×

ตัวเต็งบอลโลกปีนี้คือใคร บราซิลมีสิทธิ์เข้าวินไหม อินทรีเหล็กจะป้องกันแชมป์ได้หรือเปล่า

13.06.2018
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

5 Mins. Read
  • บราซิลมีลุ้นเข้าใกล้ตำแหน่งแชมป์ฟุตบอลโลกสมัยที่ 6 มากที่สุดในสายตาของเรา เพราะเพียบพร้อมไปด้วยขุมกำลังที่แกร่งรอบด้านทั้ง 23 คนตั้งแต่ผู้รักษาประตูยันแผงรุก สอดคล้องกับความเห็นของบ่อนรับพนันหลายแห่งที่ยกให้บราซิลเป็นเต็งหนึ่ง
  • ทีมชาติอังกฤษก็มีลุ้นเช่นกัน แม้หลายคนจะมองพวกเขาเป็นทีม ‘รอง’ ไปแล้ว เพราะไม่มีสตาร์ชูโรงเหมือนในยุคก่อนๆ แต่บางทีการขาดนักเตะระดับสตาร์ที่ชื่อเสียงล้ำหน้าฝีเท้าและเคมีในทีมก็อาจจะทำให้ทรีไลออนส์ไปไกลได้กว่าที่คิด
  • ส่วน 6 ชาติอย่างเยอรมนี, ฝรั่งเศส, สเปน, โปรตุเกส, อาร์เจนตินา และเบลเยียม ไม่ใช่ว่าไม่มีลุ้น แต่ต้องดูกันยาวๆ ว่าพวกเขาจะยืนระยะได้ไกลแค่ไหน

ฟุตบอลโลก 2018 ปีนี้หลายคนคงมีทีมเชียร์ในใจกันแล้ว เพราะทีมดังๆ ก็เข้ารอบสุดท้ายกันมาหมด (ถ้าไม่นับอิตาลีและเนเธอร์แลนด์นะ!) ไม่ว่าจะเป็นแชมป์ 5 สมัย ‘บราซิล’, แชมป์โลกปีล่าสุด (2014) ‘เยอรมนี’, แชมป์ยูโรสมัยล่าสุด (2016) โปรตุเกส, ‘ทัพกระทิงดุ’ สเปน, ‘ขุนพลฟ้าขาว’ อาร์เจนตินา, ‘เลอ เบลอส์’ ฝรั่งเศส, ‘เรดเดวิลส์’ เบลเยียม แม้กระทั่งม้านอกสายตาอย่างทีมชาติอังกฤษ

 

เชื่อว่า 8 ชาติตัวเต็งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้น่าจะมีรายนามอยู่บนไปรษณียบัตรทายผลฟุตบอลโลก 2018 ของคนไทยกันเกือบ 90% แน่นอน ขณะที่บ่อนรับพนันหลายแห่งในต่างประเทศให้อัตราใกล้เคียงไปในทิศทางเดียวกันว่าบราซิลและเยอรมนีคือตัวเต็งอันดับที่ 1 และ 2 ตามลำดับในปีนี้

 

ด้านพาร์ตเนอร์เกมอย่าง EA Sports กลับมองต่างออกไปว่าฝรั่งเศสน่าจะเข้าวินชนะจุดโทษทัพอินทรีเหล็กในรอบชิงชนะเลิศด้วยสกอร์ 4-3 โดยอองตวน กรีซมันน์ และอิสโก คือดาวซัลโวร่วมที่ 5 ประตู

 

Photo: EA SPORT

 

แต่ถ้าถามกองบรรณาธิการ THE STANDARD พวกเราลงความเห็นตรงกันแล้วว่าทีมเต็งแชมป์บอลโลกปีนี้เห็นทีจะหนีไม่พ้น…

 

***สถิติทั้งหมดในบทความนี้นับจนถึงวันพุธที่ 13 มิถุนายน 2018 เท่านั้น

 

 

16 ปี 4 ครั้งที่รอคอย ปีนี้ ‘บราซิล’ น่าจะถึงฝั่งฝันเสียที!

เซเลเซาห่างหายจากการเป็นแชมป์โลกไปนานถึง 16 ปีเต็ม หลังโค่นเยอรมนีในรอบชิงชนะเลิศเมื่อปี 2002 ที่ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ด้วยขุมกำลัง 3R (โรนัลโด, ริวัลโด และโรนัลดินโญ) แต่กับฟุตบอลโลกใน 3 ครั้งล่าสุดก็ทำผลงานได้น่าผิดหวังจนหมดคำบรรยาย

 

ทั้งการไปพ่ายในรอบ 8 ทีมสุดท้ายในปี 2006 และ 2010 หรือปีล่าสุด 2014 ที่จบได้แค่อันดับ 4 หลังแพ้ให้กับเนเธอร์แลนด์แบบสิ้นไร้ไม้ตอก 0-3 (ก่อนหน้านี้ในรอบ 4 ทีมสุดท้ายก็โดนเยอรมนีถลุงเละเทะ 7-1 จนถูกวิจารณ์ยับ)

 

แต่กับปีนี้ต้องยอมรับว่าทรงบราซิลมาดีมากๆ ขุมกำลังแน่นทุกตำแหน่งจนไม่มีที่ว่างเหลือให้กับอเล็กซ์ ซานโดร แบ็กซ้ายจอมดุจากยูเวนตุส กองหลังตัวรุก ดาวิด ลุยซ์ หรือแม้แต่ฟาบินโญ กองกลางตัวรับป้ายแดงของลิเวอร์พูล

 

บราซิลมาในระบบการเล่น 4-3-3 เน้นเกมรุกที่ดุดัน ส่วนเกมรับก็แข็งแกร่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เริ่มตั้งแต่ตำแหน่งผู้รักษาประตูที่เคยเป็นช่องโหว่ของทีมมาเรื้อรังหลายยุคหลายสมัย ปีนี้ก็ได้อลิสสัน เบคเกอร์ โกลจอมหนึบ (และเนื้อหอม) จากโรมาเข้ามาเติมเต็ม แถมยังมีแบ็กอัพชั้นดีเป็น ‘เอเดอร์สัน’ หนึ่งในผู้รักษาประตูที่เล่นบอลด้วยเท้าได้ดีที่สุดในยุคนี้ และมือกาวเบอร์หนึ่งของแมนเชสเตอร์ ซิตี้

 

ถัดมาที่แผงหลัง การมีคู่หูเกมรับจากปารีส แซงต์ แชร์กแมง ‘ติอาโก ซิลวา และมาร์ควินญอส’ พร้อมมิรันด้า กองหลังประสบการณ์สูง ขนาบข้างด้วยแบ็กซ้าย (เพลย์เมกเกอร์) และแบ็กขวาชั้นดี ‘มาร์เซโลและดานิโล’ ทำให้พวกเขาไม่จำเป็นต้องพะวงเกมรับอีกต่อไป

 

ส่วนแดนกลาง เมื่อยักษ์ปักหลั่นปัดกวาดหน้าแผงแบ็กโฟร์อย่างคาเซมิโรต้องมาจับคู่กับมิดฟิลด์สไตล์ Box to Box ที่พร้อมจะวิ่งสอดขึ้นไปลุ้นทำประตู ‘เปาลินโญ’ หรือคูตินโญ ที่รับบทเพลย์เมกเกอร์จอมสร้างสรรค์เกม แค่นี้ก็ช่วยขับเคลื่อนให้ทั้งทีมทำงานกันได้สบายขึ้นอีกหลายเท่าตัว นี่ยังไม่นับรวมเฟอร์นานดินโญ หรือ ‘เฟรด’ กองกลางคนใหม่ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

 

เนย์มาร์, ฟีร์มีโน, กาเบรียล เฆซุส, วิลเลียน, ดักลาส คอสตา และไทสัน นี่คือผู้เล่นตำแหน่งเกมรุกที่ฟอร์มกำลังสุกงอมเต็มที่ทุกคน! ทั้งยังมีจุดเด่นอยู่ที่การสลับกันลงเล่นใน 3 ตำแหน่ง ปีกขวา กองหน้า และปีกซ้ายได้อย่างไม่เคอะเขิน

 

แม้หลายคนจะปรามาสเนย์มาร์ จูเนียร์ ว่า ‘ใจไม่สู้’ เอาเสียเลยตอนที่ตัดสินใจย้ายออกจากบาร์เซโลนามาเล่นในลีกเอิง ฝรั่งเศส ที่มีความเข้มข้นในการแข่งขันน้อยกว่า แต่ถ้าพูดถึงศักยภาพและความสามารถเฉพาะตัวแล้ว เราสามารถไว้ใจกองหน้าวัย 26 ปีคนนี้ได้เสมอ พิสูจน์ได้จากสองเกมอุ่นเครื่องนัดล่าสุดที่ยิงได้ทั้ง 2 ประตู แถมยังโชว์สเตปลูกหนังแพรวพราวได้เหนือชั้นสุดๆ

 

ที่สำคัญด้วยวัยขนาดนี้ เจ้าตัวยังมีลุ้นแซงตำนานอย่างเปเล่ (ลงเล่น 92 นัด ยิงไป 77 ประตู) ทำสถิติเป็นดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของทีมชาติในอนาคตอันใกล้อีกด้วย (ปัจจุบันเนย์มาร์ลงเล่น 85 นัด ยิง 55 ประตู)

 

สำหรับในรอบแบ่งกลุ่ม บราซิลจะต้องเจอกับเซอร์เบีย, สวิตเซอร์แลนด์ และคอสตาริกา ในกลุ่ม E ซึ่งถ้าไม่เล่นติดประมาทจนเกินไปก็น่าจะผ่านเข้าไปรอบ 16 ทีมสุดท้ายได้ไม่ยาก แต่ในรอบต่อไปนี่แหละที่เซเลเซาจะต้องลุ้นเป็นพิเศษว่าอาจจะไปชน ‘ตอ’ อย่างเยอรมนีเร็วกว่าที่คิด เมื่อที่ 1 หรือที่ 2 ในกลุ่ม E ต้องไปไขว้เจอกับที่ 2 และที่ 1 ในกลุ่ม F ตามลำดับ

 

เพราะฉะนั้นถ้าจะมีทีมไหนที่ใกล้เคียงกับการคว้าแชมป์บอลโลกในปีนี้มากที่สุด เราก็มองว่าเป็น ‘ตีเต้’ และลูกทีมแซมบ้าทั้ง 23 คนของเขานี่แหละ!

 

 

ใครบอก ‘ทรีไลออนส์ภายใต้การคุมบังเหียนของเซาท์เกต’ ไม่มีลุ้น!?

แวบแรกที่เห็นรายชื่อนักฟุตบอลทั้ง 23 คนของทีมชาติอังกฤษ หลายคนคงกุมหัว เบะปาก ทำหน้าไม่เข้าใจกันทั้งหมด

 

คำถามเกิดขึ้นตามมามากมาย ทำไมแกเร็ธ เซาท์เกต ตัดสินใจไม่หนีบผู้เล่นอย่าง โจ ฮาร์ต, คริส สมอลลิง, แจ็ค วิลเชียร์, ไรอัน เบอร์ทรานด์ ไปที่รัสเซียด้วย แต่กลับไว้ใจผู้เล่นหน้าใหม่อย่าง รูเบน ลอฟตัส-ชีค, เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ หรือสามมือกาวสายเลือดใหม่ จอร์แดน พิกฟอร์ด, แจ็ค บัตแลนด์ และนิค โป๊ป

 

แต่การที่ทัพสิงโตคำรามถูกขับเคลื่อนด้วยผู้เล่นพลังยังบลัดอายุเฉลี่ยน้อยที่สุดในทัวร์นาเมนต์ที่ 26 ปี (ร่วมกับไนจีเรียและฝรั่งเศส) โดยปราศจากสตาร์ดัง ‘ชื่อเสียง’ เด่นไกลเกิน ‘ฝีเท้า’ บางทีทีมสปิริตของพวกเขาอาจจะดีกว่าทีมของนักเตะรุ่นพี่ในยุคก่อนๆ จนมีลุ้นเข้ารอบลึกๆ ก็เป็นได้

 

และถึงใครหลายคนจะยี้สไตล์การทำทีมของเซาท์เกตที่ต่อให้เจอทีมเล็กกว่าก็ยังยึดมั่นแนวทางการเล่นหลัง 5 ไม่เสื่อมคลาย แต่ก็ต้องยอมรับว่าประสิทธิภาพของทีมตั้งแต่ที่อดีตกุนซือทีมชาติอังกฤษชุดต่ำกว่า 21 ปีเข้ามากุมบังเหียนไม่ได้แย่ถึงขั้นขี้ริ้วขี้เหร่ขนาดนั้น เพราะลงเล่นไป 18 นัด เก็บชัยชนะได้ 10 นัด เสมอ 6 นัด และแพ้เพียง 2 นัดเท่านั้น

 

ใครจะไปรู้ บางทีนักเตะอย่าง ราฮีม สเตอร์ลิง, เจสซี ลินการ์ด, เดเล อัลลี และแฮร์รี เคน อาจได้ลงประสานงานวาดลวดลายเกมรุกร่วมกันในนัดสุดท้ายของทัวร์นาเมนต์ครั้งนี้ที่ลุจนีกี สเตเดียม ก็ได้!

 

 

6 ทีมดังไม่ใช่ไม่มีหวัง แต่ 2018 อาจจะยังไม่ใช่ปีของพวกเขา

สำหรับ 6 ทีมยักษ์ใหญ่อย่างเยอรมนี, ฝรั่งเศส, สเปน, โปรตุเกส, อาร์เจนตินา และเบลเยียม เราเชื่อว่าพวกเขาน่าจะมีลุ้นเข้ารอบลึกๆ แน่นอน ด้วยศักยภาพของทีมและขุมกำลังที่สมบูรณ์แบบใน ‘แทบจะ’ ทุกตำแหน่ง

 

เพียงแต่ปีนี้ด้วยฟอร์มการเล่นนัดอุ่นเครื่องที่กระท่อนกระแท่นจนคาดหวังอะไรไม่ได้เป็นชิ้นเป็นอันของเยอรมนีและฝรั่งเศส ดูทรงแล้วพวกเขาอาจจะไปได้ ‘ไม่สุด’ ตามที่หวังไว้ (ล่าสุดมีข่าวว่าเอ็มบัปเป้ได้รับบาดเจ็บ แต่อาการไม่หนักมากจนต้องถอนตัว)

 

ส่วนสเปนก็ดูจะกำลังผจญกับมรสุมลูกย่อมๆ อยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะล่าสุดที่ ‘ยูเลน โลเปเตกี’ ถูกสั่งเด้งฟ้าผ่าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังวันที่ 12 มิถุนายนที่ผ่านมา เรอัล มาดริด ได้ประกาศแต่งตั้งเจ้าตัวขึ้นเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ของสโมสรล่วงหน้า

 

RFEF หรือสหพันธ์ฟุตบอลสเปน มองว่าการกระทำดังกล่าวทรยศความไว้เนื้อเชื่อใจที่สมาคมมีให้โค้ชทีมชาติวัย 51 เป็นอย่างมาก พร้อมกันนนี้ยังได้ดันเฟอร์นันโด เอียร์โร อดีตผู้อำนวยการกีฬาทีมชาติสเปน เป็นกุนซือขัดตาทัพชั่วคราวแล้ว

 

 

ด้านโปรตุเกสและอาร์เจนตินาคืออีกสองชาติที่น่าจะมีลุ้นเข้ารอบลึกๆ อยู่เหมือนกัน แต่ลำพังการจะพึ่งให้โรนัลโดหรือเมสซีฉายแสงแบกทั้งทีมไปตลอดทั้งทัวร์นาเมนต์ก็ดูจะเป็นภาระที่หนักอึ้งอยู่เอาการ

 

อย่างไรก็ดี การมีเงื่อนไขที่ว่าฟุตบอลโลกปีนี้อาจเป็น ‘ทัวร์นาเมนต์ใหญ่ในนามทีมชาติครั้งสุดท้าย’ ก็อาจจะเป็นไฟต์บังคับให้ทั้งคู่ต้องเน้นมากเป็นพิเศษ

 

‘ปีศาจแดงแห่งยุโรป’ หรือเบลเยียม ก็เป็น 1 ใน 8 ทีมตัวเต็งที่มีลุ้นไปได้ไกล เพราะขุมกำลังส่วนใหญ่ของพวกเขาอยู่ในช่วงที่ฟอร์มการเล่นกำลังพีก ไล่ตั้งแต่แยน แฟร์ตองเกน, เควิน เดอ บรอยน์, เอเดน อาซาร์ และโรเมลู ลูกากู (ฟอร์มในสโมสรอาจไม่เปรี้ยง แต่ฟอร์มในนามทีมชาติเดือดมาก ปัจจุบันเป็นผู้เล่นที่ยิงประตูสูงสุดตลอดกาลของเบลเยียม ลงเล่น 69 นัด ยิง 36 ลูก)

 

ปัญหาคือประสบการณ์ในทัวร์นาเมนต์ใหญ่ของพวกเขากลับไม่สู้ดีเท่าที่ควร แถมยังยืนระยะได้ไม่ดีอีกด้วยเมื่อเทียบกับทีมอื่นๆ ในสเกลเดียวกัน

 

นี่เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนหนึ่งของกองบรรณาธิการกีฬา THE STANDARD หากผู้อ่านมีความคิดเห็นที่ต่างออกไปก็สามารถแลกเปลี่ยนกันเข้ามาได้

 

ขอให้สนุกกับทัวร์นาเมนต์ใหญ่ที่รอมา 4 ปีครับ

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising