×

อัยการเตรียมแจ้งข้อหา ‘ตู้ห่าว’ เพิ่ม ยันมีหลักฐานมากพอจัดการกับเครือข่าย พร้อมประสานต่างประเทศรวบรวมพยานหลักฐานที่เหลือ

โดย THE STANDARD TEAM
26.12.2022
  • LOADING...

วันนี้ (26 ธันวาคม) ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ศูนย์ราชการฯ ถนนแจ้งวัฒนะ กุลธนิต มงคลสวัสดิ์ อธิบดีอัยการ สำนักงานการสอบสวน พร้อมด้วย โกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองอธิบดีอัยการ สำนักงานคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชน และในฐานะรองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ร่วมกันแถลงความคืบหน้าคดี ชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์ หรือ ตู้ห่าว กับพวก หลังอัยการสูงสุดรับเป็นคดีนอกราชอาณาจักร และคดีอาชญากรรมข้ามชาติ

 

กุลธนิตกล่าวว่า ขณะนี้เรื่องดังกล่าวยังอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานและการสอบสวน ซึ่งกระบวนการยังไม่แล้วเสร็จ แต่ทางคณะมีพยานหลักฐานมากพอที่จะออกหมายจับเพิ่ม 15 ราย โดยแบ่งเป็นผู้ต้องหา 2 กลุ่ม คือกลุ่มร่วมกันฟอกเงิน และกลุ่มร่วมกันสมคบกันกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด โดยล่าสุดจับกุมได้ 10 ราย และแจ้งข้อหาแตกต่างกันไปตามความผิดแต่ละคน เช่น สมคบกันกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติด อันเป็นการกระทำขององค์กรอาชญากรรม, ร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 และวัตถุออกฤทธิ์ประเภท 2 โดยไม่ได้รับอนุญาต, สมคบกันและร่วมกันฟอกเงิน และร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ

 

ดังนั้นยืนยันว่าคดีนี้หลักฐานเชื่อมโยงชัดเจนว่าเป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ และสำนักงานอัยการสูงสุดเป็นผู้มีอำนาจรับผิดชอบ โดยได้มอบหมายให้พนักงานสอบสวนของตำรวจเป็นผู้รวบรวมพยานหลักฐาน ซึ่งหลักฐานบางชิ้นอยู่ต่างประเทศ ก็จะมีขั้นตอนในการประสานขอความร่วมมือไปยังประเทศนั้นๆ เพื่อให้ส่งพยานหลักฐานกลับมาประกอบในสำนวน 

 

“ส่วนตู้ห่าว ก็ยืนยันว่าพนักงานอัยการมีพยานหลักฐานชัดเจนว่าตู้ห่าวกระทำความผิดเกี่ยวกับการฟอกเงิน และเตรียมจะไปแจ้งข้อหาตู้ห่าวเพิ่มเติมภายในเรือนจำใน 1-2 วันนี้ และเนื่องจากความผิดเดิมของตู้ห่าวคือคดียาเสพติดเป็นความผิดมูลฐานฟอกเงิน อัยการก็ได้แจ้งไปยังสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง. ให้ดำเนินการตรวจสอบทรัพย์สิน เพื่อยื่นริบ-อายัดทรัพย์ตู้ห่าวแล้ว และหากพบหลักฐานเชื่อมโยงไปถึงผู้กระทำความผิดรายอื่นก็จะมีการแจ้งข้อหาเพิ่มเติมได้ทันที” กุลธนิตกล่าว

 

ทั้งนี้ กุลธนิตยังฝากเตือนว่า บุคคลที่เผยแพร่ข้อมูลหรือเอกสารที่อาจส่งผลกระทบต่อรูปคดี ตามกฎหมายแล้วอาจเข้าข่ายความผิดฐานขัดขวางกระบวนการสืบสวนสอบสวนได้

 

อย่างไรก็ตาม ในการแถลงข่าววันนี้ กำหนดการเดิม พล.ต.อ. ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ พล.ต.ท. ธิติ แสงสว่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล จะมาร่วมแถลงข่าวกับอัยการด้วย แต่เมื่อมาถึงได้ถอนตัวกะทันหัน ก่อนที่ ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ จะเข้าร่วมสังเกตการณ์การแถลงข่าวในครั้งนี้

 

โดยชูวิทย์ได้ฟังการแถลงข่าวของอัยการสูงสุด ก่อนจะตั้งคำถามในช่วงท้ายของการแถลง เกี่ยวกับการรวบรวมพยานหลักฐานของตำรวจ และการประสานการทำงานกับหน่วยงานต่างๆ ที่มีปัญหา  ซึ่งกุลธนิตตอบว่า อัยการไม่ได้รับสำนวนจากตำรวจมาเพียงอย่างเดียว แต่ยังได้ตรวจสอบพยานหลักฐานทั้งหมด เพื่อความถูกต้อง ครบถ้วน เพื่อคลี่คลายประเด็นสงสัยต่างๆ และรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติมในอีกหลายส่วน ซึ่งปัจจุบันมีพยานมากกว่า 100 ปาก และมีการออกหมายจับเพิ่มเติมนอกเหนือจากสำนวนแรก ดังนั้นจึงยืนยันว่าจะดำเนินการสอบสวนต่อเนื่อง ขอให้ทุกคนมั่นใจในการทำงาน 

 

ด้านชูวิทย์กล่าวหลังการแถลงข่าวว่า ที่ตนเองออกมาเรียกร้องในครั้งนี้ ยืนยันไม่ได้หิวแสง และไม่ได้หวังผลทางการเมือง โดยตนเองจะเรียกร้องงานนี้เป็นงานสุดท้าย แม้ไม่ได้มีหน้าที่ในเรื่องนี้ แต่ก็ใช้สิทธิในฐานะประชาชน เพราะแม้อัยการจะมีความสามารถ แต่ด้วยข้อจำกัดด้านเวลาและอำนาจ ก็อาจทำให้แก้ปัญหาสำนวนคดีนี้ไม่ได้ 

 

“ผมมองว่าหน่วยงานของรัฐที่มีปัญหาอยู่ในขณะนี้ก็คือหน่วยงานของตำรวจ จึงเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีออกมาเคลื่อนไหว จะดำรงตำแหน่งต่อไปทำไมหากไม่ทำประโยชน์ เมื่อคดีนี้เป็นคดีใหญ่ระดับประเทศ เป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ก็ควรจะออกมาพูดบ้าง อย่ามัวแต่หาเสียง เพราะผมเชื่อว่าท้ายที่สุดผู้บัญชาการตำรวจนครบาลไม่สามารถจัดการเรื่องนี้ได้” ชูวิทย์กล่าว

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising