ปี 2023 ที่ผ่านมา การที่จะไม่กล่าวถึง Generative AI ก็ดูเหมือนจะเป็นการทำเป็นทองไม่รู้ร้อนไปสักนิด การกระโจนออกมาแบบที่คนในสังคมส่วนใหญ่ประหลาดใจในความสามารถของ ChatGPT จากทีม OpenAI ในเดือนธันวาคม 2022 นั้นได้สร้างความตื่นตะลึงถึงโอกาสและความเสี่ยงของมนุษยชาติอย่างที่อดจินตนาการตามไม่ได้ ภายในเวลาแค่ 2 เดือนหลังจากเปิดตัว มีมนุษย์ไปลองใช้งาน ChatGPT ถึง 100 ล้านคน! เมื่อเทียบกับ Netflix ที่ใช้เวลา 10 ปี, Facebook 4 ปีครึ่ง, Instagram 2 ปีครึ่ง และแชมป์เก่า TikTok 9 เดือน
หลังจากนั้นเทรนด์การใช้ GenAI ก็ระเบิดในหมู่มวลมนุษยชาติ กลายเป็น ‘ของมันต้องมี’ สำหรับทุกคน
ความท้าทายที่ตามมาติดๆ ก็คือความไม่เท่าเทียมทางด้านดิจิทัล (Digital Divide) ก็จะยิ่งเปิดกว้างมากขึ้น ด้วยการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยี GenAI, 5G, IoT, Blockchain และ Edge Cloud Computing ส่วนจะกว้างขึ้นหรือลดลงก็ขึ้นอยู่กับความร่วมมือของภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ว่ามีความจริงจังในเรื่อง Corporate Sustainability กันมากแค่ไหน
อย่างที่ AIS NEXT ได้เคยชี้ให้เห็นว่าท้ายที่สุดแล้ว Deep Tech จะกลายเป็นสิ่งที่ผู้คนเข้าถึงได้โดยง่าย และกลายเป็น Standard Tech ที่มีทั้งความท้าทายและโอกาส ดังนั้นขอนำทุกท่านมอง Tech Trend ที่ต้องจับตามองในปี 2024 เพื่อหาคำตอบในการใช้ชีวิตของเราไปด้วยกันครับ
Flatten Metaverse
คาดการณ์กันว่าภายในสิ้นปี 2024 จะมีจำนวนอุปกรณ์ IoT ราวสองแสนล้านชิ้น นอกเหนือไปจากโทรศัพท์พกพาและคอมพิวเตอร์ แต่การเติบโตเหล่านี้มันซ่อนอยู่ในอุปกรณ์เครื่องมือต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นของเล่น เครื่องใช้ในครัวเรือน หรือแม้แต่แปรงสีฟัน ซึ่งอุปกรณ์เหล่านั้นต่างเก็บข้อมูลผู้ใช้งานและถูกสั่งการด้วย AI Model ที่มีแนวโน้มจะไปอยู่ตามขอบ (On-Device & Edge Computing: การประมวลผลข้อมูลให้แสดงผลเร็วใกล้เคียงกับความเร็วของเครือข่ายมากที่สุด) กันมากขึ้น หมายความว่าอุปกรณ์ต่างๆ ที่ลูกค้าใช้จะมี Intelligence ฝังอยู่เลย เพื่อที่ว่าจะได้ไม่ต้องเชื่อมต่อกับ Public Cloud ทุกครั้งไป ซึ่ง AI เหล่านั้นจะสามารถถูกสั่งการหรือปรับแต่งให้ดีขึ้นจาก Cloud Computing ขนาดใหญ่ โดยใช้การเชื่อมต่อที่มีความไวและเสถียรภาพอย่าง 5G
ทว่าความฉลาดเหล่านี้ยังคงอยู่ในขอบเขตของบริษัทต่างๆ ที่ทำหน้าที่เป็น Data Controller ในขณะที่ผู้คนเริ่มตระหนักเรื่องของสุขภาพและความปลอดภัยควบคู่ไปกับเสรีภาพในการจับจ่ายใช้สอย กำแพงที่ ‘เตี้ย’ ลงของบริษัทต่างๆ จะทำให้มีการพัฒนา Protocol ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างสินค้าและบริการผ่าน Blockchain ให้เกิดขึ้นได้ง่ายกว่าเดิม เหมือนดังว่า (ข้อมูล) ผู้ใช้งานได้เดินทางจาก Verse (บริษัท) หนึ่งไปยังอีก Verse หนึ่ง นี่จะยิ่งทำให้ความฉลาดรู้ของ IoT และ Multiverse มีเพิ่มมากยิ่งขึ้นเป็นเงาตามตัว
แน่นอนว่าการตรวจจับและป้องกันภัยทางด้าน Cyber การจดจำผู้ใช้งานด้วยอัตลักษณ์ การเข้ารหัสและตรวจจับความผิดปกติของพฤติกรรมต่างๆ จะตกเป็นหน้าที่ของ AI อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ในส่วนที่เป็นอุปกรณ์ของผู้ใช้งานที่เคยถูกทำให้เข้าใจโดย Meta ว่า Metaverse จะมาในรูปแบบของ VR/AR นั้นก็จะถูกทำให้ ‘แบน’ ลง กล่าวคือมีการใช้ Metaverse ในรูปแบบ 2D หรือ IoT มากขึ้น ซึ่งการเตรียมออกตัวของ Apple Vision Pro นั้นเป็นสิ่งที่ต้องจับตามองว่ามนุษย์จะยอมรับ Interface ใหม่แบบนี้หรือไม่
My Data, My Oil
ผู้คนจำนวนมากจะเริ่มตระหนักถึงความฉลาดของ AI ว่ามาจากข้อมูลจำนวนมหาศาล และข้อมูลเหล่านั้นก็มาจากตัวผู้ใช้งานเทคโนโลยี Connectivity, IoT และ Cloud นั่นเอง ดังนั้นความสะดวกสบายที่ผู้ให้บริการมอบให้ผู้ใช้งานจะถูกแฝงไปด้วยการขอใช้ข้อมูลผู้ใช้งานเพื่อการพัฒนาสินค้าและบริการ ซึ่งเป็นเรื่องปกติ แต่การเอาข้อมูลไปพัฒนา AI Model เพื่อการอื่นด้วย ก็เป็นสิ่งที่ตรวจสอบได้ยาก และดูจะไม่เป็นธรรมกับผู้ใช้งานมากนัก
ดังนั้นการร้องขอความมีส่วนร่วมในการใช้ข้อมูลของผู้ใช้งานจะถูกเรียกร้องมากขึ้น ความพยายามดังกล่าวจะปรากฏในเทคโนโลยีอย่าง Metaverse และ Web 3.0 กล่าวคือข้อมูลของผู้ใช้งานจะเป็นเสมือนน้ำมันดิบที่รอการกลั่น ผู้ให้บริการจะนำไปใช้ได้ก็ต่อเมื่อคุณประโยชน์ที่จะได้รับในการแลกเปลี่ยนนั้นคุ้มค่าแก่ผู้ใช้งาน และสิทธิในการถูกทำให้ลืมข้อมูลนั้นได้จะกลับมาเป็นของผู้ใช้งานอีกครั้ง
Good Questioners Required!
ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีตามกฎของมัวร์ (Moore’s Law) และระบบทุนนิยม (Capitalism) ต่างผลักดันให้โลกนี้รุดหน้าทั้งในทางบวกและลบ การพัฒนา GPT-3 นั้นใช้จำนวนข้อมูลถึง 45 Terabytes (45 ล้านล้านคำ) โดยมี 175,000 ล้านตัวแปรในการสร้างความฉลาดของมัน ส่วนทางด้านจีน Wu Dao 2.0 มีการพัฒนา GenAI โดยมีถึง 1.75 ล้านล้านตัวแปร และล่าสุดสำหรับ GPT-4 น่าจะมีความสามารถที่เหนือกว่า โดยอาจจะมีจำนวนตัวแปรอยู่ระหว่าง 1.76-176 ล้านล้านตัวแปรกันเลยทีเดียว!
ซึ่งบริษัทส่วนใหญ่ไม่มีทางที่จะมีขนาดงบประมาณที่จะลงทุนใน Data Center หรือ Cloud Computing ได้มากขนาดที่จะมาสร้าง AI Model กันใหม่จากศูนย์ (Build From Scratch) ดังนั้นองค์กรต่างๆ คงต้องใช้ GenAI เหล่านี้ในการนำมาพัฒนาต่อยอดเพิ่มเติมเพื่อจะปรับให้เข้ากับบริบทขององค์กรเหล่านั้นเอง
ที่สำคัญพนักงานในองค์กรเหล่านั้นจะต้องเรียนรู้ในการใช้ GenAI ผ่านการตั้งชุดคำถามที่เหมาะสม เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ตั้งใจไว้ และมีโอกาสที่จะสร้างรายได้จากการขายชุดคำถามเหล่านี้หากองค์กรนั้นมีแนวโน้มที่จะนำ AI ที่ปรับแต่งแล้วมาเป็นบริการให้แก่ผู้ใช้งาน
ความสามารถที่น่าเหลือเชื่อของ GenAI การเชื่อมต่อกับระบบ IoT และ Protocol กลางในการเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชันต่างๆ เหล่านี้เองที่ทำให้ความต้องการของการพัฒนาระบบ IT ขององค์กรกำลังจะถูก Disrupt ถึงขนาดมีการกล่าวกันว่าภาษาที่ใช้ในการเขียนโปรแกรม (Programming Language) ที่ดีที่สุดอาจจะเป็นภาษาอังกฤษและภาษาจีน แทนที่จะเป็นภาษาอย่าง JavaScript, Golang, Python และอื่นๆ ด้วยซ้ำไป!
Being Used or Be Using
จริงอยู่ที่ว่า GenAI เป็นผลลัพธ์มาจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของ Chipset, Connectivity, IoT, Cloud, Big Data, AI/ML นั้นจะมีส่วนช่วยให้สังคมน่าอยู่ขึ้น พร้อมกับช่วยให้คนเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว งานที่ใช้เวลาและน่าเบื่อสามารถให้ AI ทำงานแทนได้ ริเริ่มในการออกแบบผลิตภัณฑ์ได้ นับเป็นการลดความเหลื่อมล้ำของความคิดสร้างสรรค์ รวมไปถึงการที่ AI ช่วยวิเคราะห์โรคและคิดตัวยาใหม่ๆ ได้ AI สามารถลดกำแพงในการสื่อสารข้ามเผ่าพันธุ์ได้ด้วยการแปลภาษา พร้อมกับการลดต้นทุนในการผลิตและการขนส่งลง ซึ่งจะเป็นบวกกับการลดปัญหาก๊าซเรือนกระจก
แต่ในทางกลับกัน หากสังคมยังมีปัญหาการเข้าถึงเทคโนโลยีที่ไม่เท่าเทียม หรือแม้แต่เข้าถึงได้แต่รู้ไม่เท่าทันเทคโนโลยี ก็จะสร้างปัญหาทางสังคมที่มากยิ่งขึ้นไปอีก สำหรับผู้คนที่เข้าถึงเทคโนโลยีคงต้องใช้มันอย่างมีสติ เริ่มตั้งแต่การตระหนักรู้ว่าถึงอย่างไร GenAI ก็ถูกสร้างจากคนที่อาจจะมีทัศนคติที่ไม่ตรงกับบริบทของเรา การสร้าง AI โดยปราศจากอคติและเน้นที่ความหลากหลาย (Diversity) นั้นจึงยังคงท้าทาย ยิ่งจำนวนตัวแปรในการสร้าง GenAI เหล่านี้มีมากเท่าไร ความสามารถในการอธิบายพฤติกรรมของมัน (Explainable AI) แทบจะเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นการตระหนักรู้นี้จึงสำคัญ และอย่าลืมว่าหากเครื่องมือ GenAI ไปตกในมือผู้ไม่หวังดี มันจะถูกใช้เป็นเครื่องมือแห่งการหลอกลวงผู้คนให้หลงผิดได้อีกมาก
ดังนั้นมนุษย์ต้องมีการพัฒนาตัวเอง เพราะหากใช้แต่ GenAI ในการหาคำตอบโดยปราศจากการวิเคราะห์ต่อยอดแล้ว มันจะทำให้เราขาดการฝึกฝนพัฒนาทักษะเรื่อง Critical Thinking และ Problem Solving ผู้ใช้งานจึงต้องใช้งาน GenAI แบบไม่ขี้เกียจ อย่ารีบที่จะเชื่อผลลัพธ์อันรวดเร็วของมัน เพราะเป็นที่คาดการณ์ว่า 800 ล้านคนจะถูกทดแทนด้วย AI ดังนั้นเราจึงต้องฝึกการปรับใช้ AI ให้เป็นเครื่องมือที่จะพัฒนาผลงานของเรา ไม่ใช่ให้ AI มาใช้เราเป็นผลงานของมัน
สำหรับคนที่เข้าไม่ถึงหรือไม่อยากปรับตัว ก็จะต้องสร้างงานที่ใช้ทักษะทางกายภาพแบบที่ AI ยังมาทดแทนไม่ได้ให้หลากหลายมากขึ้น เช่น การเล่นกีฬาเป็นอาชีพ, วิชาชีพกายภาพบำบัดจัดกระดูก, งานพยาบาล, งานศิลปะจากงานก่อสร้าง, งานออกแบบท่าเต้น, งานช่างไม้, งานไฟฟ้า, งานปูน, งานประปา และอื่นๆ ที่จะเป็นความมั่นคงในการทำงาน (Job Security) ใหม่ในยุคนี้ เพราะคงอีกนานกว่าที่ GenAI จะสามารถเอาชนะความท้าทายด้านกายภาพดังกล่าวข้างต้นได้ อย่างไรก็ตาม ควรฝึกใช้ AI เป็นเครื่องมือยกระดับทักษะทางกายภาพไปด้วยพร้อมๆ กันก็จะดีที่สุด
Awaken Frogs, Hopefully!
การประกาศภาวะโลกเดือดของ UN เมื่อเดือนกรกฎาคมปีที่ผ่านมาว่าโลกร้อนที่สุดในรอบ 120,000 ปีนั้นได้สร้างแรงกระเพื่อมไปทั่วโลก ความปรารถนาในการแก้ไขปัญหานี้ในระดับปัจเจกบุคคลจะเริ่มผุดโผล่ขึ้นมาในองค์กรต่างๆ มากขึ้น กลยุทธ์ทางด้านความยั่งยืนและการนำกลับมาใช้ใหม่จะเริ่มถูกแฝงเข้าไปส่วนหลักของการผลิตและการบริการ เทคโนโลยี IoT และ Blockchain จะถูกนำไปใช้เพื่อตรวจวัดความมีประสิทธิภาพของอุปกรณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นตัวอาคาร, การจัดเก็บสินค้า, การกระจายสินค้า, การขนส่งสินค้าในห่วงโซ่อุปทาน ไปจนถึงการติดตาม
การนำกลับมาใช้ซ้ำ (Reuse) กลับมาตกแต่งใหม่ (Refurbish) การกลับมาผลิตใหม่ (Remanufacturer) และการนำไปทำเป็นวัตถุดิบ (Recycling) ในรูปแบบใหม่ 1 ใน 3 ของผู้บริโภคจะมีการตื่นตัวในเรื่องนี้ และมีการตัดสินใจเลือกใช้สินค้าและบริการที่มีการใช้แนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) มากขึ้น เทคโนโลยีทาง Digital Token ที่สามารถถูกใช้งานในโลกหลายๆ Verse ได้นั้นจะมีส่วนเสริมในการสร้างความมีส่วนร่วมแก่ผู้ใช้งาน
นี่คือ Tech Trend 2024 ผ่านเลนส์ของทีม AIS NEXT สิ่งสำคัญที่สุดคือ Being Used หรือ Be Using เพราะไม่เช่นนั้นมวลมนุษยชาติอาจจะกลายเป็นประชากรชั้นล่างที่โดน AI และ Deep Tech ทั้งหลายครอบงำในฐานะชนชั้นปกครองก็ได้ ทั้งหมดอยู่ที่ตัวเราครับ