมากที่สุดของประเทศ โดยมีผู้อยู่อาศัยประมาณ 18.3 ล้านคน พื้นที่สาธารณะจึงมักจะแออัดและคลาคล่ำไปด้วยฝูงชน

 

นอกจากนี้ รัฐมหาราษฏระยังเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมและการขนส่ง เป็นสถานที่ตั้งของธุรกิจระหว่างประเทศ และเป็นบ้านของแรงงานข้ามชาติจำนวนมาก ซึ่งหมายความว่ามีการเคลื่อนย้ายเข้าและออกรัฐบ่อยครั้ง

 

ขณะเดียวกัน รัฐมหาราษฏระยังมีการตรวจหาเชื้อไวรัสในเชิงรุก และมีระบบสุขภาพที่ดี ซึ่งหมายความว่าสามารถตรวจพบผู้ป่วยได้มากกว่าพื้นที่ส่วนอื่นๆ ของประเทศ ลักษมีนารายันกล่าวว่า “คุณจะเห็นความสอดคล้องกันว่า รัฐที่มีระบบสุขภาพที่ดีกว่า และมีประชากรในเขตเมืองมากกว่า จะพบผู้ป่วยโรคโควิด-19 มากกว่า” 

 

อย่างไรก็ดี ไม่เพียงแต่ในรัฐมหาราษฏระเท่านั้น แต่ทั่วทั้งอินเดียก็กำลังเผชิญกับจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยความสำเร็จในการชะลอจำนวนผู้ติดเชื้อก่อนหน้านี้ การเปิดตัววัคซีน และความรู้สึกเบื่อหน่ายของประชาชนต่อมาตรการควบคุมต่างๆ ทำให้ประชาชนชะล่าใจ ประมาท และเริ่มการ์ดตก 

 

โอมเมน คูเรียน จาก Observer Research Foundation ในนิวเดลีกล่าวว่า หน่วยงานต่างๆ เริ่มตื่นตัวน้อยลง ผู้คนออกไปข้างนอกมากขึ้น และประชาชนคลายความระมัดระวัง เช่น การเว้นระยะห่างทางสังคม และการสวมหน้ากาก

 

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในขณะที่รัฐบาลกำลังพยายามที่จะบรรลุเป้าหมายการฉีดวัคซีน โดยอินเดียเริ่มเปิดตัวโครงการฉีดวัคซีนในเดือนมกราคม พร้อมให้คำมั่นว่าจะฉีดวัคซีนให้ประชากร 600 ล้านคนภายในเดือนสิงหาคม อย่างไรก็ดี ข้อมูลจากมหาวิทยาลัยจอห์นส์ฮอปกินส์เผยว่า จนถึงขณะนี้มีการฉีดวัคซีนเกือบ 76 ล้านโดสในอินเดีย ซึ่งไม่ถึง 1% ของประชากร 1.3 พันล้านคนของประเทศที่ได้รับวัคซีนครบโดสแล้ว

 

“จากที่มีการพูดถึงเกี่ยวกับวัคซีนและบทบาทของอินเดียในฐานะผู้ผลิตรายใหญ่ หลายคนจึงคิดว่าไวรัสกำลังจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในการต่อสู้ และจึงทำให้หลายคนการ์ดเริ่มตก” 

 

ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า จำนวนผู้ติดเชื้ออาจเพิ่มจำนวนขึ้นในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า เนื่องจากมีการชุมนุมขนาดใหญ่และการร่วมตัวของผู้คนจำนวนมากในหลายรัฐ

 

ที่ใหญ่ที่สุดและเป็นที่รู้จักมากที่สุดคือ กุมภเมลา (Kumbh Mela) ซึ่งเป็นหนึ่งในเทศกาลเฉลิมฉลองที่สำคัญที่สุดของชาวฮินดู สำหรับในปีนี้ พิธีแสวงบุญทางศาสนาที่ใหญ่ที่สุดของโลกที่เมืองหฤทวารในรัฐอุตตราขัณฑ์ คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมพิธีถึงวันละ 1 ล้านคนในวัน ‘ปกติ’ และมากถึง 5 ล้านคนในวัน ‘ฤกษ์ดี’

 

รัฐต่างๆ และรัฐบาลกลางของอินเดียประกาศมาตรการเพื่อช่วยป้องกันความเสี่ยงแล้ว โดยผู้ที่จะเข้าร่วมเทศกาลกุมภเมลาต้องลงทะเบียนออนไลน์และมีผลตรวจโควิด-19 เป็นลบ จึงจะได้รับอนุญาตให้ลงไปอาบน้ำศักดิ์สิทธิ์ในแม่น้ำคงคา ขณะที่มีการระดมเจ้าหน้าที่หลายพันคนเพื่อรักษาความปลอดภัย ตรวจตรา และเฝ้าระวังในช่วงเทศกาล นอกจากนี้ ทางการได้ขอความร่วมมือให้ประชาชนปฏิบัติตามข้อควรระวัง และสวมหน้ากากอนามัย

 

แต่ถึงกระนั้น ผู้เชี่ยวชาญและบุคลากรทางการแพทย์กังวลว่า มาตรการดังที่กล่าวมาอาจไม่เพียงพอที่จะป้องกันไม่ให้จำนวนผู้ติดเชื้อพุ่งสูงขึ้น เพราะท้ายที่สุด คนส่วนใหญ่ก็ถอดหน้ากากอนามัยออกเมื่อลงไปแช่ตัวในน้ำศักดิ์สิทธิ์ รวมถึงภาพถ่ายยังแสดงให้เห็นภาพฝูงชนที่มารวมตัวกันหนาแน่นเพื่อร่วมพิธีสวดมนต์ตอนเย็นและพิธีอื่นๆ

 

นอกจากเทศกาลสำคัญทางศาสนาดังกล่าวแล้ว ยังมีการจัดการเลือกตั้งระดับรัฐทั่วประเทศ ทั้งสภานิติบัญญัติ องค์กรส่วนท้องถิ่น และรัฐสภาทั้งสองสภา ส่งผลให้มีการจัดการชุมนุมปราศรัย ซึ่งก็มีประชาชนจำนวนมากออกมารวมตัวกันเพื่อรับฟังการปราศรัยของบรรดานักการเมือง

 

เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ก่อนที่นายกรัฐมนตรีโมดีจะจัดการประชุมหารือสถานการณ์โควิด-19 กับเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางหนึ่งวัน เขาได้เดินทางไปเข้าร่วมการชุมนุมในเมืองทามุลปูร์ รัฐอัสสัม ทางตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อหาเสียงให้พรรคภราติยะ ชนตะ ซึ่งเป็นพรรครัฐบาล โดยวิดีโอที่โพสต์ในบัญชีโซเชียลมีเดียของโมดีแสดงให้เห็นว่า ผู้เข้าร่วมการชุมนุมนับพันคนปรบมือและส่งเสียงเชียร์โดยไม่สวมหน้ากากอนามัย

 

ลักษมีนารายันกล่าวว่า การชุมนุมขนาดใหญ่ทั้งหมดเสี่ยงต่อการเป็นแหล่งแพร่เชื้อขนาดใหญ่ หรือ Super Spreader ซึ่งไม่ใช่แค่พิธีทางศาสนาหรือการเมืองดังที่กล่าวมาเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงงานแต่งงานด้วย

 

นอกจากทั้งหมดที่กล่าวมาแล้ว นักวิทยาศาสตร์และหน่วยงานต่างๆ กำลังจับตาดูการกลายพันธุ์ของไวรัสซึ่งกำลังเกิดขึ้นทั่วโลก โดยกระทรวงสาธารณสุขของอินเดียระบุว่า พบผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสกลายพันธุ์ที่น่ากังวลมากกว่า 770 รายในประเทศนับจนถึงช่วงปลายเดือนมีนาคม

 

ลักษมีนารายันกล่าวว่า นักวิทยาศาสตร์ยังคงตรวจสอบผลกระทบและความรุนแรงของเชื้อไวรัสกลายพันธุ์เหล่านี้ คำถามหลักในตอนนี้ก็คือว่า สายพันธุ์ที่แพร่ระบาดในอินเดียนั้นเป็นอันตรายถึงชีวิตหรือแพร่กระจายได้มากกว่าสายพันธุ์เดิมหรือไม่ และวัคซีนที่มีอยู่ในปัจจุบันสามารถต้านไวรัสกลายพันธุ์เหล่านี้ได้หรือไม่ โดยหากวัคซีนของอินเดียไม่สามารถต้านไวรัสกลายพันธุ์ได้ ก็อาจทำให้ประเทศต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ท้าทายอย่างยิ่งในอีกไม่กี่สัปดาห์หรือไม่กี่เดือนข้างหน้า

 

สภาวิจัยทางการแพทย์แห่งอินเดีย ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐบาล ระบุว่า จนถึงขณะนี้ วัคซีน 2 ชนิดที่ผ่านการรับรองให้ใช้ในอินเดีย ได้แก่ Covaxin และ Covishield ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพในการต้านทานไวรัสกลายพันธุ์ที่ถูกตรวจพบเป็นครั้งแรกในสหราชอาณาจักรและบราซิล อย่างไรก็ดี ยังไม่มีการเปิดเผยผลการวิจัยสำหรับไวรัสกลายพันธุ์อื่นๆ ซึ่งรวมถึงสายพันธุ์ที่ตรวจพบครั้งแรกในแอฟริกาใต้

 

ภาพ: Ashish Vaishnav / SOPA Images/LightRocket via Getty Images

พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising