วันนี้ (27 เมษายน) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงหนึ่งในการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2567 พรรคประชาธิปัตย์ เฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวกับสมาชิกพรรคโดยเริ่มต้นด้วยการขอบคุณ ชวน หลีกภัย, บัญญัติ บรรทัดฐาน และ สส. ของพรรค ที่ทำให้การประชุมเดินหน้าอย่างราบรื่น พร้อมยืนยันว่า คณะกรรมการบริหารพรรคจะนำทุกข้อคิดเห็นของสมาชิกพรรคไปพูดคุยกัน เพื่อปรับปรุงพรรคประชาธิปัตย์ให้ทันสมัยต่อเหตุการณ์และสถานการณ์ปัจจุบันของโลก
เฉลิมชัยกล่าวว่า วันนี้พรรคประชาธิปัตย์ยืนหยัดได้ด้วยหลักการและอุดมการณ์เหมือนเดิม ตนกล้าพูดอย่างไม่อายฟ้าอายดินว่าไม่เคยทำผิดทั้งต่อหน้าและลับหลัง และยึดมั่นในความเป็นประชาธิปัตย์ร้อยเปอร์เซ็นต์ การฟื้นฟูพรรคประชาธิปัตย์เป็นหน้าที่ของพวกเราทุกคน ซึ่งสิ่งที่ตนได้ดำเนินการประการแรกก็คือการตั้งศูนย์เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อการสื่อสาร นี่คือจุดเริ่มต้นในการใช้โซเชียลมีเดียเพื่อการขับเคลื่อนทางการเมือง เพราะสิ่งที่เราตามเขาไม่ทันหรือที่เราเสียท่าคือการใช้โซเชียลมีเดียไม่ทันเขา น้อยกว่าเขา นี่จึงเป็นเหตุผลที่ตั้งศูนย์นี้ โดยได้ตั้ง ดร.เอ้-สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ร่วมกับผู้ชำนาญการที่จะรับผิดชอบตรงนี้
สิ่งที่เราทำอย่างแรกคือการเปิดสมัครสมาชิกผ่านระบบออนไลน์ ซึ่งถือเป็นพรรคการเมืองแรกของประเทศไทยที่สามารถทำได้ สะท้อนให้เห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์ปรับตัวแล้ว นี่คือก้าวแรกที่เราขยับเพื่อจะให้เขารู้ว่าเราจะกลับมาอีกครั้งหนึ่ง ไม่เหมือนกับหลายคนที่ไม่ได้ทำงานแต่กลับมาด้อยค่าพรรคประชาธิปัตย์ ตนก็ไม่รู้ว่าบ้านหลังนี้ไม่เคยมีอะไรให้เขาติดค้างกันบ้างเลยหรือ
“ดังนั้นสิ่งที่ผมอยากจะเห็นในทุกวันนี้คือความมีเอกภาพของพรรคประชาธิปัตย์ และผมขอยืนยันกับสมาชิกพรรคว่าจะไม่ทำผิดทั้งต่อหน้าและลับหลัง ผมมั่นใจว่าผมเป็นลูกผู้ชายคนหนึ่ง” เฉลิมชัยกล่าว
เฉลิมชัยกล่าวต่อว่า ในส่วนที่สองที่ได้เริ่มทำนั้นคือการตั้งคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรค เพื่อกำหนดทิศทางเป้าหมายที่ชัดเจน โดยเชิญอดีต สส. และอดีตผู้บริหารของพรรคเข้ามาร่วม เพื่อกำหนดแนวทางขับเคลื่อนพรรคประชาธิปัตย์ รวมถึงจะมีการตั้งคณะทำงาน เพื่อที่จะดูแลสมาชิกพรรคทั่วประเทศ และยังมีคณะกรรมการยุทธศาสตร์การเมืองที่จะไปเรียนเชิญผู้อาวุโสหลายท่านให้มาร่วมกันวิเคราะห์สถานการณ์การเมืองอีกด้วย
เฉลิมชัยกล่าวว่า การขับเคลื่อนพรรคทั้งหมดในฐานะหัวหน้าพรรค ตนจะพาพรรคประชาธิปัตย์ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง โดยจะไม่รีบก้าว และยึดหลักการและกฎหมายเป็นหลัก ขอให้ทุกคนเชื่อมั่นว่าทั้งชีวิตตนมอบให้พรรคประชาธิปัตย์อยู่แล้ว และต้องการให้พรรคประชาธิปัตย์กลับมาเป็นเสาหลักของบ้านเมือง เพราะอย่างหนึ่งที่พรรคประชาธิปัตย์พูดได้อย่างเต็มปากคือการซื่อสัตย์สุจริต ผมยึดหลักนี้มาทั้งชีวิต และย้ำว่า ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ไม่ยึดหลักนี้ก็คงไม่สามารถอยู่มาถึงทุกวันนี้ได้ และเป็นหัวใจที่พรรคประชาธิปัตย์จะเดินไปข้างหน้าได้
“ผมไม่เชื่อว่าพรรคไหนไม่กลัวพรรคประชาธิปัตย์ถ้าเรามีความเป็นเอกภาพ ผมยืนยันจะนำพรรคเดินไปข้างหน้า และจะไม่ทำเรื่องเสียหายและเสื่อมเสีย ทุกการตัดสินใจจะยึดสถาบันและองค์กรนี้เป็นหลัก ไม่มีเรื่องส่วนตัว ขอให้ทุกคนเป็นกำลังหลักที่ผมจะขยายฐานสมาชิกพรรค” เฉลิมชัยกล่าว
มติที่ประชุม ปชป. เอกฉันท์แก้ข้อบังคับฯ เปิดทางคนรุ่นใหม่
จากนั้นเฉลิมชัยให้สัมภาษณ์หลังการประชุมถึงการแก้ไขข้อบังคับพรรค จากระยะเวลาการเป็นสมาชิกที่จะมาดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารพรรค หรือหัวหน้าพรรค ลดระยะเวลาจาก 5 ปี เป็น 2 ปี และการยกเว้นข้อบังคับ เดิมที่กำหนดสัดส่วนผู้รับรอง 3 ใน 4 ขององค์ประชุมใหญ่ แก้ไขเป็นมากกว่ากึ่งหนึ่ง ซึ่งเป็นข้อเรียกร้องของสมาชิกพรรค
นอกจากนี้ยังมีการแก้ไขสัดส่วนคะแนนเลือกคณะกรรมการสรรหาและคณะกรรมการบริหารพรรค เดิมกำหนดสัดส่วน สส. 70% องค์ประชุมทั่วไป 30% ปรับเปลี่ยนเป็นสัดส่วนสส. 40% องค์ประชุมทั่วไป 40% และกรรมการบริหารพรรค 20% โดยที่ประชุมให้ความเห็นชอบมติเอกฉันท์
เฉลิมชัยยังกล่าวถึงแนวทางการสร้างความเข้มแข็งให้กับพรรค โดยจะตั้งคณะทำงานเกี่ยวกับสมาชิกพรรคและสาขาพรรค ตัวแทนพรรคจะเข้าไปดูแลโดยตรง ซึ่งจะมีการเดินทางไปพบปะชี้แจงให้ความรู้แก่สมาชิกพรรคทั่วประเทศหลังจากนี้
ส่วนมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ เพิ่งได้มาพบเมื่อวานนี้ แต่ยังไม่ได้มอบหมายงานอะไร และแจ้งว่าสามารถร่วมงานกับพรรคประชาธิปัตย์ได้ โดยจะหางานที่เหมาะสมให้ภายหลัง
อำนาจปรับ ครม. เป็นของนายกฯ หากตัดสินใจ
เฉลิมชัยยังปฏิเสธแสดงความเห็นเกี่ยวกับโผคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยบอกเพียงว่า ให้มีการโปรดเกล้าฯ ลงมาก่อน และอำนาจเป็นของนายกรัฐมนตรี หากตัดสินใจถูกก็รับชอบไป แต่หากตัดสินใจผิดก็รับผิดไป ซึ่งก็เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ
ทั้งนี้ยังกล่าวถึงบทบาทของฝ่ายค้าน ยืนยันว่าทำหน้าที่ฝ่ายค้านอย่างเต็มที่ ส่วนที่มีกระแสข่าวมาก่อนหน้านี้เรื่องการร่วมรัฐบาล เคยท้าให้ออกมาเปิดเผยแต่ก็ไม่มีใครพูด จึงยืนยันว่าวันนี้พรรคประชาธิปัตย์ยังคงทำหน้าที่ฝ่ายค้านอย่างเต็มที่ ซึ่งมี 25 เสียง พรรคมี 25 สส. ไม่สามารถยื่นอภิปรายทั่วไปและการอภิปรายไม่ไว้วางใจตามรัฐธรรมนูญได้ แต่หากมีการยื่นก็พร้อมทำหน้าที่อย่างเต็มที่ หลังจากนี้เตรียมตรวจสอบการจัดทำงบประมาณปี 2568 อย่างเต็มที่ และจะท้วงติงหากพบสิ่งที่ไม่ถูกต้อง หากสิ่งใดถูกก็ไม่คัดค้าน ก่อนทิ้งท้ายว่าวันนี้พรรคประชาธิปัตย์พร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้า