สำหรับ Gen Z ที่เพิ่งเริ่มต้นชีวิตวัยทำงานและกำลังมองหาโอกาสในการสร้างอนาคต การมีบ้าน มีรถ หรือการลงทุนเพื่ออนาคตอาจเป็นความฝันที่อยากทำให้เป็นจริง และแน่นอนว่าหนึ่งในเครื่องมือที่จะช่วยให้ฝันเหล่านั้นเป็นจริงได้เร็วขึ้นก็คือ “สินเชื่อ” นั่นเอง
แต่การกู้เงินก็เหมือนกับการเดินทางครั้งใหญ่ ที่ต้องมีการเตรียมตัวและทำความเข้าใจเส้นทางให้ดีก่อนออกเดินทาง วันนี้เลยชวนชาว Gen Z ปูพื้นฐาน 5 ข้อต้องรู้สำหรับมือใหม่หัดกู้ ก่อนจะเป็นหนี้ต้องเตรียมตัวยังไงบ้าง
1. ทำความเข้าใจ “สถานะการเงิน” ของตัวเองก่อน
ก่อนตัดสินใจกู้เงิน ต้องวางแผนการเงินให้รอบคอบก่อนเสมอ ควรยึดหลักการ “กู้เท่าที่จำเป็น และมีความสามารถในการชำระ” ไม่ควรกู้เกินตัวจนทำให้เป็นภาระในอนาคต
- คำนวณรายได้และค่าใช้จ่าย: ลองคำนวณดูว่าแต่ละเดือนเรามีรายได้เท่าไหร่ มีค่าใช้จ่ายประจำอะไรบ้าง และมีเงินเหลือพอที่จะผ่อนชำระหนี้ได้เท่าไหร่ โดยปกติแล้วไม่ควรมีภาระหนี้สินเกิน 30-40% ของรายได้ต่อเดือน
- Need vs. Want: หนี้ที่เรากำลังจะก่อ เป็นสิ่งที่เราจำเป็นต้องมีจริง ๆ หรือไม่ หรือถ้าเป็นเพียงความต้องการที่รอได้ การรอให้เราเก็บเงินได้ครบจำนวนแล้วค่อยซื้อก็ยังไม่สาย
2. ความสำคัญของ “เครดิตบูโร”
เครดิตบูโร หรือชื่อเต็ม ๆ คือ “ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ” เปรียบเสมือนสมุดพกพาทางการเงินของเราทุกคน ที่จะบันทึกประวัติการชำระหนี้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการผ่อนชำระตรงเวลา จ่ายช้า หรือมีหนี้เสีย ซึ่งสถาบันการเงินจะใช้ข้อมูลนี้เป็นส่วนสำคัญในการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ
สิ่งที่ควรรู้
- ประวัติการชำระหนี้: ถ้าเรามีประวัติการชำระหนี้ที่ดี จ่ายตรงเวลา ไม่เคยผิดนัด จะทำให้สถาบันการเงินเชื่อมั่นและมีโอกาสสูงที่จะได้รับอนุมัติ
- ตรวจสอบเครดิตบูโร: เราสามารถเข้าไปตรวจสอบประวัติเครดิตของตัวเองได้ที่บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) หรือช่องทางต่าง ๆ ที่ธนาคารและสถาบันการเงินมีบริการ เพื่อให้รู้สถานะของตัวเองก่อนยื่นกู้จริง
3. สินเชื่อมีกี่แบบ
โดยทั่วไปแล้ว สินเชื่อสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลัก ๆ ตามลักษณะการค้ำประกัน
1. สินเชื่อแบบมีหลักประกัน (Secured Loan)
ต้องใช้สินทรัพย์ค้ำประกัน เช่น บ้านหรือรถยนต์ เพื่อให้ได้วงเงินสูง ดอกเบี้ยต่ำ และผ่อนได้นานกว่า แต่หากไม่ชำระหนี้ สถาบันการเงินสามารถยึดหลักประกันได้
2. สินเชื่อแบบไม่มีหลักประกัน (Unsecured Loan)
ไม่ต้องใช้สินทรัพย์ค้ำประกัน อาศัยความน่าเชื่อถือของผู้กู้เป็นหลัก ทำให้ขออนุมัติได้ง่ายและรวดเร็ว แต่จะได้วงเงินน้อยกว่าและดอกเบี้ยสูงกว่า เหมาะสำหรับค่าใช้จ่ายทั่วไป เช่น บัตรเครดิต หรือสินเชื่อส่วนบุคคล
หนี้ดี (Good Debt) vs หนี้ไม่ดี (Bad Debt)
หนี้ดี คือ การกู้ยืมเพื่อสร้างรายได้หรือเพิ่มมูลค่าให้กับทรัพย์สินในอนาคต เช่น การขอสินเชื่อเพื่อลงทุนในธุรกิจ การซื้อบ้านหรือคอนโดเพื่อปล่อยเช่า หรือการกู้ยืมเพื่อการศึกษาที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการหารายได้ ซึ่งหนี้ประเภทนี้จะช่วยให้ฐานะทางการเงินของเราดีขึ้นในระยะยาว ในทางตรงกันข้าม
หนี้ไม่ดี คือ การกู้ยืมเพื่อการบริโภคที่ไม่ได้สร้างรายได้หรือมูลค่าเพิ่ม เช่น การใช้บัตรเครดิตเพื่อซื้อของฟุ่มเฟือยที่ไม่จำเป็น หรือการกู้เงินเพื่อท่องเที่ยว ซึ่งหนี้ประเภทนี้จะนำไปสู่ภาระหนี้สินที่เพิ่มขึ้นโดยไม่มีผลตอบแทนกลับมา
4. ศึกษาเงื่อนไขและ “อัตราดอกเบี้ย” ให้ละเอียด
อัตราดอกเบี้ยคือค่าใช้จ่ายที่เราต้องจ่ายเพิ่มเติมนอกเหนือจากเงินต้น เป็นส่วนสำคัญที่ต้องทำความเข้าใจให้ดี
- อัตราดอกเบี้ยคงที่ (Fixed Rate): อัตราดอกเบี้ยจะเท่ากันตลอดระยะเวลาที่กำหนด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในตลาด
- อัตราดอกเบี้ยลอยตัว (Floating Rate): อัตราดอกเบี้ยจะเปลี่ยนแปลงไปตามประกาศของธนาคาร ซึ่งอาจขึ้นหรือลงก็ได้
ในช่วงการพิจารณาสินเชื่อ ควรลองเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขของแต่ละธนาคารหรือสถาบันการเงิน เพื่อเลือกข้อเสนอที่คุ้มค่าและเหมาะสมที่สุด
MRR, MLR, MOR ต่างกันอย่างไร
MRR, MLR, และ MOR คืออัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขั้นต่ำที่ธนาคารใช้เป็นอัตราอ้างอิงสำหรับสินเชื่อที่ใช้อัตราดอกเบี้ยลอยตัว โดยมีความแตกต่างกันที่กลุ่มลูกค้าและลักษณะของสินเชื่อ
- MRR (Minimum Retail Rate) สำหรับ ลูกค้ารายย่อย เช่น สินเชื่อบ้าน
- MLR (Minimum Loan Rate) สำหรับ ลูกค้ารายใหญ่ (บริษัท) และสินเชื่อที่มีกำหนดระยะเวลา
- MOR (Minimum Overdraft Rate) สำหรับ ลูกค้ารายใหญ่ (บริษัท) และสินเชื่อเบิกเงินเกินบัญชี
สำหรับเด็กรุ่นใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นทำงานและกำลังจะเริ่มกู้ยืมเงิน อัตราดอกเบี้ยที่ต้องดูหลัก ๆ คือ MRR (Minimum Retail Rate) ซึ่งจะมีดอกเบี้ยที่สูงกว่า MLR และ MOR เพราะถือเป็นลูกค้ารายย่อยที่มีความเสี่ยงจะเป็นหนี้เสียสูงกว่า
อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงคือ MRR + (ส่วนเพิ่ม) หรือ MRR – (ส่วนลด)
เวลาที่เราเห็นโฆษณาสินเชื่อจากธนาคาร จะไม่ได้เขียนแค่ว่า “อัตราดอกเบี้ย MRR” เฉย ๆ แต่จะระบุเป็นสูตรแบบนี้
- MRR + 5% (MRR บวกเพิ่ม 5% ต่อปี)
- MRR – 2% (MRR ลบส่วนลด 2% ต่อปี)
- MRR คงที่ 3 ปีแรก หลังจากนั้นคิดตามอัตราปกติ (เป็นโปรโมชันที่นิยม)
ตัวอย่าง ถ้าวันนี้ MRR ของธนาคาร A เท่ากับ 7% ต่อปี และเรากู้สินเชื่อบ้านแบบได้รับโปรโมชั่นดอกเบี้ย 3 ปีแรก คือ “MRR – 2%” นั่นหมายความว่าอัตราดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายจริงในช่วง 3 ปีแรกคือ 7% – 2% = 5% ต่อปี
อัตราดอกเบี้ย MRR มีการเปลี่ยนแปลงได้เสมอ ธนาคารอาจปรับขึ้นหรือลงได้ตามนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยและภาวะเศรษฐกิจ ดังนั้นถ้าดอกเบี้ยขึ้น ก้อนหนี้ของเราก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย
เงื่อนไขสินเชื่อที่ต้องศึกษาก่อน
- ค่าใช้จ่าย: ดูค่าธรรมเนียมแฝงต่างๆ เช่น ค่าจัดการ ค่าปรับหากปิดหนี้ก่อนกำหนด ค่าอากรแสตมป์ หรือค่าประเมินหลักทรัพย์
- ระยะเวลาผ่อนชำระ: หากผ่อนนาน ยอดต่อเดือนจะน้อยแต่ดอกเบี้ยรวมจะสูงขึ้น หากผ่อนสั้น ยอดต่อเดือนจะสูงแต่จ่ายดอกเบี้ยรวมน้อยลง
- ข้อตกลงในสัญญา: อ่านเงื่อนไขการผิดนัดชำระหนี้, การปรับอัตราดอกเบี้ย, และเงื่อนไขการอนุมัติให้ดีก่อนตัดสินใจ
5. สร้างประวัติทางการเงินที่ดี
สำหรับ Gen Z ที่ยังไม่มีประวัติการกู้เงินมาก่อน เมื่อเริ่มกู้ยืมแล้ว การสร้างประวัติทางการเงินที่ดีตั้งแต่เนิ่น ๆ จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในอนาคต (โดยเฉพาะเมื่อจะขอสินเชื่อครั้งต่อไป)
- ผ่อนชำระตรงเวลา: หากมีบัตรเครดิตหรือสินเชื่ออื่น ๆ อยู่แล้ว ควรชำระเงินตรงเวลาเสมอ
- หลีกเลี่ยงการก่อหนี้เกินตัว: ไม่ใช้จ่ายเกินตัวจนต้องกู้ยืมเงินมาโปะ เพราะจะทำให้มีประวัติหนี้ที่ไม่ดี
- จัดการหนี้อย่างมีวินัย: หากมีหนี้หลายก้อน ควรจัดลำดับความสำคัญในการชำระ และมีวินัยในการจัดการหนี้เพื่อไม่ให้เป็นภาระในระยะยาว
การกู้เงินไม่ใช่เรื่องน่ากลัว หากเรามีการเตรียมตัวและมีความเข้าใจที่ถูกต้อง การทำความเข้าใจ 5 ข้อข้างต้นนี้จะช่วยให้ Gen Z มือใหม่สามารถกู้เงินได้อย่างมั่นใจและประสบความสำเร็จในการสร้างอนาคตที่ต้องการ
ภาพ: Tara Moore
อ้างอิง: