วันนี้ (3 พฤศจิกายน) กรวีร์ ปริศนานันทกุล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) จังหวัดอ่างทอง พรรคภูมิใจไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การปกครอง สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีที่ กมธ. ได้รับเรื่องร้องเรียนจากตัวแทนเครือข่ายคนรักช้าง ขอให้ตรวจสอบมูลนิธิอนุรักษ์ช้างและสิ่งแวดล้อม (Elephant Nature Park: ENP) จังหวัดเชียงใหม่ เกี่ยวกับการบริหารจัดการสวัสดิภาพสัตว์ การอพยพเคลื่อนย้ายที่ล่าช้ากรณีเกิดอุทกภัยจนทำให้ช้างล้มไป 2 เชือก
รวมถึงประเด็นประโยชน์ทับซ้อนระหว่างมูลนิธิและบริษัท ENP โดยมีการประชุมเชิญทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมาให้ข้อมูลเมื่อวันที่ 30 ตุลาคมที่ผ่านมา ประกอบด้วยตัวแทนฝั่งผู้ร้อง ฝ่ายปกครองคือนายอำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ และตัวแทนสรรพากรในพื้นที่ทั้งในส่วนของจังหวัดและภาค ซึ่งมูลนิธิอนุรักษ์ช้างและสิ่งแวดล้อมไม่ได้มาชี้แจงและไม่ได้ส่งตัวแทนให้ข้อมูลกับกรรมาธิการฯ โดยแจ้งเหตุผลว่าติดภารกิจฟื้นฟูพื้นที่หลังเหตุการณ์น้ำท่วม
กรวีร์กล่าวว่า ได้ซักถามหน่วยงานที่มาชี้แจงซึ่งได้รับคำตอบในหลายประเด็น แต่ยังมีหลายเรื่องที่ไม่มีใครทราบข้อมูลจริงๆ นอกจากเจ้าของปางช้างดังกล่าว เช่น กรณีที่สังคมสงสัยว่าทำไมไม่มีการเคลื่อนย้ายช้างออกมาจากพื้นที่ทั้งที่ได้รับการแจ้งเตือนเหตุน้ำท่วมแล้ว ซึ่งยังไม่ได้รับคำตอบในเรื่องนี้
หน่วยงานดังกล่าวเป็นมูลนิธิจึงขึ้นอยู่กับกรมการปกครองในการตรวจสอบ ซึ่ง กมธ. ฝากให้นายอำเภอแม่แตงและปศุสัตว์ติดตามตรวจสอบในหลายเรื่อง โดยเฉพาะประเด็นการทรมานสัตว์และเรื่องมาตรฐานของปางช้าง ว่าดำเนินการถูกต้องหรือไม่ และต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และให้รายงานกลับมายัง กมธ. ต่อไป
กรวีร์กล่าวต่อว่า สำหรับเรื่องการจดทะเบียนจัดตั้งเป็นมูลนิธินั้น ได้รับการยืนยันจากฝ่ายปกครองพบว่ามีการดำเนินการถูกต้องตามกฎหมาย ขณะที่ในส่วนของสรรพากรระบุว่าพิจารณาเฉพาะในส่วนรายได้ที่ต้องแจงภาษี แต่เงินรายได้ที่มาจากการบริจาคหรือการเก็บค่าบำรุงสมาชิก รายได้พวกนี้เป็นรายได้ยกเว้นของมูลนิธิที่ไม่ต้องยื่นภาษี
ดังนั้นรายได้ที่มูลนิธิต้องมาแจกแจงจึงเป็นรายได้จากการขายของ การขายทัวร์ ซึ่งรายได้ส่วนนี้ของมูลนิธิมีไม่มาก แต่รายได้ส่วนใหญ่ของมูลนิธิดังกล่าวมาจากการบริจาค สรรพากรจึงไม่มีข้อมูลของมูลนิธิในส่วนนี้มากนัก อย่างไรก็ตามในส่วนนี้มีผู้ร้องเรียนว่าโอนเงินบริจาคไปแต่ได้รับใบเสร็จไม่ตรงและไม่ครบถ้วน จึงฝากให้สรรพากรพื้นที่ตรวจในประเด็นนี้ต่อไป
กรวีร์กล่าวอีกว่า นอกจากนั้นในเรื่องของเงินบริจาคและค่าใช้จ่ายต่างๆ ในปางช้างของมูลนิธินั้นจะต้องยื่นบัญชีรายรับ-รายจ่ายต่างๆ ให้กับนายอำเภอกำกับดูแล ซึ่ง กมธ. ติดตามว่ามูลนิธิยื่นถูกต้องตามระเบียบหรือไม่ ซึ่งนายอำเภอพบว่าที่ผ่านมามีการยื่นทุกปี อย่างไรก็ตามยังมีประเด็นที่ต้องไปสืบหาข้อเท็จจริงเพิ่มขึ้นในส่วนของบริษัทแห่งหนึ่งที่สรรพากรระบุว่า พิจารณาเบื้องต้นแล้วมีความผูกพันและมีความสัมพันธ์โยงใยกับมูลนิธิ
“จึงฝากให้นายอำเภอแม่แตงตรวจสอบเพิ่มเติมว่า ถ้าเขามีรายได้จากนักท่องเที่ยว แต่มูลนิธิซึ่งเป็นเจ้าของช้างและเจ้าของสถานที่ได้ประโยชน์อะไรบ้าง มีการใช้สินทรัพย์ของมูลนิธิไปเอื้อประโยชน์ให้กับเอกชนหรือไม่ เพราะเงินของมูลนิธิมาจากการบริจาคของประชาชนทั้งในและต่างประเทศ และรายได้ของบริษัททัวร์ที่เข้ามานั้นมีความโปร่งใสหรือไม่ ซึ่งน่าเสียดายที่เจ้าของปางช้างไม่ได้มาชี้แจง จึงไม่มีใครให้คำตอบได้ ซึ่ง กมธ. จะทำหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอแม่แตง และสรรพากรพื้นที่ ติดตามตรวจสอบและทำรายงานกลับมายัง กมธ. ต่อไป” กรวีร์กล่าว