วานนี้ (20 สิงหาคม) ขจิตร ชัยนิคม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) จังหวัดอุดรธานี พรรคเพื่อไทย อภิปรายขอตัดลดงบประมาณกระทรวงสาธารณสุข ในมาตรา 25 ลง 22% เป็นเงิน 8.2 พันล้านบาท ซึ่งต้องชี้แจงว่า การที่ขอตัดลดงบประมาณกระทรวงที่สำคัญ เช่น สาธารณสุข ลง 22% นั้นต้องกล่าวว่า เมื่อการพิจารณาในวาระที่หนึ่ง ตนไม่เห็นด้วยในการที่กระทรวงสาธารณสุขจัดงบประมาณเข้ามาแบบนี้ โดยตนไม่ยอมรับวิธีในการจัดงบประมาณแบบเพื่อไปสร้างสิ่งก่อสร้าง และการจัดซื้ออุปกรณ์ที่ไม่สอดคล้องกับภาวะการต่อสู้ของโรคระบาดโควิดที่เกิดขึ้นในขณะนี้
ขณะเดียวกันกระทรวงสาธารณสุขยังค้างจ่ายค่าเบี้ยอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ที่ให้เขาเพียงเล็กน้อยเพียงวันละ 50 บาท ในการทำงานซึ่งก็ไม่คุ้มอยู่แล้ว ซึ่งขอให้นำงบประมาณที่ตนขอเสนอปรับลดทั้ง 8.2 พันล้านบาท นำไปจ่ายให้ อสม. อย่าไปค้างเบี้ยเขา โดยขอเสนอให้จ่ายวันละ 300 บาท
ทั้งนี้ ไม่ใช่ตนไม่ให้ความสำคัญกับกระทรวงสาธารณสุข ที่ผ่านมาได้ติดตามทั้งรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุขอย่างใกล้ชิด โดยเงินที่เกี่ยวกับโควิดที่สภาให้ไปเมื่อครั้งเดือนมิถุนายน 2563 จำนวน 1 ล้านล้านบาท และอีก 5 แสนล้านบาท ซึ่งยังไม่รวมอีก 4 หมื่นล้านบาท ซึ่งหากกระทรวงสาธารณสุขจัดสรรงบประมาณไปจัดซื้อวัคซีนให้ประชาชนครบทุกคน ใช้เงินเพียง 2 หมื่นล้านบาท แล้วทำไมท่านถึงยังไม่ทำ และที่ผ่านมาจัดซื้อเพียงวัคซีนของ Sinovac และ AstraZeneca ขณะที่โครงการของสหประชาชาติ ประเทศไทยก็ไม่เข้าร่วมกับเขา เพราะถือตนว่าเป็นประเทศที่มีเงิน เป็นประเทศที่ร่ำรวย จึงเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ตนขอเสนอตัดงบประมาณของสาธารณสุข
ขจิตรกล่าวต่อไปอีกว่า ขณะเดียวกันส่วนกลางของกระทรวงสาธารณสุขยังต้องทำให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะต้องมาแบกรับภาระของท่านในการจัดซื้อวัคซีนอีก ซึ่งงบประมาณที่ท้องถิ่นนำไปจัดซื้อวัคซีนก็เป็นงบประมาณที่เขาเตรียมไว้จัดการเลือกตั้ง ต้องนำมาสู้กับโควิดแทน จึงเป็นข้อสงสัยว่า เงินกู้ที่ผ่านจากสภาแห่งนี้ไปไหนหมด ทำไมไม่โอนไปให้ท้องถิ่น ทำไมจะต้องให้เขาไปใช้งบฯ เลือกตั้ง มันเป็นการไม่รับผิดชอบ ซึ่งก็ได้ข่าวว่ารัฐบาลจะขอกู้อีก 1 ล้านล้านบาท มันไปไม่ไหวแล้ว
อย่างไรก็ตาม งบประมาณที่ตนได้ขอเสนอตัดลดทั้งหมด 8.2 พันล้านบาท ขอให้ไปลงกับคนและเกี่ยวกับโควิดทั้งหมด เช่น ที่ศูนย์พักคอยต้องมีงบประมาณและการจ่ายเบี้ยที่อยู่ในการดูแลของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ท่านจะต้องแจ้งให้ประชาชนรู้ว่าสิทธิ์ที่เขาจะต้องได้รับมีอะไรบ้าง ไม่ใช่กักกันเงินไว้ที่ตนเอง
“แม้ว่าผู้นำจะไม่มีวิสัยทัศน์ ไม่มีสติปัญญา ไม่มีความรับผิดชอบ ไม่มีจิตสำนึก คนที่เป็นนายกรัฐมนตรีไม่มีแม้กระทั่งสัญชาตญาณแห่งการรับผิดชอบต่อประชาชน ดังนั้นเราจึงอยู่ในภาวะที่โชคร้ายที่มีผู้นำแบบนี้ วิกฤตของบ้านเมืองจะต้องถูกแก้ไขโดยคนที่เป็นลำดับรองผู้ปฏิบัติลงไป ในฐานะที่เป็นผู้แทนราษฎร จึงต้องการจะตัดงบประมาณกระทรวงสาธารณสุขในส่วนที่จะก่อสร้าง และเครื่องมือที่ไม่เกี่ยวกับการต่อสู้กับโควิดเอามาให้ อสม. วันละ 300 บาท และที่ดีที่สุด นำไปซื้อชุดตรวจโควิดเบื้องต้นแบบ Antigen Test Kit มาแจกให้ประชาชน เพื่อให้ประชาชนรู้ว่าผลการตรวจของตนเองเป็นอย่างไร ไม่ใช่ปล่อยให้เขาอยู่โดยไม่รู้อนาคต ไม่มีความหวัง ไม่มีความเชื่อมั่นต่อการเป็นผู้นำและการทำงานของรัฐบาล” ขจิตรกล่าวในท้ายที่สุด
