IMF แนะรัฐบาลทั่วโลกลดการขาดดุลงบประมาณ เพื่อบรรเทาภาวะเงินเฟ้อ เป็นการช่วยธนาคารกลางให้ไม่ต้องขึ้นดอกเบี้ยเร็วและแรงนัก เนื่องจากท่ามกลางภาระหนี้ของภาครัฐและภาคเอกชนที่สูงขึ้น การดำเนินการดังกล่าวอาจเพิ่มความเสี่ยงให้กับระบบการเงินได้
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ระบุว่า ขณะที่ธนาคารกลางกำลังใช้นโยบายการเงินเป็นเครื่องมือในการปราบเงินเฟ้อ นโยบายการคลังก็สามารถทำให้เศรษฐกิจมีความมั่นคงในระยะยาวผ่านการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การดูแลสุขภาพ และการศึกษา การกระจายรายได้และโอกาสที่เป็นธรรม ผ่านระบบภาษี และการจัดบริการสาธารณะขั้นพื้นฐานได้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ภาวะ เศรษฐกิจถดถอย อาจอยู่ใกล้กว่าที่คิด เปิดกลยุทธ์รับมือเน้น Predict-Prepare-Perform
- ‘ไบเดน’ ปัดเศรษฐกิจโลกตกต่ำไม่ได้มาจากดอลลาร์แข็ง แต่มาจากนโยบายที่ผิดพลาดของประเทศอื่น
- ภาระ ‘ผ่อนบ้าน’ อาจเป็นพายุลูกใหม่ซ้ำเติมเศรษฐกิจโลก เมื่อดอกเบี้ยบ้านแพงสุดรอบ 15 ปี
นอกจากนี้ IMF ยังชี้ว่า การขาดดุลทางการคลังที่ลดลงสามารถทำให้อุปสงค์โดยรวมและเงินเฟ้อเย็นลงได้ ซึ่งจะช่วยให้ธนาคารกลางไม่จำเป็นต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากนัก ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยภาวะทางการเงินทั่วโลกและงบประมาณที่ตึงตัว รวมถึงอัตราส่วนหนี้สาธารณะที่สูงกว่าระดับก่อนเกิดโรคระบาด การลดการขาดดุลทางการคลังยังช่วยแก้ปัญหาความเปราะบางของหนี้ได้อีกด้วย
ในทางกลับกัน มาตรการกระตุ้นทางการคลังในสภาพแวดล้อมที่อัตราเงินเฟ้อสูงในปัจจุบันจะบีบให้ธนาคารกลางต้องเหยียบเบรกอย่างหนัก เพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อ โดยท่ามกลางปัญหาหนี้ภาครัฐและภาคเอกชนที่เพิ่มสูงขึ้น การดำเนินการดังกล่าวอาจเพิ่มความเสี่ยงให้กับระบบการเงินได้
IMF ยังเปิดเผยงานวิจัยที่ศึกษาการใช้วิธีที่แตกต่างกันในการควบคุมอัตราเงินเฟ้อ โดยวิธีแรก อาศัย ‘การคุมเข้มมาตรการทางการเงินอย่างเดียว’ เพื่อลดความร้อนให้กับเศรษฐกิจ ส่วนวิธีที่สองคือ ‘การคุมเข้มนโยบายการเงินไปพร้อมๆ กับนโยบายการคลัง’ พบว่าทั้งสองวิธีส่งผลกระทบที่คล้ายคลึงกันต่อเศรษฐกิจ และมีประสิทธิภาพในการลดอัตราเงินเฟ้อ
โดยภายใต้วิธีแรก อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นและการเติบโตทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอลงมีส่วนทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน สกุลเงินก็แข็งค่าขึ้น เนื่องจากผลตอบแทนที่สูงขึ้นได้ดึงดูดนักลงทุน
ภายใต้แนวทางที่ 2 การเข้มงวดทางการคลังทำให้อุปสงค์เย็นลงโดยไม่จำเป็นต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ย ดังนั้นอัตราแลกเปลี่ยนที่แท้จริงจึงอ่อนค่าลง และด้วยต้นทุนการชำระหนี้ที่ลดลงและการขาดดุลที่น้อยลง หนี้สาธารณะจึงลดลง
IMF แนะอีกว่าเมื่อเผชิญกับปัญหาราคาอาหารและพลังงานที่สูง รัฐบาลสามารถปรับปรุงฐานะการคลังของตนได้ โดยเปลี่ยนจากการสนับสนุนในวงกว้างไปสู่การช่วยเหลือผู้เปราะบางที่สุด โดยวิธีที่ดีที่สุดคือการโอนเงินให้กลุ่มเป้าหมาย
และเนื่องจากภาวะช็อกของอุปทานนั้นมีระยะเวลายาวนาน ดังนั้นความพยายามที่จะจำกัดการขึ้นราคาด้วยการควบคุมราคา การอุดหนุน หรือการลดภาษีจะสิ้นเปลืองงบประมาณ และ ‘ไม่ได้ผล’ ในที่สุด นอกจากนี้ การปล่อยให้กลไกราคาเคลื่อนไหวเองยังเป็นการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน และส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชนในพลังงานหมุนเวียนด้วย
อ้างอิง: