สำหรับคนรุ่นใหม่ที่เพิ่งจบการศึกษาหรือเพิ่งเริ่มต้นทำงานได้ไม่นาน การเก็บเกี่ยวประสบการณ์ถือเป็นสิ่งสำคัญ เพราะนั่นจะยิ่งทำให้เราเติบโตขึ้นในสายงาน และพัฒนาขึ้นจนมีเส้นทางอาชีพและอนาคตที่สดใส ทว่า น่าเสียดายที่แม้จะเป็นคนรุ่นใหม่ไฟแรง แต่ถ้าโอกาสไม่เปิดก็คงต้องรอไปอีกนานกว่าจะได้เรียนรู้ พัฒนา และได้เจริญก้าวหน้า
โชคดีสำหรับคนรุ่นใหม่ที่แบรนด์เครื่องดื่มดังระดับโลกอย่าง Heineken® ได้มีโครงการดีๆ ที่ชื่อ APGP (Asia Pacific Graduate Program) เพื่อที่จะเปิดโอกาสให้กับคนรุ่นใหม่ไฟแรงได้ #GoPlaces ซึ่งนอกจากจะได้ร่วมทำงานกับแบรนด์ดังระดับโลกแล้ว ยังจะได้รับโอกาสในการทำงานในต่างประเทศ เพื่อเรียนรู้วัฒนธรรมการทำงานในระดับอินเตอร์ฯ แถมยังได้เรียนรู้การทำงานแบบมืออาชีพจากผู้บริหารระดับสูงที่จะเป็นที่ปรึกษา (Mentor) คอยชี้แนะตลอดทั้งโครงการ เป็นระยะเวลา 2 ปี เรียกได้ว่าเก็บเกี่ยวประสบการณ์กันได้เต็มที่ นับว่าเป็นโครงการที่น่าสนใจไม่น้อยเลย
THE STANDARD จึงสนใจอยากจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับโครงการนี้กันให้มากขึ้น ด้วยการพูดคุยกับ ทรัสต์–ภัทรี ชุณหวรากรณ์ (People and Organization Development Manager) ผู้ดูแลโครงการนี้ รวมถึง 2 ตัวแทนผู้เข้าร่วมโครงการ APGP รุ่นแรกอย่าง มิล่า–จามิล่า พันธ์พินิจ (APGP – Marketing) และ โทนี่–ภาสกร บินอารี (APGP – HR)
คนรุ่นใหม่ผู้ได้รับการคัดเลือก สู่ 3 เมือง 3 ประเทศ และภารกิจอันแสนท้าทาย
เมื่อถามภัทรี ผู้ดูแลโครงการ APGP ว่าจุดประสงค์ของโครงการนี้คืออะไร เธออธิบายให้เราฟังว่า จุดประสงค์ของโครงการ APGP คือต้องการคนรุ่นใหม่ไฟแรง ที่มีความพร้อมในการเรียนรู้ พร้อมที่จะเดินทางไปได้ทุกที่บนโลกใบนี้ และยอมรับต่อความท้าทายใหม่ๆ
“เสน่ห์ของโครงการนี้ส่วนหนึ่งอยู่ที่การที่คุณรู้และเลือกแล้วว่ามีแพสชันอะไร เช่น สมัครมาในส่วนของการตลาด เราก็จะให้คุณได้เรียนรู้ในเรื่องมาร์เก็ตติ้งตลอดเส้นทาง ซึ่งจะไม่เหมือนกับ Management Trainee โปรแกรมอื่นๆ ที่จะต้องทดลองอยู่แทบทุกฟังก์ชัน ทั้งไฟแนนซ์และ HR แล้วสุดท้ายจึงค่อยเลือก แต่ถ้าเป็นโครงการนี้ เมื่อคุณเลือกสายงานแล้ว คุณก็จะได้ทำงานในสายงานนั้นๆ เลย ซึ่งข้อดีก็คือ เมื่อโครงการจบลงก็จะได้รับโอกาสเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้บริหารระดับกลาง หรือ Manager ซึ่งเขาจะได้เป็นผู้จัดการในวัยแค่ 20 ต้นๆ เท่านั้น ถือว่าเร็วมากเลยนะคะสำหรับเด็กจบใหม่วัยเริ่มทำงาน”
ภัทรียังชี้ให้เห็นว่า ระหว่าง 2 ปีที่เข้าร่วมโครงการ APGP นี้ ผู้เข้าร่วมโครงการจะต้องพบเจอกับความท้าทายหลากหลาย อันที่จริงแล้วก็เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่กระบวนการสมัครที่ยากและใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 2 เดือน ซึ่งมีหลายขั้นตอน ตั้งแต่ใบสมัครนับพัน ผ่านกระบวนการสมัครที่จะมีหลายด่าน เพื่อทดสอบความสามารถในแต่ละด้าน และสัมภาษณ์พร้อมทั้งทำกิจกรรม เพราะโครงการนี้ต้องการเฉพาะคนที่ ‘ใช่’ จริงๆ เท่านั้น
“เราต้องการคนที่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร แล้วพร้อมจะมุ่งไป อย่างหนึ่งก็เพราะโครงการนี้เป็นโครงการระยะยาวที่กินเวลาถึง 2 ปีเต็ม ซึ่งผู้ที่ได้รับการคัดเลือกจะต้องไปประจำอยู่ยังออฟฟิศ 3 แห่งในประเทศต่างๆ ของไฮเนเก้นในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งแต่ละแห่งจะใช้เวลาประมาณ 6 เดือน โดยจะถูกโยกย้ายไปเรื่อยๆ โดยพวกเขาจะไม่รู้ตัวเลยนะคะว่าจะถูกย้ายไปที่ไหน เขาจะรู้ล่วงหน้าแค่ 2 เดือนเท่านั้น
“รวมถึงยังจะได้รับมอบหมาย โปรเจกต์ และภารกิจที่ท้าทายในออฟฟิศแต่ละแห่ง ซึ่งเขาจะต้องพิสูจน์ว่าตัวเองนั้นทำได้ และเมื่อย้ายกลับมาที่เมืองไทยก็จะได้ฝึกการทำงานแบบครอสฟังก์ชัน คือการได้ไปทำงานในส่วนงานอื่นๆ ที่ตนเองไม่ได้เลือกไว้ เพื่อเรียนรู้ในเรื่องธุรกิจส่วนอื่นๆ ซึ่งเขาก็จะไม่ทราบอีกเช่นกันว่าจะถูกกำหนดให้อยู่ฝ่ายไหน ทุกอย่างมันจะไม่ได้ถูกวางแผนไว้ล่วงหน้า เป็นความท้าทายที่เขาจะต้องเจอ แต่เราก็จะมีที่ปรึกษาที่เป็นระดับผู้บริหารช่วยดูแลเขาไปตลอดเส้นทาง เพื่อให้เขาได้พัฒนาเป็น Best Version ของตัวเอง ซึ่งเขาจะไม่โดดเดี่ยวอย่างแน่นอน”
นอกจากนี้ทางบริษัทฯ ยังดูแลในเรื่องต่างๆ ให้อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับค่าที่พัก ค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าเดินทาง ค่าประกันสุขภาพและประกันชีวิต รวมถึงสวัสดิการอื่นๆ
“แต่ในทางกลับกัน เราก็คาดหวังให้เขากลับมาทุ่มเทและพัฒนาองค์กร ซึ่งนอกจากเขาจะต้องทำงานที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จลุล่วงแล้ว เรายังคาดหวังว่าเขาจะพัฒนาตัวเองเป็นคนที่เก่งขึ้น เป็นตัวเองในเวอร์ชันที่ดีที่สุด เพื่อที่วันหนึ่งเขากลับมายังออฟฟิศของเรา เขาจะเป็นคนที่พร้อมสำหรับทำงานเป็นผู้จัดการได้ทันที และเหมาะสมสำหรับโอกาสในการ Fast Track ที่มอบให้” People and Organization Development Manager กล่าว
เปิดโอกาส…มอบประสบการณ์
เพื่อสร้างคุณในเวอร์ชันที่ดีที่สุด
เมื่อถามบุคลากร APGP รุ่นแรกว่า ทราบข่าวโครงการนี้ได้อย่างไร และทำไมจึงสนใจที่จะเข้าร่วมโครงการนี้ ชายหนุ่มสาย HR อย่างโทนี่ เล่าให้เราฟังว่า เขา ทราบข่าวการรับสมัครโครงการนี้จาก Linkedin ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่คนรุ่นใหม่ใช้สำหรับการหางาน
“ตอนนั้นผมเป็นนักเรียนอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น เห็นแคมเปญ #GoPlaces ของ Heineken และโครงการ APGP แล้วคิดว่าน่าสนใจมาก เพราะดูแล้วคิดว่าน่าจะช่วยสามารถพัฒนาความสามารถของเราได้ ซึ่งผมคิดว่า เป็นความสามารถที่สำคัญสำหรับโลกในยุคสมัยใหม่นี้ นั่นคือความสามารถที่จะเปิดรับ (Exposure) ปรับเปลี่ยน (Change) ได้อย่างว่องไว (Agility) การที่เราจะได้เจอความท้าทายใหม่ๆ สถานที่ใหม่ๆ ในต่างประเทศของโครงการนี้ น่าจะทำให้เราเป็นคนที่เก่งขึ้นได้ คิดว่าเป็นโอกาสที่ดีสำหรับตัวเรา ก็เลยลองสมัครดู ระหว่างที่สมัครไปก็มีการทดสอบไป 3-5 รอบ ซึ่งระหว่างที่สมัครก็ได้เจอกับคณะผู้บริหารที่มีความสามารถ ยิ่งเมื่อมีโอกาสได้พูดคุยในช่วงเวลานั้น ด้วยความที่เขาเป็นคนเก่ง มีความสามารถมาก แถมยังมีความเป็นมิตร จึงยิ่งแน่ใจว่าเป็นบริษัทที่เราอยากจะมาทำงานด้วย”
ด้านมิล่า ที่ขณะนั้นเพิ่งเรียนจบจากที่บอสตัน และกำลังมองหางานด้านการตลาด ก็เล่าให้ฟังว่า ตัวเธอเรียนโปรแกรมนานาชาติมาตั้งแต่เด็ก จึงอยากจะทำงานกับองค์กรที่มีความเป็น International อยู่แล้ว ด้วยความที่เรียนจบและชอบทำงานด้านมาร์เก็ตติ้ง ก็เลยอยากจะทำงานกับแบรนด์ชั้นนำที่มีชื่อเสียงของโลก เมื่อเจอโครงการ APGP จึงรู้สึกสนใจมาก
“โดยส่วนตัวมิล่าก็ชอบแบรนด์ไฮเนเก้นอยู่แล้ว และคาดว่าน่าจะได้เรียนรู้อะไรได้เยอะ เมื่อรู้รายละเอียดว่า โครงการ APGP มีส่งไปทำงานต่างประเทศ ก็เลยรู้สึกว่ายิ่งน่าสนใจเข้าไปใหญ่ แถมยังเป็นโปรแกรมเร่งรัดที่ทำให้เราพัฒนา ท้าทายและเรียนรู้เร็ว ก็เลยคิดว่า โปรแกรมนี้น่าจะเป็นสิ่งที่เราต้องการ เพื่อที่จะเริ่มต้นอาชีพของเรา และก็เหมือนกับโทนี่ค่ะ ช่วงสัมภาษณ์ได้เจอกับผู้บริหารจากประเทศต่างๆ เราก็รู้แล้วล่ะว่าที่นี่เป็นที่ที่เราอยากจะทำงานด้วยมากๆ รู้สึกประทับใจและสัมผัสได้ถึงวัฒนธรรมการทำงานของไฮเนเก้น ก็รู้สึกว่าจะเป็นการทำงานที่น่าสนุก เมื่อประกาศผลว่าเราได้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ APGP ก็รู้สึกว่าดีใจมากๆ”
ระหว่าง 2 ปี ที่ได้เข้าร่วมโครงการ APGP เป็นอย่างไรบ้าง ได้ผ่านประสบการณ์และได้เรียนรู้อะไรกันมาบ้าง – THE STANDARD ส่งคำถาม
โทนี่ ซึ่งทำงานอยู่ในแผนกทรัพยากรบุคคล หรือ HR (Human Resources) ซึ่งหลายคนมักจะคิดว่างานของ HR ก็จะวนอยู่เฉพาะแต่ในแผนก หากชายหนุ่มคนนี้อธิบายว่า อันที่จริงแล้วการเป็น HR นั้นก็มีหลาย Position และหลากหลายมิติ
“อย่างตอนที่ผมไปอยู่ในออฟฟิศที่ 2 ที่ประเทศลาว ผมได้มีโอกาสทำโปรเจกต์ในเรื่องของ Training & Development ทำให้ผมมีโอกาสในการพิสูจน์ตัวเอง ซึ่งผมก็ต้องวางแผนการเทรนพนักงาน และหาทางดำเนินการออกมาให้เห็นผลให้ได้ในช่วงเวลาสั้นๆ ส่วนประเทศที่ 2 ก็คือประเทศเวียดนาม ซึ่งออฟฟิศนี้ใหญ่มาก มีพนักงานกว่า 3,000 คน โปรเจกต์ที่ผมได้รับมอบหมายคือ ดูแลเรื่องการเงินของ HR ก็ต้องไปสร้างระบบใหม่หมดให้พนักงานกว่า 3,000 ชีวิต ได้ใช้กัน ซึ่งในเรื่องของการทำระบบใหม่ที่ยากแล้ว แต่ที่ยากอีกอย่างก็คือ เรื่องของ Change Management ที่จะต้องสื่อสารและสอนให้ทุกคนในองค์กรเรียนรู้ เข้าใจ และเห็นคุณค่าของระบบใหม่ดังกล่าว ซึ่งก็ถือเป็นประสบการณ์ที่ดีมาก แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ เพียงแค่ 6 เดือนในแต่ละประเทศ ก็ทำให้ผมได้รับการเรียนรู้ที่ดีมากๆ
“อีกอย่างก็คือ เราได้เรียนรู้ถึงค่านิยม ซึ่งเป็นวัฒนธรรมองค์กรของไฮเนเก้น ซึ่งจะมีค่านิยมอยู่อย่างหนึ่งที่เรียกว่า ‘Enjoyment of Life’ คือการที่เราจะขายสินค้าให้กับลูกค้า ซึ่งสินค้าของไฮเนเก้นนั้นไม่ใช่แค่เบียร์ แต่รวมถึงประสบการณ์ความสนุกกับชีวิต ซึ่งจะต้องเริ่มมาจากคนในบริษัทก่อน ดังนั้น ไม่ว่าไปที่ออฟฟิศไหนในโลกก็จะมีค่านิยมนี้เหมือนกัน ส่วนวัฒนธรรมการทำงานของแต่ละประเทศ เขาก็จะมีเสน่ห์แต่ละอย่างที่ไม่เหมือนกันให้เราได้เปิดกว้างเรียนรู้
“จนมาถึงออฟฟิศที่ 3 ผมก็กลับมาที่ประเทศไทย ทำงานกับกลุ่มบริษัท TAP เพื่อเรียนรู้การทำงานครอสฟังก์ชันในแผนกอื่น ซึ่งผมต้องไปทำงานที่แผนก Supply Chain หรือสายงานการผลิต ซึ่งถือเป็นการเรียนรู้เกี่ยวกับธุรกิจของบริษัทที่มากขึ้น ได้เรียนรู้ในเรื่องของการผลิตเบียร์ให้ได้คุณภาพและมีประสิทธิผลที่สุด สำหรับผม 2 ปีนี้ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีมากๆ” ชายหนุ่มกล่าว
ด้านมิล่าที่ทำงานด้านมาร์เก็ตติ้ง ก็เล่าถึงประสบการณ์ 2 ปีของเธอ ให้เราฟังบ้าง ว่า ช่วงแรกที่เทรนที่เมืองไทย รุ่นพี่ในแผนกก็จะมักจะบอกว่าเธอเป็นบุคลากร APGP ดังนั้น ความคาดหวังที่มีต่อเธอก็ย่อมจะสูงมากๆ เพราะเวลาที่ไปออฟฟิศต่างประเทศแห่งอื่น ก็ไปในฐานะตัวแทนที่มาจากออฟฟิศประเทศไทย
“การเทรนนิ่งจากที่เมืองไทยจึงถือว่าหนักที่สุด และเป็นการเรียนรู้ที่เร็วมากๆ การเป็น APGP มันไม่เหมือนกับการที่เราไปเริ่มทำงานที่บริษัทใหม่ แล้วค่อยๆ เรียนรู้ เราต้องทำและลงมือทำได้เลย ตอนที่อยู่เมืองไทยมิล่าก็ได้ทำโปรเจกต์ใหญ่ๆ ตอนนั้นได้รับมอบหมายให้ดูแล Heineken® Beer Park ซึ่งพี่ๆ เขาก็ให้ความไว้วางใจและปล่อยให้มิล่าทำเองเยอะมากๆ แต่ก็จะมีพี่ๆ คอยให้คำแนะนำอยู่ตลอด”
ประเทศที่ 2 ที่มิล่าได้ไปคือประเทศลาว ซึ่งออฟฟิศที่นั่นเล็กมาก เพราะฉะนั้นความรับผิดชอบของเธอจึงสูงมากขึ้นตามไปด้วย ต้องทำทุกอย่างเองทั้งหมด จึงได้เก็บเกี่ยวทั้งประสบการณ์เกี่ยวกับงานเทรดมาร์เก็ตติ้งและเซลล์เพิ่มมาด้วย
“ส่วนออฟฟิศที่ 3 มิล่าถูกส่งไปอยู่ที่สิงคโปร์ ซึ่งเป็นพื้นฐานการทำงานที่ดีมากๆ เพราะว่าต้องไปทำอีกแบรนด์หนึ่ง คือแบรนด์ Strongbow คือคนที่นั่นเขาเห็นว่าเราเป็น APGP ก็คาดหวังว่าเราจะทำได้ จึงปล่อยเราทำแคมแปญเองเลย มิล่าได้ทำทั้งโปรโมชัน จัดอีเวนต์ และคุยกับเอเจนซีเอง งานท้าทายมาก เพราะว่าเป็นทั้งประเทศใหม่และเป็นกลุ่มคนทำงานใหม่
“โชคดีที่ผ่านมาทุกคนเปิดโอกาสให้เราเรียนรู้เร็ว ดังนั้น เมื่อผ่านความรับผิดชอบมามากๆ มิล่าก็เลยค่อนข้างที่จะพร้อมที่จะไปนำการทำงานที่สิงคโปร์ให้กับแบรนด์ Strongbow แล้วพอทำสำเร็จก็เลยรู้สึกว่า เฮ้ย! เราก็ทำได้นี่! อย่างตอนแรกที่เข้ามาทำแล้วเห็นพี่ๆ เขาทำ ก็รู้สึกว่ายากมาก ต้องทำอย่างไรนะ ดูมีความรับผิดชอบเยอะ แต่พอเราได้ทำเอง เขาปล่อยให้เริ่ม โอกาสที่ได้ทำ เราก็เรียนรู้และพิสูจน์ให้เห็นว่าเราเองก็ทำได้ ก็รู้สึกภูมิใจกับความสำเร็จและชิ้นงานของตัวเองที่ได้ทำ และรู้สึกว่าการที่เขาส่งเราไปอยู่ในสภาพแวดล้อมหลายๆ อย่าง ให้เราพยายามทำเองให้มากที่สุด ทำให้เรากลับมาเจอความท้าทายที่เมืองไทยได้”
เมื่อมาถึงตอนนี้ ผู้ดูแลโครงการ APGP อย่างภัทรี เสริมให้เราได้ฟังว่า สิ่งหนึ่งที่ทุกออฟฟิศของไฮเนเก้นจะรู้กันดีก็คือ บุคลากร APGP ไม่ใช่เด็กนักเรียน ทุกคนในบริษัทสามารถปฏิบัติกับเขาเหมือนเป็นคนทำงาน และให้คาดหวังจากเขาสูงๆ ได้เลย เพราะกระบวนการสรรหากว่าจะได้ APGP มานั้นไม่ได้ง่ายๆ
“ดังนั้น เมื่อเราแน่ใจว่าวิธีการเลือกเขามันถูกต้อง เราได้คนที่ถูกต้องมาแล้ว เมื่อได้ทดสอบกันมาแล้วว่า เขามีศักยภาพที่จะเรียนรู้และพัฒนาได้ ทำงานใหญ่ได้ เส้นทาง 2 ปีนี้ มันต้องเร็วและแรงที่สุด เพื่อที่จะสร้างให้เขาเป็น Best Version ของเขาเองได้ภายในระยะเวลา 2 ปี เพราะจะเห็นว่าพอจบ 2 ปี อายุเขาก็จะไม่เยอะเลย ยัง 20 ต้นๆ กันอยู่เลย แต่เขาจะได้อยู่ในระดับผู้จัดการแล้ว ดังนั้น สิ่งที่เขาต้องมีคือ Credibility หรือความน่าเชื่อถือ ดังนั้น จะทำอย่างไรให้เขามีสิ่งเหล่านี้ Visibility มันได้อยู่แล้วจากการที่ผู้บริหารเห็นเขาในช่วง 2 ปีนี้ แต่ Credibility คือสิ่งที่เขาต้องสร้างขึ้นมาเอง คือเมื่อจบ 2 ปีนี้ เขาจะได้เป็นหัวหน้าทีม แล้วทีมก็จะต้องโอเคกับเขา ดังนั้น สิ่งที่เขาเจอมันจะทำให้เขาพร้อมที่จะเติบโตขึ้น พร้อมที่จะเจอกับอะไรในวันข้างหน้า นี่คือเสน่ห์อีกอย่างของโครงการนี้” ผู้ดูแลโครงการ APGP อธิบาย
เมื่อถามถึงความประทับใจและสิ่งมีค่าที่ได้รับจากโครงการ APGP ทั้งสองผู้เข้าร่วมโครงการตอบว่า
“มันพูดยากนะคะว่าสิ่งมีค่าที่ได้รับจากโครงการนี้คืออะไรบ้าง เพราะรวมๆ แล้วมันคือประสบการณ์ที่มีค่ามาก มิล่าโชคดีมากที่ได้รับโอกาสนี้ ได้ทำงานกับไฮเนเก้นในประเทศต่างๆ เราได้ประสบการณ์ท้าทายที่ทำให้เติบโต ได้มีโอกาสเรียนรู้จากคนที่เก่งมากๆ และได้เอาประสบการณ์นั้นมาใช้ในชีวิตจริง ได้มิตรภาพ ได้เจอเพื่อนๆ พี่ๆ หัวหน้าที่ประเทศอื่นๆ เราได้ความอบอุ่น ความเป็นครอบครัวจากไฮเนเก้น รู้สึกว่าประสบการณ์ทั้งหมดที่ได้รับเป็นอะไรที่ดีที่สุดในชีวิตแล้ว ไม่สามารถที่จะเลือกสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้เลย” มิล่ากล่าว
ด้านโทนี่สรุปให้ฟังว่า “มันก็เหมือนกับการผจญภัยเรียนรู้ครั้งหนึ่งในชีวิต ที่เราได้เดินทางไปพบเจอกับผู้คนที่หลากหลาย ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง และได้มิตรภาพกลับมา ความท้าทายที่ได้พบ มอบอะไรตอบแทนกลับมาให้เราเยอะมากๆ ถือว่าเป็นการเปิดโอกาสให้กับตัวเอง ซึ่งการผจญภัยครั้งนี้มันก็ยังไม่จบนะครับ เราก็ยังเรียนรู้กันต่อไปเรื่อยๆ อยู่”
นับเป็นอีกหนึ่งโครงการดีๆ ที่หากใครอยากจะมีโอกาสเรียนรู้ ได้ #GoPlaces และพัฒนาตัวเอง เพื่อเป็นตัวคุณเองในเวอร์ชันที่ดีที่สุดแล้วล่ะก็ คงต้องลองติดตามข่าวและสมัครเข้าร่วมโครงการกัน
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล
- นอกจากมี Mentoring Program และ Leadership Program พร้อมทั้งมอบ Assignment ที่ท้าทายให้เรียนรู้และเติบโต และโอกาสทำงานในระดับนานาชาติแล้ว ระหว่างโครงการ หากมีงานประชุม สัมมนา และเวิร์กช็อปที่น่าสนใจในประเทศต่างๆ บุคลากร APGP ยังจะได้รับการสนับสนุนให้เข้าร่วมอีกด้วย
- ติดตามรายละเอียดเกี่ยวกับโครงการ APGP ได้ที่นี่