×

รัฐบาลช่วยคู่สัญญารัฐฝ่าวิกฤตโควิด ไม่ต้องเสียค่าปรับ ลดเป็นร้อยละศูนย์ แต่ต้องเป็นสัญญาลงนามหลัง 26 มี.ค. 2563

โดย THE STANDARD TEAM
05.08.2021
  • LOADING...
ประยุทธ์ จันทร์โอชา

วันนี้ (5 สิงหาคม) อนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ทราบถึงความเดือดร้อนผู้ประกอบการ โดยเฉพาะที่เป็นคู่สัญญาของรัฐ ได้มอบหมายให้กระทรวงการคลังหาแนวทางในการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่เป็นคู่สัญญาของรัฐ ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิดอย่างเป็นรูปธรรม และในการประชุมคณะรัฐมนตรีที่ผ่านมา เห็นชอบการกำหนดอัตราค่าปรับเป็นอัตราร้อยละ 0 โดยเมื่ออัตราค่าปรับเป็นอัตราร้อยละ 0 ผู้ประกอบการก็จะไม่มีค่าปรับ

 

สำหรับหลักเกณฑ์และเงื่อนไข เป็นสัญญาที่ได้ลงนามหลังวันที่ 26 มีนาคม 2563 ซึ่งยังมีนิติสัมพันธ์อยู่ และยังมิได้ส่งมอบงานงวดสุดท้าย หรือได้ส่งมอบงานงวดสุดท้ายก่อนวันที่มีประกาศยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงทั่วราชอาณาจักรอันเนื่องมาจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 แต่ยังมิได้มีการตรวจรับพัสดุ ให้คิดค่าปรับในอัตราร้อยละ 0 โดยให้คิดค่าปรับในอัตราร้อยละ 0 ตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม 2563 จนถึงก่อนวันที่มีประกาศยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน และกรณีที่หน่วยงานของรัฐได้พิจารณางดหรือลดค่าปรับให้แก่คู่สัญญา หรือการขยายระยะเวลาทำการตามสัญญาหรือข้อตกลงแล้ว ก็ให้นำจำนวนวันดังกล่าวมาหักออกจากจำนวนวันตามมาตรการนี้ และจำนวนวันที่เหลือให้คิดค่าปรับในอัตราร้อยละ 0 ในส่วนค่าปรับส่วนที่เกินจำนวนวันตามมาตรการนี้ ให้คิดในอัตราที่กำหนดในสัญญาหรือข้อตกลงตามปกติ โดยให้หน่วยงานของรัฐดำเนินการตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 ข้อ 183 ต่อไป 

 

อนุชายังกล่าวด้วยว่า การกำหนดอัตราค่าปรับเป็นอัตราร้อยละ 0 เป็นการช่วยเหลือเพิ่มเติมจากการใช้ดุลพินิจของหัวหน้าหน่วยงานรัฐตาม พ.ร.บ. การจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่งรัฐจะไม่มีการคืนเป็นเงิน แต่จะเป็นการหักกลบแทน รัฐบาลจึงไม่มีภาระทางการคลัง และยังสามารถดำเนินการได้ทันที เนื่องจากอยู่ในอำนาจของคณะกรรมการวินิจฉัยตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างมาตรา 29 วรรคหนึ่ง (4) ซึ่งจะการช่วยเหลือผู้ประกอบการภาคเอกชนที่เป็นคู่สัญญากับภาครัฐที่ได้รับผลกระทบในช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising