เยอรมนีเตรียมฉีด ‘วัคซีนเข็ม 3’ ให้ผู้สูงอายุ-คนภูมิต่ำ-ผู้ที่ฉีด AstraZeneca หรือ J&J หลังเดลตาระบาดหนัก เริ่มกันยายนนี้

วานนี้ (2 สิงหาคม) เยอรมนีเป็นอีกหนึ่งในประเทศที่กำลังเตรียมจะฉีดวัคซีนโควิดเข็มที่ 3 หรือวัคซีนเข็มกระตุ้น (Booster Shot) ให้กับกลุ่มเสี่ยงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มผู้สูงอายุ ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ รวมถึงผู้ที่เข้ารับวัคซีน AstraZeneca ครบ 2 โดสแล้วและผู้ที่เข้ารับวัคซีนที่ฉีดเพียงโดสเดียวอย่าง Johnson & Johnson หลังโควิดกลายพันธ์ุ สายพันธ์ุเดลตาระบาดหนัก คาดจะเริ่มฉีดวัคซีนเข็ม 3 ในเดือนกันยายนที่จะถึงนี้ โดยจะใช้วัคซีน mRNA จาก Pfizer-BioNTech หรือ Moderna เป็นวัคซีนเข็ม 3

ท่าทีดังกล่าวของเยอรมนีได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก และอาจส่งผลต่อสต๊อกวัคซีนที่เยอรมนีตั้งใจจะส่งมอบช่วยเหลือประเทศอื่นๆ ในแถบแอฟริกาและลาตินอเมริกา เพื่อรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด โดยผู้เชี่ยวชาญจำนวนไม่น้อยต่างทัดทานจุดยืนของเยอรมนี และเสนอแนะให้เยอรมนีตัดสินใจบริจาควัคซีนช่วยเหลือประเทศที่ยังไม่สามารถเข้าถึงวัคซีนได้ เพื่อให้พวกเขาสามารถฉีดวัคซีนโดสแรกให้กับประชาชนได้โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

แต่อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีมติสนับสนุนที่แน่ชัดจากทีมนักวิจัย-นักวิทยาศาสตร์ ถึงความจำเป็นในการใช้วัคซีนเข็มที่ 3 ในเยอรมนี ท่าทีดังกล่าวส่วนหนึ่งเกิดขึ้นจากการแพร่ระบาดระลอกใหม่ที่ปลุกกระแสความกลัว หลายประเทศกลับมาดำเนินมาตรการล็อกดาวน์รอบใหม่ อีกทั้งเชื้อกลายพันธ์ุที่แพร่กระจายได้ง่ายกว่าสายพันธ์ุดั้งเดิมอย่างเดลตาที่แพร่ระบาดอย่างหนักในช่วงเดือนมิถุนายนและเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ส่งผลให้หลายประเทศพิจารณาแนวทางในการฉีดวัคซีนเข็ม 3 ให้กับประชาชนของตน

โดยก่อนหน้านี้ อิสราเอล ประเทศที่มีสัดส่วนประชากรเข้ารับวัคซีนครบโดสแล้วมากเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ก็ตัดสินใจฉีดวัคซีนเข็ม 3 ให้กับประชาชนที่อายุ 60 ปีขึ้นไปแล้ว หรือแม้แต่รัสเซียและฮังการีก็ประกาศให้ผู้ที่เข้ารับวัคซีนครบ 2 โดสไปแล้ว 4-6 เดือน เข้ารับวัคซีนเข็ม 3 ได้ จากปัจจัยและสถานการณ์การเบื้องต้น จะส่งผลให้ปริมาณความต้องการวัคซีนในประชาคมโลก โดยเฉพาะวัคซีนประสิทธิภาพสูงอย่างวัคซีน mRNA ยังคงสูงมาก อีกทั้งหากมีการรวมกลุ่มเด็กและวัยรุ่นที่เพิ่งจะเป็นช่วงวัยที่ได้รับอนุญาตให้เข้ารับวัคซีน เพื่อให้ครอบคลุมทุกช่วงอายุเพิ่มมากขึ้น อาจทำให้หลายประเทศจะต้องพิจารณาแนวทางในการจัดซื้อจัดหาวัคซีนให้เพียงพอกับความต้องการของประชาชนในประเทศ ในช่วงอย่างน้อยอีก 1-2 ปีข้างหน้าด้วย

บทความที่เกี่ยวข้อง: