×

โฉมหน้า 32 ทีมที่ได้ไปเตะฟุตบอลโลก 2018 รอบสุดท้าย ความสดใหม่ที่เซอร์ไพรส์แฟนบอล

16.11.2017
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

5 Mins read
  • ฟุตบอลโลกคราวนี้ยังไม่ทำให้หัวใจของใครเต้นระรัวกันสักเท่าไร ส่วนหนึ่งเป็นเพราะปีนี้มีทีมใหญ่ที่เคยเป็นสีสันมาตลอดจอดแค่รอบคัดเลือกกันหลายทีม โดยเฉพาะ ‘ฮอลแลนด์’ และ ‘อิตาลี’ ที่เรียกน้ำตาจากแฟนบอลทั่วโลกไปไม่น้อย
  • แต่ฟุตบอลโลกที่รัสเซียจะเป็นฟุตบอลโลกที่น่าจะสนุกและสูสีมาก เพราะบรรดาทีมใหญ่ที่เป็นตัวเต็งนั้นอยู่ในช่วงของการ ‘ผลัดใบ’ กันเกือบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นแชมป์เก่าอย่างเยอรมนี หรือฝรั่งเศส ที่มีนักเตะสายเลือดใหม่ที่น่าจับตามองอย่างมาก
  • ขณะที่ทีมที่เคยเป็นไม้ประดับจากเอเชียและแอฟริกานั้น ในปีหน้าไม่มีทีมใดที่จะเป็น ‘หมูนุ่ม’ ให้เคี้ยวนิ่มอีกแล้ว เหตุผลเพราะปัจจุบันมาตรฐานของทีมในเอเชียและแอฟริกานั้นสูงขึ้นมาก สามารถสู้กับชาติจากยุโรปและอเมริกาใต้ได้ดีขึ้นเรื่อยๆ

 

 

   ในที่สุดเราก็ได้ครบ 32 ทีมสุดท้ายที่จะร่วมชิงชัยในมหกรรมกีฬาที่ได้รับความนิยมสูงสุดอย่าง ‘ฟุตบอลโลก’ กันแล้วนะครับ

     โดยทีมสุดท้ายที่ได้ตั๋วไป ‘รัสเซีย 2018’ คือ ทีมชาติเปรู ตัวแทนจากทวีปอเมริกาใต้ ที่เอาชนะนิวซีแลนด์ ตัวแทนจากทวีปนิวซีแลนด์ ได้สบายๆ 2-0 ซึ่งทำให้ฟุตบอลโลกปีหน้าจะไม่มีทีมตัวแทนจากทวีปโอเชียเนียเข้าร่วมแข่งขันด้วย (จะนับ ออสเตรเลียก็ไม่เต็มปาก เพราะขอย้ายไปอยู่ทวีปเอเชีย)

 

 

     อย่างไรก็ดี ในความรู้สึกแล้วฟุตบอลโลกคราวนี้ยังไม่ทำให้หัวใจของใครเต้นระรัวกันสักเท่าไร

     ส่วนหนึ่งเป็นเพราะปีนี้มีทีมใหญ่ที่เคยเป็นสีสันมาตลอดจอดแค่รอบคัดเลือกกันหลายทีม

     โดยเฉพาะ ‘ฮอลแลนด์’ และ ‘อิตาลี’ ที่เรียกน้ำตาจากแฟนบอลทั่วโลกไปไม่น้อย

 

Photo: Miguel Medina/AFP

 

     การที่ไม่มีสีส้มของ ‘ออรานเย’​ (Oranje) กับสีน้ำเงินของ ‘อัซซูรี’ (Azzuri) แล้วมันจ๋อยแบบบอกไม่ถูกครับ เพราะสองทีมนี้ถือเป็นทีมชั้นนำและเป็นทีมที่มีแฟนฟุตบอลทั่วโลกติดตามเอาใจช่วยกันมากมายมหาศาล ไม่ได้น้อยหน้าไปกว่าอังกฤษ, สเปน, เยอรมนี, ฝรั่งเศส, บราซิล หรืออาร์เจนตินา เลย

     แต่ใน 32 ทีมที่ผ่านเข้ารอบมาก็ใช่ว่าจะไม่มีอะไรน่าสนใจ

     ในทางตรงกันข้ามฟุตบอลโลกครั้งนี้อาจจะ ‘เดือดใน’ มากที่สุดครั้งหนึ่ง

     ไม่ต่างอะไรกับการกระดกวอดก้าช็อตเดียวในแก้วใส

     กระดกผ่านคอเมื่อไร รู้เรื่องเมื่อนั้น 🙂

 

Photo: John Thys/AFP

 

การตกรอบที่ไม่คาดคิด

     แต่ก่อนจะพูดถึงเรื่องทีมที่ผ่านเข้ารอบ สิ่งที่คนสนใจกันมากเป็นพิเศษสำหรับรอบคัดเลือกฟุตบอลโลกครั้งนี้คือทีมที่ตกรอบ

     นั่นเพราะปีนี้มีทีมระดับ ‘บิ๊กเนม’ จอดป้ายแค่นี้มากเป็นพิเศษ

     ทีมแรกที่ต้องพูดถึงคือ ฮอลแลนด์ ที่คนรุ่นผมจะเรียกกันในชื่อ ‘อัศวินสีส้ม’ อดีตชาติมหาอำนาจที่เป็นทีมขวัญใจมหาชนของคนทั่วโลก ซึ่งตกรอบคัดเลือกอย่างน่าอับอาย และเป็นรายการใหญ่รายการที่ 2 ที่พวกเขาไม่สามารถผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายได้ต่อจาก ยูโร 2016 ที่ประเทศฝรั่งเศส

     เรียกได้ว่านี่เป็นยุคมืดของทีมจากแดนกังหันลมอย่างแท้จริงครับ

 

Photo: John Thys/AFP

 

     ปัญหาหลักเกิดจากการที่​ฮอลแลนด์ขาดแคลนนักเตะสายเลือดใหม่ฝีเท้าดีที่ขึ้นมาประดับวงการเหมือนก่อน ทั้งๆ ที่เดิมฮอลแลนด์เคยเป็นชาติที่มีนักเตะฝีเท้าดีให้เลือกใช้กันอย่างเหลือเฟือมากที่สุดชาติหนึ่ง และเป็นหนึ่งในชาติที่มีศิลปะการเล่นสูงส่ง และที่สำคัญพวกเขาเพิ่งจะเข้ารอบชิงชนะเลิศเมื่อปี 2010 มาด้วย!

     จาก ฮอลแลนด์ เราก็ได้เห็นทีมอย่าง สหรัฐอเมริกา เจ้าของแชมป์ CONCACAF Gold Cup หรือแชมป์ประจำทวีปอเมริกาเหนือ อเมริกากลาง และแคริบเบียน ตกรอบคัดเลือกในโซนนี้อย่างแทบไม่อยากเชื่อสายตา เมื่อไปพลาดท่าพ่ายต่อตรินิแดดและโตเบโก ในเกมนัดสุดท้ายของรอบคัดเลือกรอบสุดท้าย

     ทั้งๆ ที่แค่เสมอพวกเขาก็จะเข้ารอบ

     อีกทีมที่ต้องตกรอบตามไปด้วยคือ ‘ลา โรฮา’ หรือ ชิลี แชมป์โคปา อเมริกา เซนเตนาริโอ หรือ โคปา อเมริกา ที่ฉลองครบรอบ 100 ปีของการแข่งขัน ซึ่งตกรอบเอาในช่วงท้ายของโซนอเมริกาใต้ แบบที่ช็อกความรู้สึกไม่แพ้กรณีของอเมริกาเลย

 

Photo: Miguel Medina/AFP

 

     และที่ทำให้หัวใจของแฟนบอลทั่วโลกต้องสั่นไหวอย่างรุนแรง คือ การตกรอบของทีมชาติอิตาลี ขวัญใจมหาชนอีกหนึ่งทีมที่พลาดท่าในรอบเพลย์ออฟต่อสวีเดน ทำให้ฟุตบอลโลกครั้งที่จะถึงจะไม่มี ‘อัซซูรี’ ปรากฏกายเป็นครั้งแรกในรอบ 60 ปี

     ภาพน้ำตาลูกผู้ชายของ จานลุยจิ บุฟฟอน สุดยอดตำนานผู้รักษาประตูของโลกที่รับใช้ทีมชาติมากว่า 20 ปี แต่ต้องยุติตำนานด้วยการตกรอบคัดเลือก ทำให้โลกลูกหนังต้องหลั่งน้ำตาตามไปด้วย

     การตกรอบของทีมเหล่านี้คือความสูญเสียครับ

     แต่เมื่อมีการสูญเสียเกิดขึ้น อีกด้านหนึ่งย่อมมีอะไรที่ทดแทนกัน

 

 

ฟุตบอลโลกที่สดใหม่

     ฟุตบอลโลกที่ประเทศรัสเซียจะเป็นฟุตบอลโลกที่น่าจะสนุกและสูสีมากครับ

     และที่สำคัญคือน่าจะเป็นฟุตบอลโลกที่มีความ ‘สด’ มาก

     สดเพราะบรรดาทีมใหญ่ที่เป็นตัวเต็งนั้นอยู่ในช่วงของการ ‘ผลัดใบ’ กันเกือบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นแชมป์เก่าอย่างเยอรมนี ถึงจะใช้โค้ชคนเดิมอย่าง โยอาคิม เลิฟ แต่ก็มีการเปลี่ยนแปลงในทีมอยู่ไม่น้อย เช่นเดียวกับฝรั่งเศส รองแชมป์ฟุตบอลยูโร 2016 ที่มีนักเตะสายเลือดใหม่ที่น่าจับตามองมาก

     ทั้งสองทีมนี้แทบจะสามารถแบ่งตัวจัดเป็นสองชุดโดยมีศักยภาพที่ใกล้เคียงกันมาก

     อีกทีมที่พยายามสร้างทีมใหม่ คือ สเปน อดีตแชมป์โลกเมื่อปี 2010 ซึ่งก็ถือว่า ฆูเลน โลเปเตกี โค้ชคนปัจจุบันที่เป็นคนรุ่นใหม่เหมือนกันก็ถือว่าทำทีมมาได้ค่อนข้างดี

 

Photo: Philippe Huguen/AFP

 

     ในกลุ่มนี้เมื่อรวมกับบราซิลและอาร์เจนตินา สองมหาอำนาจจากอเมริกาใต้ที่หวังถึงแชมป์ทั้งคู่ โดยทีมแรกก็มี เนย์มาร์ คนที่อยากขึ้นชื่อว่าเป็น O Rei หรือ ‘ราชา’ คนต่อไปของวงการลูกหนังโลก ขณะที่ฝ่ายหลัง ลิโอเนล เมสซี เองก็อยากยกระดับตำนานของตัวเองให้เทียบเท่ากับ ดิเอโก มาราโดนา และนี่คือโอกาสครั้งสุดท้ายในชีวิตของเขาแล้ว

 

Photo: Francisco/AFP

 

     ทีมอย่าง เบลเยียม เองก็ยังน่าจับตามองเสมอ โดยที่ไม่มีใครประมาท โปรตุเกสที่มี คริสเตียโน โรนัลโด ได้เช่นกันครับ อาจจะนำทีมคว้าแชมป์เหมือนปีกลายที่ช็อกโลกทั้งใบก็ได้

     ขณะที่ทีมที่เคยเป็นไม้ประดับจากเอเชียและแอฟริกานั้น ในปีหน้าบอกได้เลยครับว่าไม่มีทีมใดที่จะเป็น ‘หมูนุ่ม’ ให้เคี้ยวนิ่มอีกแล้ว

     เหตุผลเพราะปัจจุบันมาตรฐานของทีมในเอเชียและแอฟริกานั้นสูงขึ้นมาก สามารถสู้กับชาติจากยุโรปและอเมริกาใต้ได้ดีขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเหตุผลขององค์ความรู้ วิทยาศาสตร์การกีฬาและเทคโนโลยีสมัยใหม่

     ส่วน รัสเซีย เจ้าภาพ ถึงทรงจะไม่ค่อยดีนัก แต่เมื่อถึงเวลาแล้วไม่มีใครรู้ครับว่าจะมีพลังเหนือธรรมชาติหรืออภินิหารใดๆ ในสนามตามสไตล์ทีมเจ้าภาพหรือไม่

     แต่โดยรวมแล้วมองแล้วผมเชื่อว่าฟุตบอลโลกครั้งนี้ก็ยังน่าจะมีอะไรให้เราตื่นเต้นกันได้พอสมควรนะ

     โดยเฉพาะหลังจับสลากแบ่งสายกันในวันที่ 1 ธันวาคมนี้ น่าจะมีอะไรให้เราหยิบมาพูดคุยกันได้อีกเยอะเลยครับ 🙂

 

FYI
  • ฟุตบอลโลกครั้งนี้เจ้าภาพรัสเซีย จัดขึ้นที่ 11 เมืองทั่วประเทศ โดยทุกเมืองจะมี FIFA Fan Fest ไว้รองรับแฟนบอลจากทั่วโลกที่ไม่สามารถหาตั๋วเข้าชมเกมได้
  • สนามที่จะใช้เปิดและปิดการแข่งขันคือสนาม Luzhniki Stadium ในกรุงมอสโก มีความจุ 81,000 คน
  • ลูกฟุตบอลที่จะใช้ในการแข่งขันครั้งนี้ คือ Adidas Telstar 18 ซึ่งเป็นลูกฟุตบอลที่นำชื่อรุ่นดั้งเดิมของ Telstar ที่ใช้เมื่อปี 1970 มาใช้อีกครั้ง และปรับให้ทันสมัยขึ้น
  • ส่วนมาสคอตประจำการแข่งขันคือ Zabivaka พ่อสุนัขจิ้งจอกไซบีเรียหนุ่มน้อย โดยชื่อของเขามาจากภาษารัสเซียที่แปลว่า ‘ผู้ที่ทำประตูได้’
  • เราอาจจะได้เห็นการนำเทคโนโลยี VAR ช่วยการตัดสินในฟุตบอลโลกครั้งนี้ด้วย โดยเรื่องอยู่ในระหว่างการพิจารณา และทาง จานนี อินฟานติโน ประธาน FIFA สนับสนุนเต็มตัว
  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising