×

HSBC เตรียมเพิ่มทุนอีก 3.1 พันล้านบาท รองรับการเติบโตในไทย ตั้งเป้ารุกตลาดบริหารความมั่งคั่งและลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่

01.06.2023
  • LOADING...
HSBC

ธนาคารเอชเอสบีซีเตรียมเพิ่มทุนจดทะเบียนอีก 3.1 พันล้านบาท เป็น 2.57 หมื่นล้านบาท หวังเร่งเครื่องการเติบโตในไทย ตั้งเป้ารุกธุรกิจ Private Banking และ Wholesale Banking เผยผลสำรวจพบต่างชาติมองไทยน่าลงทุนสุดในอาเซียน 

 

จอร์โจ กัมบา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบันภูมิภาคอาเซียนกำลังได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั่วโลก โดยคาดการณ์ว่าอาเซียนจะเป็นภูมิภาคที่เติบโตรวดเร็วที่สุดในโลก และจะมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลกภายในปี 2030 ด้วยตลาดผู้บริโภคที่มีมูลค่ามากกว่า 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 139 ล้านล้านบาท

 

กัมบากล่าวอีกว่า เมื่อมีการเปลี่ยนถ่ายอำนาจทางเศรษฐกิจมาสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในทศวรรษหน้า ไทยจะได้รับอานิสงส์ที่จะเติบโตไปพร้อมกับภูมิภาค ด้วยการเป็นศูนย์กลางการค้าและการลงทุนจากทำเลที่ตั้งที่อยู่ใจกลางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตลอดจนยังได้รับผลบวกทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องจากการเปิดประเทศของจีน อันส่งผลให้ภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัว สร้างโอกาสการจ้างงาน และภาคการบริโภคแข็งแกร่งยิ่งขึ้น 

 

ทั้งนี้ จากผลสำรวจ HSBC Navigator: Southeast Asia (SEA) in Focus ในปี 2022 กับบริษัทต่างชาติใน 6 ตลาดหลัก (จีน อินเดีย สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส และเยอรมนี) พบว่าไทยมีความโดดเด่นในฐานะประเทศที่นักลงทุนต้องการมาลงทุน โดยบริษัทที่วางแผนจะมารุกธุรกิจครั้งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มองไทยเป็นประเทศที่น่าลงทุนอันดับ 1 ในภูมิภาค และมีถึง 23% จากกลุ่มตัวอย่างที่วางแผนจะเข้ามาลงทุนในไทยภายใน 2 ปี นอกจากนี้ สำหรับบริษัทต่างชาติที่มีการดำเนินธุรกิจในภูมิภาคนี้อยู่แล้วยังมองไทยเป็นตลาดที่พวกเขาต้องการขยายธุรกิจมากเป็นอันดับ 2 รองจากสิงคโปร์ถึง 37%

 

“อุตสาหกรรมหลักที่ต่างชาติสนใจเข้ามาลงทุนในไทยคือ อีคอมเมิร์ซ อีวี พลังงานทดแทน และการผลิตขั้นสูง ในทางกลับกันธุรกิจไทยก็ให้ความสนใจออกไปลงทุนในเวทีโลกมากขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ไทยมีจุดแข็ง เช่น ค้าปลีก อาหารและเครื่องดื่ม และธุรกิจบริการ ตลาดที่คาดว่าจะมีธุรกิจไทยออกไปมากคือ เวียดนาม อินโดนีเซีย และตะวันออกกลาง” กัมบากล่าว

 

นอกจากนั้น ขนาดของกลุ่มชนชั้นกลางในไทยก็มีการเติบโตขึ้นอย่างมาก จากที่มีจำนวนไม่ถึง 5% ของจำนวนประชากรทั้งหมดของประเทศเมื่อ 2 ทศวรรษที่ผ่านมา ได้ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 40% ของจำนวนประชากรทั้งหมดในปัจจุบัน ซึ่งมีส่วนผลักดันให้ตลาดผู้บริโภคแข็งแกร่งและความเชื่อมั่นในไทยอยู่ในระดับสูง

 

“มีการคาดการณ์ว่าผู้มีสินทรัพย์สูงของไทยจะมีสินทรัพย์เพิ่มขึ้น 12.4% หรือแตะ 5.48 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (1.9 แสนล้านบาท) ภายในปี 2025 ซึ่งเติบโตสูงสุดเป็นอันดับ 2 ของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก โดยความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นนี้จะผลักดันให้มีความต้องการบริการวางแผนจัดการความมั่งคั่ง การกระจายการลงทุน และการบริการธนาคารระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นตามไปด้วย” กัมบากล่าว

 

กัมบาเปิดเผยอีกว่า ธนาคารเอชเอสบีซีมีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไทย โดยคาดว่า GDP ในปีนี้จะขยายตัวได้ที่ระดับ 4.1% จากแนวโน้มดังกล่าวทำให้ธนาคารมีแผนจะสร้างความเติบโตให้กับธุรกิจ ขยายฐานลูกค้า ลงทุนในประเทศ และขยายบริการให้ลูกค้าไทยเข้าถึงโอกาสการลงทุนในระดับภูมิภาคและระดับโลกมากขึ้น 

 

โดยปัจจุบันธนาคารกำลังอยู่ในกระบวนการขอเพิ่มทุนจำนวน 3.1 พันล้านบาท ซึ่งจะทำให้ Registered Capital เพิ่มจาก 2.26 หมื่นล้านบาท เป็น 2.57 หมื่นล้านบาท เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจในไทย ขณะเดียวกันจะมีการขอใบอนุญาตการจัดการกองทุนส่วนบุคคล เพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าความมั่งคั่งสูงอย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น

 

กัมบาระบุว่า ธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทยวางเป้าหมายที่จะเป็นธนาคารต่างชาติอันดับ 1 สำหรับธุรกิจไทยและผู้มีสินทรัพย์สูงในการลงทุน และขยายความเสี่ยงการลงทุนในระดับภูมิภาคและระดับโลก เพื่อบรรลุเป้าหมายนี้ ธนาคารจะรุกดำเนินธุรกิจผ่าน 4 จุดแข็งของธนาคาร ดังต่อไปนี้

 

  1. International Connectivity – การใช้เครือข่ายสาขาที่ครอบคลุมทั่วโลก และเป็นฟันเฟืองสำคัญที่ช่วยให้ลูกค้าประสบความสำเร็จและเติบโตในระดับภูมิภาคและระดับโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยจะมุ่งเปิดโอกาสทางธุรกิจและการลงทุนให้กับลูกค้าในตลาดสำคัญที่ธนาคารมีความแข็งแกร่งโดดเด่นเหนือกว่าคู่แข่ง เช่น จีน สหรัฐฯ ยุโรป เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และตะวันออกกลาง 

 

  1. Wealth & Private Wealth Offering – HSBC Global Private Banking ออกแบบมาเพื่อให้บริการลูกค้าผู้มีสินทรัพย์สูง โดยส่วนใหญ่เป็นเจ้าของธุรกิจที่มีวัตถุประสงค์ที่จะรักษา เพิ่มพูน และส่งต่อความมั่งคั่งจากรุ่นสู่รุ่น ทั้งนี้ จากความมั่นคงและความเชี่ยวชาญในด้านการดูแลของเอชเอสบีซี นอกเหนือจากบริการด้านการลงทุนทางการเงินที่มอบให้กับกลุ่มลูกค้าความมั่งคั่งสูงแล้ว ธนาคารยังมีการให้บริการทางการเงินอื่นๆ เช่น การให้บริการ Credit Advisory และบริการ Wealth Planning ตลอดจนการทำงานเป็นทีมกับธุรกิจอื่นๆ เช่น Wholesale Banking ในการต่อยอดการให้บริการ

 

โดยในปีที่ผ่านมาธุรกิจ Private Banking ในไทยของธนาคารเติบโตขึ้นถึง 200% ทั้งในแง่สินทรัพย์ภายใต้การบริการและฐานลูกค้า

 

  1. Digital for Corporates – ธนาคารวางเป้าที่จะเป็นธนาคารต่างชาติอันดับ 1 ในการทำธุรกรรมทางการเงินผ่านระบบดิจิทัลในไทย หลังเห็นโอกาสทางธุรกิจที่ประชากรไทยถึง 72% คุ้นเคยกับการทำธุรกรรมทางการเงินผ่านระบบดิจิทัลสูงสุดเป็นอันดับ 1 ในภูมิภาคอาเซียนนับตั้งแต่ปี 2020 และยังครองอันดับ 1 ของประเทศที่มีการชำระเงินผ่านระบบ Mobile Banking ของธนาคารสูงสุดของโลกในปี 2022 

 

  1. Sustainable Finance – ธนาคารได้วางงบประมาณด้าน Sustainable Finance 7.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ – 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2030 เพื่อช่วยสนับสนุนลูกค้าในภาคธุรกิจต่างๆ เร่งการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก รวมทั้งวางเป้าที่จะเป็นผู้นำด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ในระดับสากล พร้อมนำเสนอโซลูชันด้าน ESG อย่างครอบคลุมให้กับลูกค้าองค์กรในไทย และมีเป้าหมายที่จะนำความรู้ความเชี่ยวชาญด้าน ESG มาสนับสนุนส่งเสริมโครงการด้านสิ่งแวดล้อมของลูกค้า เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐาน ESG ในระดับสากล

 

“ไทยเป็นประเทศที่เรามองเห็นศักยภาพในการเติบโตและขยายธุรกิจของเรา เป้าหมายของเอชเอสบีซีคือการเป็นธนาคารระหว่างประเทศชั้นนำในภูมิภาคอาเซียน เพื่อช่วยให้ลูกค้าและผู้ที่กำลังจะมาเป็นลูกค้าของเราตระหนักถึงโอกาสในภูมิภาคนี้ และสนับสนุนให้พวกเขาเหล่านั้นได้เติบโต” กัมบากล่าว

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising