×

นักวิเคราะห์เชื่อ ‘January Effect’ ปีนี้มาตามนัด แนะลุยหุ้นอิงเศรษฐกิจโลกฟื้น ชูแบงก์-คอมโมดิตี้โดดเด่น

04.01.2022
  • LOADING...
January Effect

สถิติย้อนหลังตลาดหุ้นไทย 10 ปี (2555-2564) พบว่า 80% (8 ใน 10 ปี) ตลาดหุ้นไทยจะเกิดปรากฏการณ์ January Effect ซึ่งก็คือปรากฏการณ์ที่ตลาดหุ้นปรับเพิ่มขึ้นอย่างร้อนแรงในเดือนมกราคม โดยสาเหตุมาจากการเข้าซื้อของนักลงทุนหลังจากผ่านช่วงหยุดยาวปลายปี และการมีความคาดหวังเชิงบวกมากๆ ต่อแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจในแต่ละปี 

 

สำหรับมกราคม 2565 ปรากฏการณ์ดังกล่าวมีแนวโน้มว่าจะเกิดขึ้น จากปัจจัยสนับสนุนคือการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่คาดว่าจะเอาชนะประเทศเพื่อนบ้านได้ ซึ่งจะดึงดูดเม็ดเงินต่างชาติให้เข้ามาลงทุนต่อเนื่อง ขณะที่ราคาตลาดหุ้นไทยยังปรับขึ้นไม่มาก 

 

มงคล พ่วงเภตรา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนหลักทรัพย์ บล.เคทีบีเอสที กล่าวว่า ฝ่ายวิจัยมีมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นไทยในเดือนมกราคม 2565 และเชื่อว่ามีโอกาสเกิด January Effect จากเหตุผลดังนี้ 

 

  1. นักลงทุนต่างชาติจะเข้าตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง หลังจากการคลายความกังวลต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโอไมครอนที่เริ่มมีข้อมูลที่ทำให้แน่ใจได้แล้วว่าแม้จะแพร่ระบาดรวดเร็ว แต่อาการป่วยและเสียชีวิตต่ำ 

 

  1. ภาพรวมเศรษฐกิจโดยรวม ทั้งโลกและของไทยเองจะฟื้นตัวได้ตามคาดการณ์ ทำให้เกิดกิจกรรมเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และเป็นผลบวกต่อแนวโน้มผลดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน และทำให้เกิดการเข้ามาเก็งกำไรในสินทรัพย์เสี่ยงเพิ่ม 

 

  1. แรงเก็งกำไรผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในของไตรมาส 4 ปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นปัจจัยบวกที่เกิดขึ้นเสมอในเดือนมกราคมอยู่แล้ว 

 

“โดยปกติแล้วรอบของการปรับตัวเพิ่มขึ้นของหุ้นไทยจะมี 2 ครั้งในหนึ่งปี ครั้งแรกคือไตรมาส 1 ซึ่งโอกาสที่หุ้นจะแรลลี่เกือบทุกปี ครั้งที่ 2 คือไตรมาสที่ 4 ซึ่งโอกาสที่จะเกิดขึ้นอาจน้อยกว่าครั้งแรกนิดหน่อย ขึ้นอยู่กับทิศทางเศรษฐกิจและปัจจัยต่างๆ ในช่วงครึ่งปีแรก”

 

สำหรับประเด็นความกังวลเรื่องแรงขายกองทุน LTF ที่ครบกำหนดประมาณ 2 หมื่นล้านบาทนั้น เชื่อว่าแม้จะมีแรงขายออกมาจริงก็ไม่กระทบกับความเคลื่อนไหวของดัชนีมากนัก 

 

มงคลกล่าวเพิ่มว่า เมื่อเกิดปรากฏการณ์ January Effect ขึ้น เชื่อว่าหุ้นที่ได้ประโยชน์น่าจะเป็นหุ้นกลุ่มแบงก์ และคอมโมดิตี้ (Commodity) ซึ่งเป็นหุ้นขนาดใหญ่ที่นักลงทุนต่างชาติและนักลงทุนสถาบันจะเข้ามาลงทุนต่อเนื่อง 

 

วิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ในเดือนมกราคม 2565 น่าจะเกิดปรากฏการณ์ January Effect ขึ้นทั้งในตลาดหุ้นไทยและตลาดหุ้นทั่วโลก เนื่องจากแนวโน้มเศรษฐกิจฟื้นตัว โดยเฉพาะเศรษฐกิจไทยที่เศรษฐกิจค่อนข้างนิ่งในปี 2564 ดังนั้นปีนี้จึงจะเห็นการฟื้นตัวที่ชัดเจน โดยมาจากภาคการบริโภคและภาคการส่งออกเป็นหลัก 

 

อีกทั้งเชื่อว่าเม็ดเงินต่างชาติจะไหลเข้าหุ้นไทยได้ต่อเนื่อง จากภาพรวมปี 2564 เป็น Net Outflow แต่ว่าเดือนธันวาคมเป็น Net Inflow ซึ่งน่าจะไหลเข้าต่อเนื่องอีกในเดือนนี้ นอกจากนี้ดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยในปี 2565 น่าจะเกินดุลจากที่ขาดดุลในปี 2564 อีกด้วย 

 

จากปัจจัยบวกดังกล่าวจะทำให้หุ้นกลุ่มแบงก์ปรับเพิ่มขึ้นได้มากสุดในช่วงนี้ รวมถึงหุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผลสูง หรือที่ติดกลุ่ม SETHD ที่จะปรับขึ้นเช่นเดียวกัน โดยสถิติย้อนหลัง 7 ปี ดัชนี SETHD ปรับเพิ่มขึ้นชนะ SET Index ทั้งหมด 5 ปี ยกเว้นเพียงปี 2562 และ 2563  

 

“ปัจจัยการแพร่ระบาดของสายพันธุ์โอไมครอนที่รวดเร็วจะยังคงรบกวนบรรยากาศการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงต่อเนื่อง แต่เชื่อว่าผลกระทบไม่มาก เนื่องจากภาคธุรกิจมีประสบการณ์ด้านการรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ แล้ว รวมทั้งนักลงทุนเริ่มประเมินผลกระทบและการปรับตัวของดัชนีกันแล้ว” วิจิตรกล่าว 

 

ขณะที่บทวิเคราะห์ บล.ทรีนีตี้ ระบุว่า ไตรมาส 1/65 จะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของตลาดหุ้นไทยในปีนี้ หลังปัจจัยแวดล้อมเชิงบวกทั้งในและต่างประเทศจะกระจุกอยู่ในช่วงนี้แทบทั้งหมด ถึงแม้จะเห็นจํานวนผู้ติดเชื้อสายพันธุ์โอไมครอนในประเทศเพิ่มขึ้นก็ตาม แต่ต้องบอกว่าเป็นสิ่งที่ตลาดคาดการณ์และเล็งเห็นมาก่อนหน้านี้แล้ว โดยคาดว่าตราบใดที่อัตราความรุนแรงและการสูญเสียยังอยู่ในระดับจํากัด ภาครัฐจะไม่มีการถอยหลังกลับไปเริ่มต้นใช้มาตรการล็อกดาวน์คนในประเทศอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นสมมติฐานการลงทุนที่สําคัญที่สุด

 

ขณะเดียวกันยังคงเห็นสัญญาณที่ดีต่อเนื่องในส่วนของของ Fund Flow โดยนักลงทุนต่างชาติซื้อหุ้นไทย 8 วันติดต่อกัน ด้วยยอดสะสม 2.3 หมื่นล้านบาท 

 

ส่วนทางด้านฝั่งนักลงทุนสถาบันในประเทศนั้น ประเมินว่ามีโอกาสสูงที่จะกลับมาซื้อสุทธิในเดือนมกราคมนี้เหมือนเมื่อ 8 ปีก่อนหน้านี้ที่เปิดให้มีการไถ่ถอนกองทุน LTF ที่ครบกําหนดใหม่ เนื่องจากประเมินว่าเม็ดเงินไถ่ถอนกองทุน LTF ที่ครบกําหนดในเดือนนี้เพียง 1.1 หมื่นล้านบาทเท่านั้น ซึ่งถือว่าแทบไม่มีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับสภาพคล่องของนักลงทุนกลุ่มนี้ที่เพิ่มขึ้นถึง 1.7 หมื่นล้านบาทนับตั้งแต่วันที่ 9 ธันวาคมที่ผ่านมา 

 

และหากนักลงทุนสถาบันในประเทศเริ่มซื้อหุ้นกลับตามที่คาดการณ์ มองว่าจะยิ่งเป็นแรงส่งให้ SET ได้อีกต่อหนึ่ง

 

ส่วนตลาดหุ้นไทยวันทำการแรกของปี 2565 ปิดตลาดที่ 1,670.28 จุด เพิ่มขึ้น 12.66 จุด หรือ 0.76% มูลค่าการซื้อขายรวม 100,014 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างชาติซื้อหุ้นไทยสุทธิ 6,148 ล้านบาท

 

 


January Effect คือปรากฏการณ์ที่ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับเพิ่มขึ้น จากการโหมลงทุนของนักลงทุนจากทั่วโลกในช่วงต้นปีด้วยความคาดหวังในเชิงบวก หลังจากที่จบรอบการลงทุนของปีก่อนหน้า สำหรับตลาดหุ้นไทย สถิติสะท้อนว่า 8 ใน 10 ปีที่สำรวจ ตลาดหุ้นไทยในเดือนมกราคมมักจะให้ผลตอบแทนเป็นบวก

 

 

ภาพประกอบ: พุทธิพงศ์ โรจน์ศตพงค์

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising