×

รับได้ไหมถ้ารู้ว่า ‘เขาไม่ได้ชอบคุณ’ เข้าใจความสัมพันธ์ง่ายๆ จากหนัง He’s Just Not That Into You

03.10.2018
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

3 Mins. Read
  • He’s Just Not That Into You หรือในชื่อไทยที่ฟังแล้วจั๊กจี้หูอย่าง หนุ่มกิ๊กสาวกั๊ก สมการรักไม่ลงตัว คือภาพยนตร์โรแมนติกคอเมดี้ที่เข้าฉายเมื่อปี 2009 ดัดแปลงมาจากหนังสือในชื่อเดียวกัน ว่าด้วยเรื่องของความสัมพันธ์แสนวุ่นวายของหญิงสาวและชายหนุ่มหลายคู่ที่มุ่งตรงไปที่ประเด็นเดียวกันคือเรื่อง ‘ความเคลือบแคลงใจว่าเขาจะมีใจให้เราบ้างไหม’
  • ปัจจุบันเราได้รู้จักกับวลี ‘หนักขวา’ ซึ่งแปลว่าช่องแชตของคุณทางด้านขวานั้นหนักและเต็มไปด้วยข้อความมากมายเหมือนคุยอยู่คนเดียว และดูเหมือนเขาจะไม่สนใจคุณเท่าไร แล้วคุณยังจำเป็นต้องไปต่อหรือควรเลิกหวังสักที
  • ดร.จูเลียนา เบรเนส ผู้เชี่ยวชาญเรื่องความสัมพันธ์ กล่าวถึงความสัมพันธ์ในหนังเรื่องนี้ไว้ในเว็บไซต์ Psychology Today ว่าการลวงหลอกความรู้สึกตัวเองด้วยการคิดบวกมันง่ายกว่า ทำให้รู้สึกมีความสุขมากกว่า และดีต่อความรู้สึกมากกว่า

ไม่มีใครไม่เคยผิดหวัง เพราะความผิดหวังเกิดขึ้นได้ในทุกๆ มิติของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเรียน การทำงาน กดบัตรคอนเสิร์ตไม่ทัน หรือเรื่องที่สากลโลกต่างเข้าใจตรงกัน นั่นคือเรื่อง ‘ความรัก’ ที่เราต่างเคยผิดพลาดผิดหวังกันมานับไม่ถ้วน แต่คำถามมันไม่ได้อยู่ที่ว่าทำไมคุณถึงผิดหวัง แต่เราควรมุ่งไปที่ประเด็นที่ว่า แล้วคุณรับได้ไหมถ้าคุณผิดหวัง

 

เรามักเห็นเพื่อนๆ รอบตัวไม่ว่าจะเพศไหนก็ตามต่างเคยแชร์ประสบการณ์เรื่องเดิมๆ ซ้ำๆ ที่เคยเห็นมาจนเอียนให้คุณฟังอยู่บ่อยๆ (หรือบางทีก็เป็นตัวเองนั่นแหละที่ระบายมันออกมา) เช่น เรื่องความสัมพันธ์ที่ไม่มีชื่อเรียกก็ดี บางคนคุยกันมาเป็นปีๆ ยังเรียกพี่น้อง บางคนเดตกันเป็นสิบครั้ง ความสัมพันธ์อย่างมากสุดก็เป็นเพียงคู่นอน หรือคุณอาจจะอยากคบหาจริงจังกับคนที่กำลังคุยอยู่ด้วย แต่ดันโดนเทหน้าตาเฉย มันล้วนเป็นเรื่องเจ็บปวดนะ เราเห็นใจ แล้วเราจะสามารถรับมือกับความผิดหวังนั้นได้อย่างไรล่ะ

 

 

ความเจ็บปวดเหล่านั้นมันก็เป็นเพียงสถานการณ์หนึ่งที่คุณต้องผ่านมันไปให้ได้อย่างชาญฉลาด เฉกเช่นเดียวกันกับหนังเรื่องหนึ่งที่เรานอนแอ้งแม้งชมเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาอย่างเรื่อง He’s Just Not That Into You หรือในชื่อไทยที่ฟังแล้วจั๊กจี้หูอย่าง หนุ่มกิ๊กสาวกั๊ก สมการรักไม่ลงตัว ซึ่งเป็นหนังที่เข้าฉายเมื่อปี 2009 ดัดแปลงมาจากหนังสือในชื่อเดียวกันของ เกร็ก เบห์เรนด์ท (Greg Behrendt) และลิซ ทุชชิลโล (Liz Tuccillo‎) ว่าด้วยเรื่องของความสัมพันธ์แสนวุ่นวายของหญิงสาวและชายหนุ่มหลายคู่ที่มุ่งตรงไปที่ประเด็นเดียวกันคือเรื่อง ‘ความเคลือบแคลงใจว่าเขาจะมีใจให้เราบ้างไหม’ โดยขนเอานักแสดงระดับเอลิสต์มารวมกันไว้อย่างหนาแน่นทั้ง เบน แอฟเฟล็ก, สการ์เล็ตต์ โจแฮนส์สัน, แบรดลีย์ คูเปอร์, เจนนิเฟอร์ อนิสตัน, ดรูว์ แบร์รีมอร์ และเจนนิเฟอร์ คอนเนลลี

 

 

นอกเหนือจากนักแสดงระดับท็อปของวงการแล้ว เราต้องบอกว่าประเด็นที่ He’s Just Not That Into You พูดถึงนั้นถึงแม้จะดูเป็นประเด็นที่ค่อนข้าง ‘เก่า’ แต่ว่าเรายัง ‘เก๋า’ มากพอที่จะเชื่อมโยงกับชีวิตของคนในยุคนี้ได้ ในวันที่เราต่างพบเจอผู้คนใหม่ๆ ได้เพียงปลายนิ้ว และโอกาสที่จะเกิดความสัมพันธ์นั้นเกิดขึ้นได้ง่ายดายมากๆ เหลือเกินจากแอปพลิเคชันต่างๆ ซึ่งประเด็นที่ว่า ‘เขาจะมีใจให้เราบ้างไหม’ นี่แหละที่ยังเป็นเรื่องน่าถกเถียงถึงพฤติกรรมและการแสดงออกของมนุษย์ในยุคนี้ อย่างเช่นที่เราได้รู้จักกับวลี ‘หนักขวา’ ซึ่งแปลว่าช่องแชตของคุณทางด้านขวานั้นหนักและเต็มไปด้วยข้อความมากมายเหมือนคุยอยู่คนเดียว และดูเหมือนเขาจะไม่สนใจคุณเท่าไร แล้วคุณยังจำเป็นต้องไปต่อหรือควรเลิกหวังสักที

 

ในหนังเรื่องนี้ คู่หลักๆ ที่เราได้เห็นพวกเขาสาดทัศนคติเรื่องความรักใส่กันอย่างสนุกสนานคือตัวละครอย่าง จีจี้ (รับบทโดย จินนิเฟอร์ กู๊ดวิน) และอเล็กซ์ (รับบทโดย จัสติน ลอง) ที่จีจี้ดันไปตกหลุมรักเพื่อนสนิทของอเล็กซ์ ซึ่งเธอเองก็มีอาการและคำถามว่า ‘ทำไมผู้ชายคนนั้นถึงดูไม่สนใจเธอ’ และยกความน่าจะเป็นร้อยอย่างขึ้นมาปะติดปะต่อกันเพื่อตอบสนองความคิดและความต้องการของตัวเอง เช่น จีจี้คิดว่าการที่ผู้ชายไม่โทรกลับมาหลังจากเดตกันอาจเป็นเพราะเขายุ่ง หรือการคิดว่าผู้ชายสั่งเครื่องดื่มเพิ่มเพื่อนั่งคุยกันต่อในวันที่เดตกันคือเขาอยากอยู่ต่อและประทับใจในตัวเธออย่างมาก ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเรื่อง ‘มโน’ ทั้งนั้น

 

ถามว่ามันผิดมากไหมที่อยากจะมีความคิดที่ว่าอีกฝ่ายต้องชอบเราแน่ๆ เลยถึงทำแบบนั้นหรือแสดงออกแบบนี้ ไม่ผิดหรอก เพราะจากฉากเปิดของหนังที่เราเห็นภาพของเด็กผู้หญิงถูกเด็กผู้ชายกลั่นแกล้ง และแม่ของเธอก็ปลอบใจว่า “ที่เขาแกล้งหนูก็เพราะเขาชอบหนูยังไงล่ะ” แน่นอนว่ามันเป็นเพียงถ้อยความปลอบประโลมใจให้รู้สึกดี แต่ไม่ว่าในวัยเด็กจะเข้าใจพฤติกรรมเช่นนั้นอย่างไร เมื่อโตขึ้นก็ควรจะต้องยืนอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริงที่ว่าจริงๆ แล้วเขารู้สึกอะไรกับคุณถึงแสดงออกมาเช่นนั้น ไม่ใช่ใช้เพียงความรู้สึกเข้าข้างตัวเองแล้วนำมันมาปะติดปะต่อและ ‘เข้าใจไปเอง’ ว่าเขาชอบคุณเช่นกัน และแน่นอนว่าหลายๆ ครั้งเขาอาจจะ ‘ตอบเป็นมารยาท’ หรือ ‘รักษาน้ำใจ’ คุณอยู่ ซึ่งนั่นดูรุนแรงต่อความรู้สึกมากกว่าการถูกปฏิเสธเสียอีก

 

 

ประเด็นสำคัญของความผิดหวังคือคุณคาดหวัง (แน่นอนสิ) ซึ่งความคาดหวังดังกล่าวมันเกิดมาจากคุณต้องการหรือชื่นชอบคนคนนั้นอย่างมาก และคาดหวังว่าเขาจะชอบคุณตอบ ซึ่งหากเริ่มต้นจากการส่งข้อความคุยกัน ลุกลามไปถึงการออกไปเดต จบลงที่เตียง แต่คุณเองก็ต้องมองมุมกลับเหมือนกันว่าไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นเพศไหนก็ตาม เขาก็ย่อมคาดหวังกับคุณเช่นกันว่าคุณจะสามารถเข้ากับเขาได้ พูดจาภาษาเดียวกัน หรือมีรสนิยมและไลฟ์สไตล์ที่ใกล้เคียงกัน กระทั่งต้องตากันและกัน ต่างคนก็ต่างหวังเพราะทุกคนก็อยากมองหาความสัมพันธ์ที่สบายใจ ชัดเจน และสิ่งที่คิดว่า ‘ใช่’ จริงๆ และการที่เขาไม่ได้ชอบคุณก็แค่ต้องเข้าใจง่ายๆ ว่าคุณน่ะ ‘ไม่ใช่’ สำหรับเขา ควรรู้จักยอมรับและ move on!

 

อีกประเด็นความสัมพันธ์ในหนังเรื่องนี้คือการ ‘คุยๆ กันไปก่อน’ อย่างเช่นกรณีของตัวละคร แอนนา (รับบทโดย สการ์เล็ตต์ โจแฮนส์สัน) และคอเนอร์ (รับบทโดย เควิน คอนนอลลี) กับความสัมพันธ์ที่ไม่มีชื่อเรียก และกลับกลายเป็นฝ่ายชายที่เริ่มตั้งคำถามว่า ‘ผู้หญิงเขาไม่สนใจเราได้ยังไงวะ’ ในเมื่อเขาเองก็หยิบยื่นสิ่งดีๆ ให้กับฝ่ายหญิงเสมอ ซึ่งในหนังก็แสดงภาพให้เห็นว่าตัวละครของคอเนอร์นั้นจริงจังกับผู้หญิงอย่างแอนนามากแค่ไหน และนั้นก็มุ่งเข้ามาสู่ประเด็นที่ว่าหรือแท้จริงแล้วผู้หญิงไม่ได้ชอบคนดี? เพราะแอนนาเองก็กลับไปมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับผู้ชายที่แต่งงานแล้วอย่าง เบน (รับบทโดย แบรดลีย์ คูเปอร์) เหตุผลไม่ใช่เพราะว่าเธอชอบคนเลวหรือชอบผู้ชายที่มีคู่แล้ว แต่เธอแค่ชอบเขา และเขาก็ชอบเธอเท่านั้นเอง!

 

เราต้องยอมรับว่าในปัจจุบันสิ่งที่เรียกว่า ‘สถานะความสัมพันธ์’ อาจไม่ใช่เรื่องสำคัญมากนักของคนจำนวนหนึ่ง บ้างก็ไม่อยากผูกมัด บ้างก็รักสนุก หรือเพียงแค่หวาดกลัวการมีความสัมพันธ์ เพราะนั่นหมายถึงการหวาดกลัวความสูญเสียและความผิดหวังเช่นกัน เพราะฉะนั้นสิ่งไหนที่สบายใจก็ทำไปเถอะ แต่เราแค่ไม่อยากให้คุณทำร้ายใครโดยที่ไม่รู้ตัวเช่นกัน

 

 

นอกเหนือจากความสัมพันธ์ที่วุ่นวายของคนโสดแล้ว ในหนังเองก็ยังแสดงภาพของหลายๆ คู่ที่คบกันมาอย่างยาวนาน ซึ่งนั่นก็ใช่ว่าจะไม่มีปัญหา เช่น ตัวละคร เจนีน (รับบทโดย เจนนิเฟอร์ คอนเนลลี) ภรรยาของเบน (ใช่ ผู้ชายนอกใจแฟนไปหาแอนนาที่เรากล่าวถึงไปเมื่อครู่) รวมไปถึงตัวละคร เบ็ธ (รับบทโดย เจนนิเฟอร์ อนิสตัน) และเนล (รับบทโดย เบน แอฟเฟล็ก) ที่คบหาดูใจกันมาถึง 7 ปี แต่ยังไม่แต่งงานกัน

 

คู่แรกผิดหวังกันเพราะถูกนอกใจ ในขณะที่อีกคู่ผิดหวังซึ่งกันและกันเพราะความคาดหวังของสังคม เราพูดกันตามตรงว่าในฐานะคนที่มีคู่รักมาสักระยะหนึ่ง เมื่อใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันแล้วเรามักจะมีความคาดหวังในอีกฝ่ายอย่างไม่ตั้งใจเสมอ อาจจะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างการที่เขามักจะชอบทิ้งขยะไว้บนหัวนอน หรือเรื่องใหญ่โตอย่างการที่พวกคุณมีเซ็กซ์ที่ไม่น่าประทับใจหรือไม่เก็ตกันบนเตียง

 

แต่ไอ้ครั้นจะหยิบยกความคาดหวังของสังคมขึ้นมาพูดในประเด็นความสัมพันธ์ก็ดูจะใจร้ายกันไปหน่อย หากคุณคิดว่าคู่รักของคุณไม่อยากแต่งงาน แต่เพื่อนๆ ของคุณต่างเชียร์อย่างเต็มที่ว่า ‘แต่งสิวะ รออะไรอยู่!’ แล้วคุณจะอยากแต่งงานขึ้นมาทันทีเลยหรือเปล่าล่ะ คำถามคือแท้จริงคุณอยากแต่งเพื่อใคร แต่งงานเพื่อตัวคุณเอง หรือแต่งงานเพื่อให้สังคมยอมรับ แต่ในยุคนี้ที่สังคมเปลี่ยนไป เราเห็นคู่รักที่อยู่กินกันมาเป็นสิบๆ ปีได้โดยที่ไม่ต้องแต่งงานกัน พวกเขาก็ดูมีความสุขดีใช่ไหมล่ะ เพราะฉะนั้นการมีความสัมพันธ์ที่ชัดเจนอาจไม่ตอบสนองคนส่วนหนึ่งในยุคนี้ เช่นเดียวกับการแต่งงานเองก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่แสดงออกถึงความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นได้ทั้งหมดอีกต่อไป

 

 

ปัญหาทั้งหมดจะคลี่คลายลงได้ง่ายดายมากเพียงแค่เราต่างหันหน้ามาคุยกันอย่าง ‘ตรงไปตรงมา’ และไม่ควรค้างๆ คาๆ หรือเห็นแก่ตัว เพราะเราเชื่อเรื่องหนึ่งว่าหากคุณใช้ชีวิตอยู่กับความเป็นจริง ไม่ใช่เพียงแค่คุณเองจะสบายใจ เพราะอย่างน้อยที่สุดคุณเองก็จะไม่ได้ทำร้ายความรู้สึกใครโดยที่ไม่ตั้งใจอีกด้วย

 

แต่ด้วยความที่มนุษย์นั้นมีร้อยพ่อพันแม่ การพูดความรู้สึกอย่างเปิดเผยอาจไม่ใช่เรื่องที่ใครต่างรับได้ง่ายๆ แน่นอนว่าความจริงที่ไม่อยากได้ยินมักทำร้ายให้รู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวเสมอ ซึ่งเป็นเพียงเพราะ ‘คุณไม่อยากได้ยินสิ่งที่ไม่ตรงกับที่หวังไว้’ อันเป็นความรู้สึกพื้นฐานที่เราต่างมี แต่สิ่งหนึ่งที่เราว่าน่าสนใจคือวิธีคิดและการรับมือกับความผิดหวังอย่างเช่นที่ ดร.จูเลียนา เบรเนส ผู้เชี่ยวชาญเรื่องความสัมพันธ์ กล่าวไว้ถึงความสัมพันธ์ในหนังเรื่องนี้ในเว็บไซต์ Psychology Today ว่าการลวงหลอกความรู้สึกตัวเองด้วยความคิดด้านบวกมักทำให้รู้สึกมีความสุขมากกว่าและดีต่อความรู้สึกมากกว่า ซึ่งแน่นอนว่ามันโอเค แต่หากคิดอีกมุมว่าการที่เขาไม่ชอบคุณกลับมันไม่ใช่ปัญหาของคุณ แต่เป็นปัญหาของคนคนนั้นเสียมากกว่า วิธีนี้อาจทำให้ยอมรับความผิดหวังได้ง่ายขึ้นก็ได้

 

สุดท้ายเราก็เพียงต้องหัดยอมรับความผิดหวังง่ายๆ เสียบ้าง ไม่ใช่เพื่อให้บอกตัวเองว่าท้ายที่สุดคุณก็เป็นแค่ไอ้ขี้แพ้คนหนึ่งในเรื่องความสัมพันธ์ แต่มันเป็นการยอมรับและรักษาตัวตนและความเป็นคุณเอาไว้ เพราะในทุกความสัมพันธ์ไม่ได้มีฝ่ายใดผิดหวังเพียงคนเดียวเสมอไป และผลลัพธ์ของความสัมพันธ์ไม่จำเป็นต้อง Live Happily Ever After เช่นในหนังดิสนีย์เสมอไปเช่นกัน

 

ดังนั้น ‘แชตหนักขวา’ คราวหน้า อย่าคิดบวกว่าเขาหรือเธอยุ่งล้านสิ่ง เพราะคนคนนั้นอาจแค่ ‘ไม่ได้ชอบคุณขนาดนั้น’ เท่านั้นเอง

 

พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories