×

FSG ประกาศขายลิเวอร์พูล เอาจริงหรือแค่หยั่งเชิง?

08.11.2022
  • LOADING...

ในระหว่างที่แฟนบอลลิเวอร์พูลกำลังตื่นเต้นกับผลการจับสลากประกบคู่ฟุตบอลยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกรอบ 16 ทีมสุดท้าย ซึ่งได้โอกาสในการล้างตากับเรอัล มาดริด คู่ปรับที่ทำให้เจ็บช้ำจากเกมนัดชิงชนะเลิศถึง 2 ครั้ง จู่ๆ ก็มีข่าวช็อกระดับสะเทือนวงการขึ้นมาว่ากลุ่ม FSG เตรียมเสนอขายสโมสรให้แก่ผู้ที่สนใจลงทุน

 

เรื่องนี้ได้รับการเปิดเผยเป็นที่แรกจาก The Athletic สื่อกีฬาดังระดับโลกที่ได้เปิดเผยว่า FSG หรือ Fenway Sports Group กลุ่มทุนเจ้าของสโมสรลิเวอร์พูลที่นำโดย จอห์น ดับเบิลยู เฮนรี ได้จัดทำ ‘Sales Deck’ หรือพรีเซนเทชันเพื่อแนะนำข้อมูลต่อผู้ที่สนใจซื้อสโมสรฟุตบอลดังไปลงทุนต่อ

 

ในรายงานข่าวยังมีแถลงการณ์จาก FSG โดยแม้จะไม่มีคำว่า ‘ขาย’ อยู่ในนั้นแม้แต่คำเดียว แต่ก็แสดงให้เห็นว่าทางกลุ่มพร้อมพิจารณาข้อเสนอจากผู้ที่สนใจจะร่วมลงทุนด้วย โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานว่าจะต้องดีต่อสโมสรลิเวอร์พูลเท่านั้น

 

“FSG ได้รับทราบถึงความสนใจจากกลุ่มบุคคลที่ 3 ที่ต้องการร่วมเป็นผู้ถือหุ้นในทีมลิเวอร์พูล ซึ่ง FSG เคยบอกมาก่อนหน้านี้ว่า เราจะพิจารณาผู้ถือหุ้นใหม่บนพื้นฐานของเงื่อนไขที่เหมาะสมและเป็นประโยชน์ต่อสโมสรลิเวอร์พูล”

 

ก่อนจะทิ้งท้ายว่า “FSG ยังคงมุ่งมั่นอย่างเต็มที่ในการนำลิเวอร์พูลไปสู่ความสำเร็จทั้งในและนอกสนาม”

 

นั่นทำให้เรื่องนี้กลายเป็นประเด็นใหญ่ขึ้นมาทันที เนื่องจากก่อนหน้านี้ไม่ได้มีสัญญาณที่เด่นชัดว่ากลุ่มทุนจากสหรัฐอเมริกาที่เข้ามาซื้อสโมสรฟุตบอลระดับท็อปของอังกฤษเมื่อปี 2010 จะมีความคิดที่จะขายสโมสรออกไป โดยเฉพาะในช่วงที่ลิเวอร์พูลกำลังเริ่มไปได้ดีทั้งผลงานในสนามในช่วง 7 ปีที่ผ่านมานับตั้งแต่ได้ เจอร์เกน คล็อปป์ มาคุมทีม ก็กลับมาเป็นทีมระดับท็อปของวงการอีกครั้ง 

 

ลิเวอร์พูลในยุคของ FSG กวาดแชมป์แบบ Complete Set ได้ทุกรายการ รวมถึงแชมเปียนส์ลีกและพรีเมียร์ลีกที่รอคอยมากว่า 30 ปี และผลงานนอกสนามที่สามารถสร้างรายได้อย่างมหาศาล จนคาดว่าในการประกาศผลประกอบการปีหน้าลิเวอร์พูลจะแซงหน้าคู่แข่งเบอร์หนึ่งอย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้เป็นครั้งแรก

 

มีคำถามมากมายที่น่าสนใจในเรื่องนี้

 

สิ่งที่ FSG ทำให้ลิเวอร์พูล

จากวันที่ซื้อลิเวอร์พูลมาด้วยราคา 493 ล้านดอลลาร์สหรัฐเมื่อปี 2010 เพื่อช่วยเหลืออดีตมหาอำนาจวงการลูกหนังที่ตกที่นั่งลำบากจากการบริหารที่เลวร้ายของ จอร์จ จิลเล็ตต์ และ ทอม ฮิกส์ สองเจ้าของสโมสรเก่าชาวอเมริกันเช่นกัน จนถึงขั้นเกือบถูกสั่งฟ้องให้ล้มละลาย วันนี้เวลาผ่านมา 12 ปี มูลค่าของสโมสรเพิ่มขึ้นเป็น 4.45 พันล้านดอลลาร์สหรัฐตามการประเมินของ Forbes 

 

ปัจจุบันลิเวอร์พูลเป็นทีมกีฬาที่มีมูลค่าสูงที่สุดเป็นอันดับที่ 22 ของโลก (รวมทุกประเภทกีฬา) และมีมูลค่าสูงยิ่งกว่าบอสตัน เรด ซอกซ์ ทีมเบสบอลระดับตำนานซึ่งเป็นสมบัติชิ้นแรกของ FSG ที่ซื้อทีมและสนามเฟนเวย์พาร์กมาด้วยราคา 700 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2002 โดยมูลค่าของเรด ซอกซ์ ในปัจจุบันอยู่ที่ 3.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

 

ในโลกฟุตบอลมีเพียงแค่เรอัล มาดริด, บาร์เซโลนา และแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่มีมูลค่าสูงกว่าลิเวอร์พูล ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 4

 

FSG ยังได้ลงทุนกับสโมสรในระยะยาวด้วยการปรับปรุงสนามแอนฟิลด์ใหม่ โดยหลังจากที่มีการต่อเติมอัฒจันทร์ฝั่ง Main Stand ด้วยงบประมาณ 114 ล้านปอนด์แล้ว ปัจจุบันกำลังทำการต่อเติมอัฒจันทร์ฝั่ง Anfield Road ซึ่งใช้งบประมาณ 80 ล้านปอนด์ ซึ่งจะทำให้สนามมีความจุเพิ่มขึ้นเป็น 61,000 ที่นั่งเมื่อเปิดใช้งานครบถ้วนในฤดูกาลหน้า นอกจากนี้ยังมีการสร้างศูนย์ฝึกใหม่ที่เคิร์กบีที่ใช้งบประมาณอีก 50 ล้านปอนด์

 

เรียกได้ว่านับตั้งแต่เข้ามาซื้อกิจการสโมสร FSG ได้ยกระดับและเพิ่มมูลค่าของลิเวอร์พูลได้มากมายมหาศาล เป็นหนึ่งในสโมสรฟุตบอลต้นแบบของการบริหารจัดการที่ทันสมัย ใช้ทรัพยากรที่มีอย่างคุ้มค่า และลงทุนอย่างชาญฉลาด โดยมี ไมค์ กอร์ดอน คีย์แมนของ FSG ที่ลงมาบริหารสโมสรด้วยตัวเอง

 

ทำไม FSG ต้องขาย?

คำถามสำคัญคือ ในเมื่อทุกอย่างกำลังไปได้ดี แล้วทำไม FSG ต้องขาย?

 

ความจริงแล้วนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีกระแสข่าวว่า FSG ต้องการจะขายลิเวอร์พูลหรือกระแสข่าวว่ามีคนสนใจที่จะซื้อ เพียงแต่ทุกครั้งที่มีข่าวในทำนองนี้จะจบลงด้วยการปฏิเสธและแสดงจุดยืนว่า ทางกลุ่มทุนยังไม่มีความคิดที่จะขายสโมสรออกไปในเวลานี้

 

แต่สัญญาณที่น่าจับตาเกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้ว เมื่อ FSG ประกาศขายหุ้นจำนวน 11 เปอร์เซ็นต์ของลิเวอร์พูลให้แก่กลุ่มทุน Red Bird ซึ่งมี เลอบรอน เจมส์ (ซึ่งเคยลงทุนซื้อหุ้นของลิเวอร์พูลมาตั้งแต่ปี 2011) ตำนานนักบาสเกตบอลร่วมด้วย แลกกับเงิน 735 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

 

การเปิดประตูให้นักลงทุนในครั้งนั้นถูกมองว่าเป็นการบรรเทาความเสียหายจากวิกฤตโควิดที่ส่งผลร้ายต่อลิเวอร์พูลที่ขาดทุน 120 ล้านปอนด์ ทั้งๆ ที่เป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาล 2019/20 (ที่แสนเศร้า เพราะแฟนบอลไม่มีโอกาสได้ฉลองร่วมกัน) 

 

เรียกได้ว่า FSG มีการชิมลางมาก่อนหน้านี้แล้ว เมื่อรวมกับกระแสการไหลเข้ามาของกลุ่มทุนของพรีเมียร์ลีกในช่วงหลัง ซึ่งรวมถึงการเปลี่ยนแปลงของเชลซีและนิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ที่ได้เจ้าของสโมสรใหม่ เชื่อว่าจะส่งผลทำให้ FSG เริ่มคิดที่จะขายลิเวอร์พูลออกไปในขณะที่มูลค่ายังสูงเป็นที่น่าพอใจอยู่

 

เพราะในขณะที่สโมสรพยายามบริหารจัดการทุกอย่างให้ยั่งยืน แต่ดูเหมือนการแข่งขันในพรีเมียร์ลีกจะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น และเป็นการยากที่จะสามารถแข่งขันกับทีมที่มีทรัพยากรทางการเงินไร้ขีดจำกัดอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ หรือนิวคาสเซิล ยูไนเต็ด 

 

ในรายของนิวคาสเซิลแม้จะเปลี่ยนเจ้าของมาแค่ปีเดียว แต่การลงทุนด้านทรัพยากรบุคคลที่ฉลาด ไม่ว่าจะเป็นผู้อำนวยการสโมสรอย่าง แดน แอชเวิร์ธ ผู้จัดการทีมอย่าง เอ็ดดี ฮาว และการซื้อผู้เล่นใหม่ที่เลือกมาเป็นอย่างดี อาทิ บรูโน กิมาไรส์ ช่วยยกระดับทีมจนขึ้นมาอยู่ท็อป 4 ได้ ขณะที่ลิเวอร์พูลผลงานตกต่ำลง มีปัญหาหลายจุดที่ต้องแก้ไข ทั้งๆ ที่คิดว่ามีการวางแผนมาอย่างดี ซึ่งหมายถึงทางออกคือการลงทุนซื้อผู้เล่นใหม่เข้ามาที่ไม่รู้จะจบตรงไหน

 

ขณะเดียวกันแผนการหารายรับเพิ่มไม่ว่าจะเป็นการเป็นตัวตั้งตัวดีในการก่อตั้ง ‘ซูเปอร์ลีก’ ไปจนถึงเรื่องของ ‘Project Big Picture’ ในพรีเมียร์ลีกถูกขัดขวาง ซึ่งอาจทำให้ FSG ต้องทบทวนสถานการณ์และความเป็นไปได้ในอนาคต

 

อย่าลืมว่า FSG ไม่ได้มีแค่ลิเวอร์พูลทีมเดียว ยังมีบอสตัน เรด ซอกซ์ และ ‘แฟรนไชส์’ กีฬาอื่นด้วย และตอนนี้ดูเหมือนลิเวอร์พูลจะเป็นสโมสรที่บริหารได้ยากที่สุด

 

ใครจะซื้อ?

มีการประเมินว่า ราคาที่ FSG ต้องการสำหรับการขายสโมสรลิเวอร์พูลทั้งหมดอยู่ที่ 7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นราคามหาศาล

 

แต่โอกาสสำหรับนักลงทุนที่จะได้เป็นเจ้าของสโมสรที่ยิ่งใหญ่ มีชื่อเสียงมากที่สุดสโมสรหนึ่งของโลก มีฐานแฟนฟุตบอลทั่วโลก และมีผู้ติดตามบนโซเชียลมีเดียเกินกว่า 100 ล้านคน รวมถึงยอดขายเสื้อทีมฟุตบอลได้มากเป็นอันดับต้นๆ ของโลก เป็นโอกาสที่ไม่ได้มีบ่อยนัก

 

ดังนั้นเชื่อกันว่าจะมีนักลงทุนหรือกลุ่มทุนที่ให้ความสนใจ หรือแม้แต่อาจจะมีการพูดคุยติดต่อกันในเบื้องต้นแล้วผ่านการประสานของ Morgan Stanley และ Goldman Sachs ยักษ์ใหญ่ด้านการลงทุนที่จะเป็นคนช่วยประสานและช่วยเจรจา

 

โมเดลที่เป็นไปได้อาจจะเป็นมหาเศรษฐี อาทิ เซอร์ จิม แรตคลิฟฟ์ ผู้ร่ำรวยที่สุดในอังกฤษที่อาจสนใจจะลงทุน หลังเคยพยายามติดต่อขอซื้อแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จากครอบครัวเกลเซอร์ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ 

 

หรือจะเป็นกลุ่มทุน Consortium จากสหรัฐอเมริกา ที่บุกวงการฟุตบอลอังกฤษหนักในระยะหลัง เพราะมองเห็นศักยภาพในการกำไรมหาศาล (เหมือนกรณีของ FSG ที่ลงทุน 12 ปี มูลค่าเพิ่มขึ้นมากกว่า 10 เท่า) หรืออาจเป็นกลุ่มทุนจากที่อื่นก็เป็นไปได้เช่นกัน

 

โดยโมเดลนั้นเป็นไปได้ทั้งการ ‘ขายหมด’ หรือ ‘ขายบางส่วน’ เหมือนที่ตัดแบ่งขายให้ Red Bird ซึ่งสโมสรก็จะได้ทุนใหม่เข้ามาช่วยแบ่งเบาภาระของ FSG แต่ถ้าขายได้ทั้งหมดก็ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม เพราะยังอยู่ในช่วงขาขึ้นพอดี โดยที่ยังไม่มีใครรู้ว่าใน 2-3 ปีข้างหน้าหากเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยรุนแรงจะส่งผลต่อตลาดอย่างไร

 

การออกแถลงการณ์ที่เหมือนเป็นการแปะป้าย ‘ขาย’ โดยไม่เขียนคำว่า ‘ขาย’ ในนั้นยังเป็นการสงวนท่าทีด้วย เผื่อหากไม่มีข้อเสนอที่น่าสนใจ การจะเก็บลิเวอร์พูลไว้ต่อไปไม่ใช่ปัญหา

 

ที่สำคัญคือ ‘กระแสตอบรับ’ จากแฟนลิเวอร์พูลหลังข่าวออกมานั้นน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะดูเหมือนแฟนฟุตบอลจำนวนไม่น้อยที่ ‘ยินดี’ กับข่าวนี้ เพราะเชื่อว่าสโมสรต้องการเจ้าของที่พร้อมทุ่มทุนไปกับการสร้างทีม เพื่อไล่ล่าความสำเร็จแข่งขันกับคู่แข่ง มากกว่าเจ้าของที่เลือกวิธีการลงทุนอย่างฉลาดและบริหารเพื่อความยั่งยืน

 

บางทีอาจจะถึงเวลาที่เหมาะสมสำหรับทุกฝ่ายที่จะเดินหน้าต่อ เพียงแต่หนทางยังอีกยาวไกลและยังไม่มีความชัดเจนใดๆ ในเวลานี้ 

 

ความชัดเจนเดียวคือถ้อยคำในแถลงการณ์ของ FSG ที่แตกต่างจากในปี 2018 ที่เคยบอกชัดเจนว่า “สโมสรแห่งนี้ไม่ได้มีไว้ขาย”

 

เป็นการเชื้อเชิญโดยอ้อมๆ ว่าใครคิดว่าอยากได้แล้วเงินถึงรบกวนเชิญติดต่อเข้ามา

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising