×

‘กาบิโกล’ ผู้ฝันสลายจากลูกหนังยุโรป สู่การเป็นราชาลูกหนังแดนลาตินอเมริกา

31.10.2022
  • LOADING...
กาบิโกล

HIGHLIGHTS

4 mins. read
  • กาบิโกล หรือ กาเบรียล บาร์โบซา พาฟลาเมงโกเข้าชิงโกปาลิเบอร์ตาดอเรส เป็นครั้งที่ 3 โดยทุกคนจับตามองว่าก่อนเกมเขาจะสัมผัสกับถ้วยแชมป์หรือไม่
  • บาร์โบซาเซ็นสัญญาอาชีพฉบับแรกในชีวิตเมื่อปี 2012 ตอนอายุแค่ 16 ปี โดยระบุค่าฉีกสัญญาเอาไว้ที่ 50 ล้านยูโร ก่อนที่จะก้าวขึ้นมาเป็นกำลังสำคัญของทีมในเวลาต่อมา และเดินตามรอยเท้าของรุ่นพี่มากมายที่ไปค้นหาความฝันและชีวิตที่ดีกว่าบนแผ่นดินยุโรป
  • โอกาสที่กาบิโกลจะได้ติดทีม ‘เซเลเซา’ ไปฟุตบอลโลกที่กาตาร์ ที่จะเริ่มในอีก 3 สัปดาห์ข้างหน้าเหลือน้อยเต็มที เขาอยู่ในลำดับที่รองจาก เชซุส, ริชาร์ลิสัน, วินิซิอุส จูเนียร์ รวมถึง แอนโทนี แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำตลอดมา อย่างน้อยเขารู้ตัวเองว่าจะไม่มีวันเสียใจ

นี่เป็นครั้งที่ 3 สำหรับ ‘กาบิโกล’ ที่จะได้เดินผ่านโทรฟี ‘ลา โกปา’ หรือถ้วยโกปาลิเบอร์ตาดอเรส ถ้วยรางวัลอันยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับชาวลูกหนังในดินแดนลาตินอเมริกา ซึ่งมีศักดิ์และสิทธิ์เทียบเท่ากับ ‘หูใหญ่’ ถ้วยยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก หรือยูโรเปียนคัพของวงการลูกหนังยุโรป

 

สิ่งที่ถูกจับตามองจากแฟนฟุตบอลและทุกคนในวงการคือ เขาจะทำอย่างไรเมื่อเดินผ่านถ้วยใบใหญ่ยักษ์ที่ได้รับการออกแบบโดย อัลแบร์โต เด กัสเปรี ช่างทองชาวอิตาเลียนผู้อพยพมาอาศัยอยู่ที่เปรู

 

ครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อปี 2019 หรือเมื่อ 3 ปีที่แล้วที่สนามเอสตาดิโอ โมนูเมนทัล ในเมืองลิมา ประเทศเปรู

 

วันนั้นกาบิโกล หรือชื่อเต็มที่แทบไม่มีใครเรียกแล้วว่า กาเบรียล บาร์โบซา (แม้แต่เจ้าตัวเองก็พิมพ์ชื่อหลังเสื้อว่า GABI) ทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด เมื่อเขาไปสัมผัสกับถ้วยใบนี้ตั้งแต่ก่อนที่เกมการแข่งขันจะเริ่มขึ้น

 

เรื่องการถือโชคถือลางนี้ไม่ได้มีเฉพาะแค่ในชนชาติทางตะวันออก ในหมู่ชนชาติทางตะวันตกเองก็มีเหมือนกัน ซึ่งหนึ่งในเรื่องที่มีการ ‘ถือ’ กันอย่างมากโดยเฉพาะสำหรับนักฟุตบอลคือ การห้ามไปสัมผัสกับโทรฟี ซึ่งเป็นรางวัลแห่งชัยชนะก่อนที่จะได้รับชัยชนะจริงๆ อย่างเด็ดขาด

 

การที่กาบิโกลในวัย 23 ปีไปสัมผัสกับมันเข้า จึงทำให้แฟนๆ ของเขาอย่างฟลาเมงโกไม่สบายใจเอาเสียเลย เพราะพวกเขาเฝ้ารอคอยวันที่จะได้เห็นถ้วยใบนี้อีกครั้งมาแสนนาน หลังจากที่ทีมเคยคว้ามาครองได้แค่ครั้งเดียวในปี 1981 ในยุคที่พวกเขามี ซิโก สุดยอดนักฟุตบอลผู้ได้รับสมญา ‘เปเลขาว’ เป็นผู้บัญชาเกมในสนาม

 

แล้วมันก็ชวนให้คิดว่าการไปสัมผัสถ้วยก่อนเกมของหัวหอกจอมซ่าคนนี้เป็นลางหายนะจริงๆ เพราะพวกเขาต้องตกเป็นรองริเวอร์เพลท 1 ใน 2 ทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอาร์เจนตินาจนถึงนาทีสุดท้าย

 

แต่แล้วกาบิโกลก็สามารถทำคนเดียว 2 ประตูในช่วงนาทีบาปในแบบเดียวกับที่ โอเล กุนนาร์ โซลชาร์ และ เท็ดดี เชอริงแฮม ช่วยให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดพลิกชะตากลับมาเอาชนะบาเยิร์น มิวนิก ได้ในนัดชิงอันโด่งดังที่มิวนิกในปี 1999

 

กาบิโกล และฟลาเมงโกทุกผู้ทุกนามได้ชูถ้วยลา โกปา ฉลองอย่างยิ่งใหญ่สมการรอคอยกว่า 38 ปี

 

ก่อนที่เขาจะมีโอกาสพาทีมกลับมาเข้าชิงอีกครั้งที่สนามเอสตาดิโอ เซนเตนาริโอ ในกรุงมอนเตวิเดโอ ประเทศอุรุกวัย และเขายังทำเหมือนเดิมด้วยการสัมผัสกับถ้วยแชมป์ก่อนหน้าที่จะลงสนามดวลกับ พัลไมรัส คู่ปรับร่วมชาติจากบราซิลเหมือนกัน

 

ฟลาเมงโกตกเป็นฝ่ายตามหลังคู่แข่งอีกแล้ว แต่กาบิโกลก็เป็นฮีโร่ของทีมเหมือนเดิม ที่ช่วยทำประตูตีเสมอให้ทีมได้สำเร็จ และต้องเล่นในช่วงต่อเวลาพิเศษออกไปอีก 30 นาที

 

ถึงตอนนั้นใครก็คิดว่าเขาคงจะเป็นฮีโร่อีกแน่ๆ แต่คราวนี้กลับเป็น เดย์แวร์สัน ดาวยิงพัลไมรัสที่ทำประตูชัยในช่วงของการต่อเวลาพิเศษให้พวกเขาเอาชนะฟลาเมงโกและกาบิโกลได้ ก่อนเอาถ้วยลา โกปา เดินทางกลับเซาเปาโลไม่ใช่รีโอเดจาเนโร

 

หลังความพ่ายแพ้ในวันนั้นกาบิโกลประกาศว่า “เราจะกลับมาในปีหน้า”

 

นั่นเป็นที่มาของการเข้าชิงชนะเลิศครั้งที่ 3 ในรอบ 4 ปีของฟลาเมงโก ที่หากอ่านแค่จากบรรทัดข้างบนลงมาถึงบรรทัดนี้แล้วอาจรู้สึกว่าง่ายดาย แต่เรื่องราวระหว่างบรรทัดที่เกิดขึ้นคือ ทีมของกาบิโกลเผชิญปัญหาความตกต่ำอย่างไม่คาดคิด

 

คริสต์มาสที่แล้วฟลาเมงโกไม่ได้มอบหัวใจให้กับใคร (Last Christmas I gave you my heart…) พวกเขาแค่ทำตามกระแสของวงการฟุตบอลบราซิลในยุคนี้ด้วยการว่าจ้างโค้ชชาวโปรตุเกสที่มีชื่อเสียงมาเพื่อหวังสานต่อให้ทีมรักษาความสำเร็จเอาไว้เหมือนที่ ฮอร์เก เชซุส เคยทำได้เมื่อเกือบ 40 ปีที่แล้วในวันที่ยังมีซิโกอยู่

 

แต่ปรากฏว่าซูซา ซึ่งเคยเป็นอดีตมิดฟิลด์เชิงสูงระดับแถวหน้าของยุโรป และเป็นตัวหลักของทีมชาติโปรตุเกสไม่สามารถทำผลงานในการคุมทีมได้เหมือนผลงานในวันที่เขายังเป็นนักฟุตบอล ทำให้ฟลาเมงโกตัดสินใจปลดเขาตั้งแต่เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ในวันที่ทีมอยู่อันดับที่ 14 ในลีก และกลับมาหา โดริวาล จูเนียร์ อดีตโค้ชของทีมที่ได้กลับมาคุมทีมเป็นครั้งที่ 3

 

นับจากนั้นมาฟลาเมงโกจึงเริ่มกลับมาเป็นทีมที่แกร่งเหมือนเดิมอีกครั้ง โดยมีกาบิโกลเป็นตัวละครหลัก และมีอดีตนักเตะผู้ประสบความสำเร็จในเกมฟุตบอลยุโรปที่กลับมาค้าแข้งในบ้านเกิดอีกครั้งอย่าง ดาวิด ลุยซ์ และ ฟิลิเป หลุยส์ ร่วมทีมด้วย

 

ความจริงเรื่องนี้ก็เหมือนแผลในใจของกาบิโกล

 

ชื่อของกาบิโกลนี้ไม่ได้เพิ่งมาตั้งในภายหลัง หากแต่เป็นชื่อที่สตาฟฟ์ของทีมซานโตส หนึ่งในตักศิลาลูกหนังที่ยิ่งใหญ่ของบราซิลตั้งให้ไอ้หนูดาวยิงจอมถล่มประตูผู้ถูกคาดหมายว่าจะเป็นสตาร์รุ่นต่อไปของสโมสรต่อจากรุ่นพี่อย่าง โรบินโญ เนย์มาร์ และรุ่นปู่อย่างเปเล

 

บาร์โบซาเซ็นสัญญาอาชีพฉบับแรกในชีวิตเมื่อปี 2012 ตอนอายุแค่ 16 ปี โดยระบุค่าฉีกสัญญาเอาไว้ที่ 50 ล้านยูโร ก่อนที่จะก้าวขึ้นมาเป็นกำลังสำคัญของทีมในเวลาต่อมา และเดินตามรอยเท้าของรุ่นพี่มากมายที่ไปค้นหาความฝันและชีวิตที่ดีกว่าบนแผ่นดินยุโรป

 

ท่ามกลางทีมมากมายที่อยากได้ตัวเขาไปร่วมทีม อินเตอร์ มิลานคว้าตัวเขามาได้สำเร็จด้วยค่าตัวในการย้ายทีม 29.5 ล้านยูโร และมีการเปิดตัวที่ยิ่งใหญ่ (วิดีโอการเปิดตัวของเขาถ่ายทำที่ใต้กริชตูเรเดงโตร์ รูปปั้นพระเยซูที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่รีโอเดจาเนโร ก่อนจะมาที่หลังคาสนามจูเซ็ปเป เมอัซซา ในเมืองมิลาน)

 

สำหรับชาวเนรัซซูรีมันชวนให้คิดถึงอดีตนักเตะชาวบราซิลผู้ยิ่งใหญ่อย่าง โรนัลโด นาซาริโอ หรือ ‘Il Fenomemo’ ผู้เป็นปรากฏการณ์


แต่กาบิโกลไม่สามารถทำได้เช่นนั้น เขาล้มเหลวกับชีวิตการเล่นในอิตาลีโดยได้โอกาสลงเล่นในเซเรีย อา แค่ 9 นัด และทำได้แค่ประตูเดียว ก่อนจะโดนส่งตัวไปอยู่กับเบนฟิกา ในโปรตุเกสซึ่งก็ยังล้มเหลวอีก สุดท้ายเขาต้องระเห็จกลับมาบ้านเก่าอย่างซานโตสในสัญญายืมตัว ต่อด้วยถูกฟลาเมงโกคว้าตัวแบบยืมตัวในปี 2019 ซึ่งเป็นการถูกปล่อยยืมตัวครั้งสุดท้าย

 

และครั้งนี้เองที่กาบิโกลค้นพบ ‘บ้าน’ ที่แท้จริงของเขา แฟนบอลฟลาเมงโกเทิดทูนเขายิ่งกว่าใคร ถึงขั้นมีการแต่งเพลง ‘Hoje tem gol do Gabigol’ หรือวันที่กาบิโกลยิงประตูได้ ที่จะร้องขึ้นตลอดทั้งเกมในสนาม เขาอาจเป็นปรากฏการณ์เหมือนโรนัลโดในมิลานไม่ได้ แต่อย่างน้อยเขาก็ได้เป็นแบบนั้นกับฟลาเมงโก ซึ่งตัดสินใจซื้อเขามาร่วมทีมอย่างถาวรในปี 2020 หลังจากที่เขาพาทีมคว้าแชมป์ลา โกปา

 

ในวัย 26 ปี กาบิโกลที่ควรจะค้าแข้งอยู่กับสักสโมสรในยุโรปเหมือนเพื่อนรุ่นเดียวกันอย่าง กาเบรียล เชซุส หรือรุ่นน้องอย่าง วินิซิอุส จูเนียร์ หรือ แอนโทนี ดูจะพอใจกับชีวิตของเขาในเวลานี้แล้ว

 

เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา กาบิโกลสามารถพาทีมเข้ามาถึงนัดชิงโกปาลิเบอร์ตาดอเรส ได้ตามที่ลั่นวาจาไว้              

 

นัดชิงในครั้งนี้พวกเขาต้องพบกับทีมบราซิลด้วยกันอีกครั้งคือ แอตเลติโก ปาราเนนเซ (เป็นการเจอกันเองของคู่ชิงบราซิลครั้งที่ 3 ติดต่อกัน) ที่สนามเอสตาดิโอ โมนูเมนตาล ที่เมืองกวายากวิล ในประเทศเอกวาดอร์ ซึ่งแม้จะชื่อเดียวกับสนามที่ลิมา แต่ก็เป็นคนละสนามกัน (เพราะชื่อสนามเอสตาดิโอ โมนูเมนตาล เป็นชื่อยอดฮิตของวงการลูกหนังละตินยังมีที่บัวโนสไอเรสอีกแห่งซึ่งเป็นสนามเหย้าของทีมริเวอร์เพลทด้วย)

 

ไม่ว่าจะเพราะอะไรก็ตาม คราวนี้กาบิโกลไม่ได้สัมผัสกับถ้วยลา โกปาแล้ว

 

เรื่องของโชคลางบางทีก็พูดกันยาก แต่สุดท้ายแล้วสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการที่เขาแก้ตัวจากนัดชิงคราวที่แล้วได้ด้วยการทำประตูโทนในเกมนี้ให้ฟลาเมงโกคว้าแชมป์ละตินได้เป็นสมัยที่ 2 ในรอบ 3 ปี

 

อาจเป็นเรื่องน่าเสียดายที่ประตูชัยนัดนี้ของเขาไม่ได้อยู่ในสายตาของติเต โค้ชทีมชาติบราซิลผู้เลือกจะเดินทางมาอังกฤษเพื่อทานมื้อกลางวันกับ บรูโน กิมาไรส์ มิดฟิลด์ห้องเครื่องของนิวคาสเซิล (ผู้หัวใจสลายเพราะเป็นแฟนของแอตเลติโก ปาราเนนเซ)

 

โอกาสที่กาบิโกลจะได้ติดทีม ‘เซเลเซา’ ไปฟุตบอลโลกที่กาตาร์ ที่จะเริ่มในอีก 3 สัปดาห์ข้างหน้าเหลือน้อยเต็มที เขาอยู่ในลำดับที่รองจาก เชซุส, ริชาร์ลิสัน, วินิซิอุส จูเนียร์ รวมถึง แอนโทนี แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำตลอดมา อย่างน้อยเขารู้ตัวเองว่าจะไม่มีวันเสียใจ

 

“ฟุตบอลโลกมันคือความฝันอยู่แล้ว” กาบิโกลบอก “ผมพยายามเท่าที่ผมจะทำได้ ผมเชื่อว่าการกระทำสำคัญกว่าคำพูด ผมพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองใหม่ และผมก็มีความสุขกับมัน

 

“ผมคิดถึงอนาคตว่าถ้าวันหนึ่งผมเลิกเล่นฟุตบอล ผมจะมองตัวเองในกระจกและพูดกับตัวเองว่า เอาเว้ย เราได้รับการเติมเต็มแล้ว”

 

และเหนืออื่นใด นอกจากการที่เขารู้จักคุณค่าของตัวเองแล้ว เขาก็อยู่ในที่ที่ทุกคนมองเห็นคุณค่าของเขา

 

จะขออะไรมากกว่านี้อีก? ไม่ต้องแล้ว 🙂

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising