×

หอการค้าฯ มองตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติปีหน้าอาจสูงถึง 25 ล้านคน หลังจีนส่งสัญญาณเปิดประเทศ แนะภาคบริการเร่งเตรียมพร้อมรองรับ

27.12.2022
  • LOADING...
นักท่องเที่ยวต่างชาติ

หอการค้าฯ เชื่อจีนเปิดประเทศช่วยกระตุ้นท่องเที่ยว-ส่งออกไทย คาดตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติปีหน้าอาจสูงถึง 25 ล้านคน ดัน GDP โต 3-3.5% ขณะที่ห้องค้ามองแรงส่งจากการท่องเที่ยวอาจหนุนเงินบาทแข็งค่าสู่ระดับ 33-33.50 บาทต่อดอลลาร์

 

สนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การประกาศเปิดประเทศของจีนในวันที่ 8 มกราคมปีหน้า ถือเป็นข่าวดีและถือเป็นของขวัญสำหรับภาคการท่องเที่ยวและภาคบริการของไทย เพราะช่วงนี้เป็นช่วงฤดูหนาวของจีน ทำให้เชื่อว่านักท่องเที่ยวจีนอยากเดินทางออกมาท่องเที่ยวโดยเฉพาะประเทศไทย เชื่อว่าเราอาจได้เห็นนักท่องเที่ยวจีนทะลักเข้ามาเที่ยวในประเทศไทยแบบจริงจังในช่วงเดือนมีนาคม โดยจะเป็นลักษณะของการเข้ามาท่องเที่ยวแบบหมู่คณะที่ไม่ใหญ่มาก 

 

สนั่นกล่าวอีกว่า การเข้ามาของนักท่องเที่ยวจีนไม่ใช่เฉพาะภาคการโรงแรมที่ได้รับอานิสงส์ แต่ยังรวมถึงธุรกิจทั้งซัพพลายเชนในภาคบริการต่างได้รับประโยชน์ด้วย เพราะนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ชอบซื้อสินค้าไทย ก็จะเกิดบรรยากาศการจับจ่ายใช้สอย ซึ่งส่วนนี้จะเพิ่มเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว

 

นอกจากนักท่องเที่ยวจีนแล้ว เชื่อว่าการเปิดประเทศของจีนจะส่งผลให้นักศึกษาจีน รวมถึงนักธุรกิจจีน จะเดินทางเข้ามาในไทยเป็นจำนวนมาก ซึ่งในส่วนของการลงทุนจีนเองก็มีความตั้งใจที่จะเข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มขึ้นอยู่แล้ว แน่นอนว่าจะช่วยหนุนให้เศรษฐกิจไทยเติบโตขึ้นเช่นกัน

 

ขณะเดียวกันการปรับนโยบายในครั้งนี้ยังเป็นโอกาสของไทยที่จะได้มีการส่งสินค้าไทย โดยเฉพาผักและผลไม้ไปยังจีนได้สะดวกรวดเร็วและมากขึ้นด้วย หลังจากนั้นต้องจับตาเศรษฐกิจจีนให้ดี เพราะเชื่อว่าเศรษฐกิจจีนจะกลับมาเติบโตได้รวดเร็ว ก็จะส่งผลทางบวกต่อเศรษฐกิจทั่วโลกในที่สุด

 

สำหรับตัวเลขนักท่องเที่ยวที่ได้คาดการณ์ไว้ที่ 20 ล้านคนในปี 2023 ยังไม่นับนักท่องเที่ยวจากจีน ซึ่งหากจีนมีความชัดเจนในการเปิดประเทศ เชื่อว่าเบื้องต้นจะมีนักท่องเที่ยวเฉพาะจีนเพิ่มเติมมาอีก 5 ล้านคน ส่วนนี้จะทำให้การประมาณ GDP ของประเทศระหว่าง 3.0-3.5% เป็นไปได้มากขึ้น

 

ประธานสภาหอการค้าฯ กล่าวอีกว่า ในระยะแรกเมื่อจีนมีความชัดเจนในมาตรการเปิดประเทศแล้ว ไทยเองในฐานะประเทศปลายทางรับนักท่องเที่ยวก็ต้องเตรียมความพร้อมในช่วงนี้ เพื่อรองรับการเข้ามาของนักท่องเที่ยวจีน ทั้งเรื่องมาตรการเข้า-ออก, ปริมาณเที่ยวบินที่มีความเพียงพอหรือไม่, เจ้าหน้าที่บริการในจุดต่างๆ มีความพร้อมมากน้อยแค่ไหน ระบบสาธารณะสุขที่จะต้องมีส่วนสร้างความมั่นใจให้กับทั้งนักท่องเที่ยวและประชาชนในประเทศ รวมถึงสถานที่ต่างๆ ทั้งโรงแรม ร้านอาหาร ในส่วนของผู้ประกอบการเองก็จะต้องจัดเตรียมความพร้อม ภาครัฐเองก็จะต้องมีแนวทางสนับสนุนกลุ่ม SME ในภาคการท่องเที่ยวและบริการที่ต้องการการฟื้นฟูกิจการ ให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนให้รวดเร็วที่สุด 

 

รุ่ง สงวนเรือง ผู้อำนวยการสายงานวางแผนโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ระบุว่า การประกาศเตรียมยกเลิกมาตรการกักตัวผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศของจีนในช่วงต้นปีหน้า ถือเป็นปัจจัยบวกที่จะช่วยให้เงินบาทปรับตัวแข็งค่าขึ้น เนื่องจากไทยจะได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจของจีน รวมถึงนักท่องเที่ยวจีนที่จะกลับเข้ามาท่องเที่ยวในไทยอีกครั้ง

 

“ก่อนหน้านี้ไทยเคยพึ่งพานักท่องเที่ยวจีนสูงถึง 1 ล้านคนต่อเดือน การที่จีนเปิดประเทศอีกครั้งก็จะส่งผลดีต่อภาคท่องเที่ยวไทย ช่วงแรกอาจมีความไม่ราบรื่นบ้างเพราะทั่วโลกอาจกลัวว่านักท่องเที่ยวจีนจะทำให้เกิดการแพร่ระบาดครั้งใหญ่อีก แต่ในมุมหนึ่งโลกก็ได้ก้าวข้ามความกลัวนั้นมามากแล้ว โดยหันมาให้ความสำคัญกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากกว่า” รุ่งกล่าว

 

รุ่งกล่าวว่า แม้ว่าการเปิดประเทศจะเป็นข่าวดีสำหรับไทย แต่ค่าเงินบาทในวันนี้ (27 ธันวาคม) ไม่ได้มีการตอบสนองมากนัก โดยเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบๆ ที่ 34.5-34.6 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการที่ตัวเลขส่งออกไทยออกมาแย่กว่าที่คาด และไทยยังขาดดุลการค้าอยู่ในระดับสูง อีกส่วนหนึ่งเป็นผลในทางฤดูกาลที่ช่วงปลายปีนักลงทุน ผู้นำเข้า-ส่งออก จะเริ่มปิดสถานะ ทำให้มีปริมาณธุรกรรมในตลาดเบาบาง

 

“เราประเมินว่าเงินบาทในช่วงที่เหลือของปีนี้จะเคลื่อนไหวแบบ Sideway ขณะที่ในไตรมาสแรกของปีหน้ามีโอกาสอ่อนค่าไปได้ถึง 35-35.50 บาทต่อดอลลาร์ เนื่องจากตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่ยังสูง โดยเฉพาะในภาคบริการ อาจทำให้ Fed ค้างดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 5% นานกว่าที่คาด แต่ในช่วงไตรมาสที่เหลือของปี เงินบาทจะกลับมาแข็งค่าจากแรงหนุนด้านการท่องเที่ยว ทำให้สิ้นปีเงินบาทจะอยู่ที่ 33-33.50 บาทต่อดอลลาร์” รุ่งกล่าว


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

 

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising