Hermès ออกมารายงานยอดขายในไตรมาสที่ 3 ของปี 2021 โดยทำไปได้ทั้งหมด 2,377 ล้านยูโร หรือราว 91,800 ล้านบาท ซึ่งเติบโตขึ้น 31.2% ในอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว และเพิ่มขึ้น 40% เมื่อเทียบกับปี 2019 ก่อนเกิดวิกฤตโควิด ผลมาจากยอดขายในทวีปเอเชีย โดยเฉพาะประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก
โดยภายในสามเดือนที่ผ่านมา แบรนด์ลักชัวรีสุดหรูยังคงกวาดรายได้จากลูกค้าทั่วโลกได้ชนิดที่แรงไม่ตก เริ่มที่ทวีปเอเชียแปซิฟิก (ยกเว้นประเทศญี่ปุ่น) ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่สุดของแบรนด์ ทำไปได้ทั้งหมด 1,072 ล้านยูโร ถึงแม้ว่ายังมีสถานการณ์ล็อกดาวน์ในบางประเทศสำคัญอย่างออสเตรเลีย ไทย และมาเลเซีย ส่วนทวีปที่มีอัตราการเติบโตมากที่สุดตกเป็นของทวีปอเมริกา ซึ่งทำไปได้ 392.9 ล้านยูโร หรือคิดเป็น 48.4% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2020 ในอัตราแลกเปลี่ยนคงที่
และหากเจาะดูเป็นรายกลุ่มสินค้าที่นำรายได้เข้าสู่แบรนด์ สินค้าประเภทเครื่องหนังยังคงเป็นแหล่งรายได้ที่ใหญ่ที่สุด โดยในไตรมาสที่ 3 นี้ ปิดที่ 1,077.2 ล้านยูโร เพิ่มขึ้นจากปี 2020 ที่เคยทำไว้ 879.8 ล้านยูโร ส่วนสินค้าที่มีอัตราการเติบโตมากที่สุดกลับเป็นของนาฬิกา ที่โตขึ้นถึง 53.7% จากปี 2020 และ 73.4% จากปี 2019 สะท้อนการลงทุนรูปแบบใหม่ของลูกค้าของแบรนด์
Axel Dumas ซีอีโอของ Hermès กล่าวว่า “ผลประกอบการในไตรมาสที่ 3 นี้สะท้อนสถานการณ์ในปีที่ไม่ปกติ ซึ่งเรายังคงเดินหน้าลงทุนด้านกลยุทธ์และเร่งการสร้างอาชีพไปด้วย ในโลกที่ไม่แน่นอนเช่นนี้ การบริหารระหว่างงานฝีมือทั้ง 16 แขนง และสาขาที่มีอยู่ทั่วโลก ทำให้เรามองไปข้างหน้าอย่างมีความหวังและความระมัดระวัง และยังคงสร้างสรรค์สินค้าที่สวยงาม ได้คุณภาพ และยั่งยืน”
ในช่วงสามเดือนที่ผ่านมาทาง Hermès ได้เดินหน้าเปิดร้านและขยายธุรกิจมากมาย ทั้งการกลับมาของร้านที่ศูนย์การค้า Istinye Park ในเมืองอิสตันบูล ประเทศตุรกี, ร้านบูติกที่ Aventura Mall รัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา รวมไปถึงการเปิดตัวสินค้าประเภทเครื่องสำอางในประเทศจีนเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา
ภาพ: Edward Berthelot/Getty Images
อ้างอิง: