“โอกาสของประเทศไทยคือเรามีสถานที่ท่องเที่ยว มีอาหาร มีสถาปัตยกรรมที่ถือได้ว่าเป็นซอฟต์พาวเวอร์ ซึ่งในตอนนี้นักท่องเที่ยวกลุ่มไมซ์ (Meetings, Incentive Travel, Conventions, Exhibitions) ที่มีศักยภาพในการจับจ่ายมากกว่านักท่องเที่ยวทั่วไปมากถึง 5 เท่า เริ่มกลับมาเดินทางในระดับที่เทียบเท่ากับก่อนโควิดแล้ว และหนึ่งในหมุดหมายที่พวกเขาอยากมามากที่สุดคือประเทศไทย” พอลล์ กาญจนพาสน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น แมเนจเม้นท์ จำกัด กล่าว
หลังจากการระบาดของโควิดจบลง โฟลวของการเดินทางทั่วโลกก็ปรับตัวเพิ่มมากขึ้น โดยภายในกลุ่มนักเดินทางทั้งหมดประกอบไปด้วยนักเดินทางเพื่อธุรกิจ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงมาก เนื่องจากพวกเขาเดินทางมาภายใต้งบบริษัทที่ส่วนใหญ่จำเป็นต้องใช้สถานที่สำหรับงานประชุมหรือจัดแสดงสินค้า และยังต้องมีค่าที่พัก ค่าอาหารสำหรับสังสรรค์หลังงานจบ รวมถึงบางคนอาจตัดสินใจอยู่พักผ่อนต่อ
“กลุ่มไมซ์เป็นกลุ่มที่มาในฐานะ ‘มืออาชีพ’ หมายความว่าเม็ดเงินที่พวกเขาใช้จ่ายระหว่างการหารือธุรกิจก็คือส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนที่เพิ่มขึ้นคือการใช้จ่ายบริโภคส่วนตัว เช่น การช้อปปิ้งที่มีตั้งแต่กางเกงช้างไปจนถึงกระเป๋าแบรนด์เนมราคาแพง การขยายช่วงเวลาเพื่อพักผ่อน ซึ่งทั้งหมดนี้จะกลายเป็นเงินที่หมุนเวียนอยู่ในระบบเศรษฐกิจในท้ายที่สุด”
จากปัจจัยสนับสนุนดังกล่าว อิมแพ็ค เมืองทองธานี หนึ่งในศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมขนาดใหญ่แห่งหนึ่งในประเทศไทยและเอเชีย ประกาศความพร้อมหนุนกลยุทธ์ซอฟต์พาวเวอร์ เตรียมรองรับการจัดงานหลายรูปแบบ โดยเฉพาะกลุ่มเอ็นเตอร์เทนเมนต์ เพื่อร่วมผลักดันให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางของการจัดงานระดับโลก
ในแต่ละปี อิมแพ็ค เมืองทองธานี รองรับนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติเข้ามาในพื้นที่มากกว่า 10 ล้านคน โดยเฉพาะช่วงที่มีการจัดงานใหญ่ๆ ทั้งกลุ่มงานอินเซนทีฟ เอ็กซิบิชัน คอนเสิร์ต เอ็นเตอร์เทนเมนต์ เช่น THAIFEX – Anuga Asia, World Hindu Congress คอนเสิร์ตจากศิลปินระดับโลกที่เลือกประเทศไทยเป็นสถานที่จัดแสดง ซึ่งทุกอีเวนต์ไม่เพียงสร้างรายได้ด้านการท่องเที่ยวให้แก่ประเทศ แต่รวมถึงความประทับใจของนักท่องเที่ยวจากการบริการที่เปรียบได้เหมือนเอกลักษณ์ของไทยที่ชาวต่างชาติชื่นชอบ ซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนซอฟต์พาวเวอร์ในไทยด้วยเช่นกัน
ในส่วนของยอดจองพื้นที่โดยรวมปี 2567 ของอิมแพ็ค เมืองทองธานี คาดว่าจะเติบโตขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มคอนเสิร์ตที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 20% จากปีก่อน ขณะที่ครึ่งปีหลังปีนี้มียอดจองเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ซึ่งพื้นที่อย่าง อิมแพ็ค อารีน่า ถูกจองเต็มแล้ว ทำให้ต้องมีการขยายพื้นที่ไปยังอาคารชาเลนเจอร์ 1-3 ซึ่งมียอดจองพื้นที่เข้ามาแล้วกว่า 15 งาน เช่น งานดนตรีเฟสติวัลระดับโลก SUMMER SONIC BANGKOK 2024 (วันที่ 24-25 สิงหาคม 2567 อาคารชาเลนเจอร์ 1-3)
ส่วนปี 2566 ที่ผ่านมายอดการจัดงานทุกประเภท (การจัดงานประชุมสัมมนา อินเซนทีฟ คอนเสิร์ตไทย คอนเสิร์ตต่างประเทศ งานเอ็กซิบิชันระดับนานาชาติและไทย งานแต่งงาน) รวม 1,551 งาน และในจำนวนนี้มีคอนเสิร์ตรวม 90 งาน แบ่งเป็นคอนเสิร์ตไทย 38 งาน คอนเสิร์ตต่างประเทศ 52 งาน
สำหรับประเด็นการรักษาส่วนแบ่งตลาดท่ามกลางการแข่งขันในธุรกิจจัดงานศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมที่เริ่มมีผู้เล่นใหม่เพิ่มมากขึ้นอย่าง UOB LIVE ณ ย่านพร้อมพงษ์, รอยัล พารากอน ฮอลล์ ใจกลางกรุงเทพฯ หรือศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ซึ่งต่างมีข้อได้เปรียบหลักคือเรื่องของตำแหน่งที่ตั้งที่เดินทางสะดวกและใกล้กับเมืองมากกว่า แต่พอลล์มองว่าจุดแข็งของอิมแพ็ค เมืองทองธานี ยังคงเป็นสถานที่ที่มีขนาดความจุใหญ่เมื่อเทียบกับสถานที่ในเมือง แต่ก็มี Bangkok Mall ที่เพิ่งเปิดตัวของค่ายเดอะมอลล์ที่ต้องจับตาดูความเคลื่อนไหว
“แน่นอนว่าในตลาดมีกลุ่มลูกค้าที่ชอบลองของใหม่และเราก็ต้องยอมรับในส่วนนั้น แต่สุดท้ายคนจัดก็ต้องกลับมามองผลกำไรที่ได้จากการลงทุนจัดงาน สำหรับอิมแพ็ค เมืองทองธานี เราอยู่มา 20 กว่าปี ทำให้เราสามารถให้ราคาที่น่าดึงดูดได้ เพราะเราไม่มีต้นทุนในการสร้างใหม่ ไม่มีดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย จะมีก็เพียงแต่ค่าบำรุงรักษาสถานที่เท่านั้น” พอลล์กล่าวถึงปัจจัยที่จะสนับสนุนให้ธุรกิจของเขารักษาส่วนแบ่งตลาดเอาไว้ได้
อย่างไรก็ตาม การที่มีสถานที่จัดงานอีเวนต์เพิ่มขึ้นเป็นสิ่งที่ดีกับอุตสาหกรรม เนื่องจากตัวเลือกที่หลากหลาย ทั้งขนาดและตำแหน่งที่ตั้ง ซึ่งโดยภาพรวมแล้วจะให้ประโยชน์กับผู้ที่ต้องการจัดงานมากขึ้น เพราะอย่างคอนเสิร์ตบางรายที่ยังอยู่ในจุดเริ่มต้นก็คงจะไม่เหมาะที่จะจัดงานในสเกลใหญ่ในช่วงแรก
นอกจากนี้ โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูที่คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนกรกฎาคมของปี 2568 จะเป็นส่วนเสริมให้การเดินทางไปอิมแพ็ค เมืองทองธานี สะดวกมากยิ่งขึ้น
