อัปเดตตัวช่วยที่จะทำให้ New Year’s Resolution ของคุณในปีนี้ใกล้เคียงความสำเร็จยิ่งขึ้น
Nike Joyride Dual Run
ราคา 5,000 บาท
นี่อาจไม่ใช่รองเท้าที่ทำให้คุณวิ่งเร็วที่สุดหรือวิ่งได้ไกลที่สุด แต่ Nike Joyride Dual Run จะเป็นรองเท้าที่ทำให้การวิ่งของคุณเป็นเรื่องสนุก เพราะเจ้าเม็ดโฟมจิ๋ว (Nike Joyride Beads) นับพันที่อัดแน่นอยู่ใต้ฝ่าเท้าถูกออกแบบมาเพื่อรับแรงกระแทกบริเวณส้นและกลางเท้า ซึ่งเป็นจุดที่เราต้องการแรงซัพพอร์ตมากที่สุดขณะวิ่ง ทำให้วิ่งแล้วสบายเท้า เหมาะทั้งการวิ่งระยะสั้น 5 กิโลเมตร เรื่อยไปจนถึงระยะฮาล์ฟมาราธอนอย่าง 21 กิโลเมตร หรือใส่วิ่งชิลๆ ในวันพัก (Recovery Run) หลังจากที่ได้ลองใส่ต้องบอกว่า Nike Joyride Dual Run เป็นรองเท้าที่ใส่แล้วนุ่มสบายเท้าสมคำร่ำลือ แต่ให้สัมผัสที่ใกล้เคียงกับรองเท้าวิ่งดั้งเดิมมากกว่าตัวที่ออกมาก่อนหน้านี้อย่าง Nike Joyride Flyknit ที่พื้นเป็นเม็ดโฟมถึง 4 จุด แต่พอมารุ่นนี้ลดเหลือเพียง 2 จุด และแทนที่พื้นส่วนกลางไปจนถึงหน้าเท้าด้วยแผ่นโฟม ทำให้การตอบสนองดีขึ้น มอบความกระด้างขึ้นเล็กน้อย ซึ่งเป็นข้อดีสำหรับคนที่ไม่ชอบใส่รองเท้าวิ่งที่นุ่มจนเกินไป
Nike Joyride Dual Run
ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้หลายคนน่าจะหยิบคู่นี้มาใส่บ่อยๆ คือรูปร่างหน้าตาที่มาพร้อมสีสันสดใส และรูปทรงของรองเท้าที่สามารถใส่เที่ยวได้ด้วย ถือว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว
Adidas Ultraboost 20
ราคา 6,500 บาท
มาถึงเจเนอเรชันล่าสุดสำหรับ Adidas Ultraboost 20 รองเท้าวิ่งที่เปรียบเสมือนเรือธงของ Adidas ซึ่งหลายคนที่เคยลองตัว 19 มาก่อนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า พอมาลองรุ่นนี้แล้วมันมีความต่าง ที่เด่นชัดสุดต้องยกให้การใส่วิ่งแล้วไม่รู้สึกยวบ สัมผัสได้ว่าวิ่งแล้วแน่นขึ้น ในขณะที่รองเท้าสามารถรองรับแรงกระแทกได้สูง ซึ่งก็ต้องแลกมากับน้ำหนักตัวที่มาในระดับมาตรฐาน ไม่หนักจนเกินไป แต่ก็ไม่ถือได้ว่าเบาหวิว ใส่สบาย ไม่บีบรัดเท้า ซึ่งต้องยกความดีความชอบให้เทคโนโลยี Tailored Fiber Placement (TFP) ที่ใช้สำหรับวัสดุอย่างไพรม์นิต (Primeknit) ทำให้การตัดเย็บมีความแม่นยำ เข้ากับรูปทรงเท้าของผู้สวมใส่ได้ดีขึ้น ซึ่งก็เป็นสไตล์ของวัสดุประเภทนี้ที่ต้องแนบไปกับเท้าของเรา
Adidas Ultraboost 20
ส่วนสิ่งที่ขาดไม่ได้คือความเด้ง เพราะตัว 20 เด้งยิ่งกว่าเดิม เมื่อตัวพื้นบูสต์สามารถกักเก็บพลังและส่งแรงกลับให้ผู้สวมใส่ ทำให้ตัวเราพุ่งไปด้านหน้าได้อย่างทันใจ ถือเป็นรองเท้าวิ่งที่ดีมากๆ คู่หนึ่ง อาจติดอยู่หน่อยตรงเรื่องราคาที่ค่อนข้างสูง แต่หากคุณไม่มีปัญหาเรื่องงบประมาณ อยากได้รองเท้าที่ใส่วิ่งก็ได้หรือใส่เดินเที่ยวก็ดี (รุ่นนี้ Adidas ออกแบบร่วมกับห้องปฏิบัติการแห่งชาติของสหรัฐฯ ประจำสถานีอวกาศนานาชาติ) UltraBoost 20 น่าจะตอบโจทย์ทั้งในแง่การใช้งานและงานดีไซน์ที่สวยทันสมัย เพราะเวลาเอาไปใส่เที่ยวก็กลมกลืนอยู่นะ
Fitbit Versa 2
ราคา 7,990 บาท สำหรับรุ่นปกติ และ 8,990 บาท สำหรับรุ่น Special Edition
หากคุณกำลังมองหาสมาร์ทวอชในราคาไม่ถึงหมื่น แต่มีคุณสมบัติเทียบเคียงกับรุ่นหมื่นกว่าบาท Fitbit Versa 2 น่าจะตอบโจทย์นี้ได้ดี เพราะตัว Versa 2 ได้รับการพัฒนาหลายจุดเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า เริ่มจากความคมชัดของหน้าจอที่เปลี่ยนมาใช้ OLED ทำให้ภาพชัดขึ้น สามารถมองเห็นได้แม้อยู่ในที่แสงจ้า หน้าจอใหญ่เต็มตา มาพร้อมระบบทัชสกรีน ส่วนด้านหลังตัวเครื่องมีเซนเซอร์ไว้สำหรับวัดอัตราการเต้นของหัวใจแบบ PurePulse เพื่อเก็บข้อมูลต่างๆ ซึ่งตัวระบบเก็บข้อมูลของ Fitbit ทำได้ดีอยู่แล้ว โดยเฉพาะข้อมูลเกี่ยวกับการนอนที่รุ่นนี้ยกระดับไปอีกขั้น
Fitbit Versa 2
โหมดออกกำลังกายมีหลากหลาย ไม่ว่าจะวิ่ง ว่าย (ใส่กันน้ำได้ลึก 50 เมตร) ปั่น หรือเวตเทรนนิ่ง ซึ่งถ้าหากเราลืมกดสตาร์ท ตัวนาฬิกาสามารถจับความเคลื่อนไหวและเปิดโหมดได้โดยอัตโนมัติ เหมาะสำหรับคนขี้ลืม ในขณะที่แบตเตอรี่ถือว่าอึดมาก เพราะหากไม่ได้ใช้งานหนักๆ หรือเปิดโหมดหน้าจอไว้ตลอดเวลา การชาร์จเต็มต่อครั้งสามารถอยู่ได้นานกว่า 5-6 วัน น้ำหนักเบา ทำให้ใส่เล่นกีฬาหรือทำกิจกรรมต่างๆ แทบไม่รู้สึกว่ากำลังสวมใส่นาฬิกาอยู่ จะแต่ขาดก็ตรงที่ไม่มี GPS มาให้ ทำให้การออกกำลังกายในที่แจ้งอย่างการวิ่งหรือปั่นจักรยานยังต้องพกโทรศัพท์มือถือติดตัวไปด้วย และระบบแจ้งเตือนที่ยังไม่มีภาษาไทย (แต่ได้ข่าวว่าจะรองรับได้ในเร็วๆ นี้) ส่วนเรื่องหน้าตานั้นหายห่วง เพราะดีไซน์เหลี่ยมโค้งมนทันสมัยแบบนี้ อยู่บนข้อมือใครก็รอด ไม่ว่าจะใส่กับชุดออกกำลังกายหรือชุดไปเที่ยว เพราะแค่เปลี่ยนสายนาฬิกาก็รองรับทุกไลฟ์สไตล์
Huawei FreeBuds 3
ราคา 4,990 บาท
อย่าจำสลับระหว่างหูฟังรุ่นนี้กับค่าย Apple เพราะแม้หน้าตาภายนอกจะมาในลักษณะหูฟัง Earbud สีขาวสะอาดตาเหมือนกัน เแต่ตัวเคสมีความต่างด้วยรูปทรงที่ Huawei FreeBuds 3 มาพร้อมเคสทรงกลมแบนที่สามารถจับได้ถนัดมือ ชาร์จไฟได้เร็วเพียง 15 นาทีก็นำมาใช้งานต่อได้แล้ว ส่วนตัวหูฟังเป็นดีไซน์แบบ Dolphin Bionic เน้นความใส่สบายหู และนวัตกรรม Open-fit ที่ยึดตามหลักสรีรศาสตร์ ทำให้ตัวหูฟังไม่หลุดจากหูง่ายๆ แม้ใช้ยามออกกำลังกายอย่างการวิ่ง ปั่นจักรยาน หรือเวตเทรนนิ่ง รวมถึงอีกหนึ่งจุดเด่นสำคัญอย่างการมาพร้อมระบบตัดเสียง ANC ที่ทำงานร่วมกับแอปพลิเคชัน Huawei Al Life ทำให้เราสามารถปรับแต่งการลดเสียงรบกวนจากภายนอกด้วยตัวเอง เพื่อให้เข้ากับสถานการณ์นั้นจริงๆ เสียงภายนอกจึงตัดออกได้ดีกว่า โดยที่เรายังได้ยินเสียงเพลงหรือเสียงของคู่สนทนาได้อย่างชัดเจน
Huawei FreeBuds 3
หลังจากได้ทดลองใช้ ทั้งใส่ออกกำลังกายและวิ่ง ปรากฏว่าตัวหูฟังอยู่ติดหูดี ไม่ว่าจะวิ่ง กระโดด หรือล้มตัวลงนอน มีน้ำหนักเบา ใส่สบายหู ทำให้แทบไม่รู้สึกว่ากำลังใส่หูฟังอยู่ เสียงที่ได้ค่อนข้างกระจ่างใส เหมาะกับเพลงแทบทุกแนว และไม่ต้องกลัวว่าใช้กับ iPhone ไม่ได้ เพราะเดี๋ยวนี้เขาพัฒนาให้รองรับทั้งสองระบบปฏิบัติการแล้ว
ภาพ: Courtesy of brands
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า
