×

ส่องผลงานหุ้นกลุ่ม FAANG ในปี 2021 ภาพรวมกำไรยังเติบโตเด่น แต่โอกาสลงทุนอาจไม่ได้เปิดกว้างทุกตัว

09.02.2022
  • LOADING...
FAANG

หุ้นในกลุ่ม FAANG ที่เป็นเหมือนตัวแทนของหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ ประกอบไปด้วย Facebook ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนชื่อมาเป็น Meta (FB) ขณะที่อีก 4 บริษัท ได้แก่ Amazon (AMZN), Apple (APPL), Netflix (NFLX) และ Alphabet (GOOG)

 

ล่าสุด ทั้ง 5 บริษัทต่างรายงานผลประกอบการประจำปี 2021 ออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยแต่ละบริษัทต่างมีรายได้และกำไรที่เติบโตขึ้นเมื่อปีก่อน 

 

หุ้นกลุ่ม FAANG ในปี 2021 ยังคงสร้างยอดขายและกำไรที่เติบโตขึ้นได้ต่อเนื่อง แต่ราคาหุ้นในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาดูเหมือนจะไม่ได้ตอบสนองไปในเชิงบวกเสียทั้งหมด 

 

 

สำหรับ Meta หรือ Facebook เดิม มีรายได้รวม 117,929 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 37% ขณะที่กำไรสุทธิทำได้ 39,370 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 35% อย่างไรก็ตามหากดูเฉพาะไตรมาสล่าสุด จะเห็นว่าการเติบโตของรายได้ชะลอตัวลงมาเหลือเติบโต 20% ขณะที่ต้นทุนและค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 38% ขณะที่การตั้งสำรองสำหรับค่าใช้จ่ายภาษีเพิ่มขึ้น 32% โดยรวมแล้วทำให้กำไรของบริษัทในไตรมาส 4 ปี 2021 ลดลง 8% 

 

ประธานเจ้าหน้าบริหารฝ่ายการเงินของ Meta คาดว่า ไตรมาส 1 ปี 2022 รายได้ของบริษัทจะอยู่ในช่วง 2.7-2.9 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 3-11% จากปีก่อน ขณะที่ค่าใช้จ่ายตลอดทั้งปี 2022 คาดว่าจะอยู่ในช่วง 9-9.5 หมื่นล้านดอลลาร์ ส่วนค่าใช้จ่ายใช้ในการลงทุน (Capital Expenditure) คาดว่าจะอยู่ประมาณ 2.9-3.4 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยเป็นการลงทุนในส่วนของศูนย์จัดการข้อมูล, เซิร์ฟเวอร์, โครงสร้างพื้นฐานเครือข่าย และปรับปรุงสำนักงาน

 

ด้าน Amazon รายงานยอดขายทั้งจากสินค้าและบริการรวม 469,822 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 21.7% โดยมีกำไรสุทธิ 33,364 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 56.4% ส่วนผลประกอบการในไตรมาส 4 ที่ผ่านมา มียอดขายเพิ่มขึ้น 9.4% ทำได้ 137,412 แต่กำไรเพิ่มขึ้น 98.3% ทำได้ 14,323 ล้านดอลลาร์ โดยหลักเป็นกำไรพิเศษจำนวน 11,474 ล้านดอลลาร์ 

 

รายได้ที่เพิ่มขึ้น 9.4% ในไตรมาสล่าสุด เป็นการเติบโตในเลขหลักเดียวในแต่ละไตรมาสเป็นครั้งแรกนับแต่ปี 2017 อย่างไรก็ตาม ธุรกิจในส่วนของคลาวด์ผ่าน AWS ยังคงเติบโตได้ดีในระดับ 40% ส่งผลให้ทั้งปีมียอดขายรวม 62,202 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 37% เทียบกับธุรกิจช่องทางค้าปลีกเดิมที่ยอดขายโตประมาณ 20% 

 

แนวโน้มการเติบโตของไตรมาสแรกปีนี้ บริษัทคาดว่ายอดขายรวมจะทำได้ราว 1.12-1.17 แสนล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 3-8% จากปีก่อน ขณะที่กำไรจากการดำเนินงานน่าจะทำได้ 3-6 พันล้านดอลลาร์ เทียบกับปีก่อนที่ทำได้ 8.9 พันล้านดอลลาร์ 

 

ทางด้าน Apple รายงานผลประกอบการไตรมาสแรกปี 2022 (สิ้นสุดเดือนธันวาคม 2021) มียอดขายรวม 123,945 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 11.2% ขณะที่กำไรสุทธิทำได้ 34,630 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 20.4% โดยตลาดสำคัญที่สร้างรายได้ยังคงเป็นอเมริกา (41.5%) ยุโรป (24%) และจีน (20.8%)

 

ส่วนการแบ่งตามกลุ่มสินค้าและบริการ ได้แก่ iPhone ยังเติบโตได้ 9% จากปีก่อน เป็น 71,628 ล้านดอลลาร์, ธุรกิจบริการเพิ่มขึ้น 24% เป็น 19,516 ล้านดอลลาร์, ธุรกิจอุปกรณ์เสริมเพิ่มขึ้น 13% ทำได้ 14,701 ล้านดอลลาร์, ธุรกิจ Mac เพิ่มขึ้น 25% ทำได้ 10,852 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ iPad เป็นเพียงหน่วยธุรกิจเดียวที่ยอดขายลดลง 14% ทำได้ 7,248 ล้านดอลลาร์ 

 

ทิม คุก ซีอีโอของ Apple กล่าวว่า ในไตรมาสถัดไปสิ้นสุดเดือนมีนาคม 2022 เราคาดหวังว่าจะเห็นการเติบโตของรายได้ที่แข็งแกร่งขึ้นจากปีก่อน และคาดว่าปัญหาด้านอุปทานจะลดลงจากไตรมาสก่อนหน้านี้ โดยปัญหาสำคัญคือการขาดแคลนชิปที่เป็นหัวใจสำคัญของการผลิต

 

ถัดมาในส่วนของ Netflix มีรายได้รวม 29,697 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 18.8% จากปีก่อน ส่งผลให้กำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 35% เป็น 6,194 ล้านดอลาร์ และมีกำไรสุทธิ 5,840 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 111% จากปีก่อน โดย ณ สิ้นปี 2021 บริษัทมียอดผู้ใช้งานที่ชำระค่าสมาชิกทั้งสิ้น 222 ล้านบัญชี โดยเพิ่มขึ้น 8.3 ล้านบัญชี ในไตรมาส 4 ที่ผ่านมา 

 

สำหรับไตรมาส 1 ปีนี้ บริษัทคาดการณ์ว่าจะมีผู้ใช้งานเพิ่มขึ้น 2.5 ล้านบัญชี เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่เพิ่มขึ้น 4 ล้านบัญชี ขณะที่อัตรากำไรจากการดำเนินงานน่าจะอยู่ในช่วง 19-20% ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการแข็งค่าขึ้นของค่าเงินดอลลาร์ โดยรายได้ราว 60% ของบริษัทมาจากนอกสหรัฐฯ 

 

ในส่วนของ Alphabet ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Google รายงานรายได้รวมทั้งปี 2021 ที่ 257,637 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 41% จากปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 76,033 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 88.8% ซึ่งการเติบโตดังกล่าวได้แรงหนุนจากทุกธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็น Google Search, YouTube Ads, Google Cloud

 

ขณะที่ ซันดาร์ พิชัย ซีอีโอของ Alphabet กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทมีผู้ใช้งานกว่า 1.5 หมื่นล้านครั้งต่อวัน ขณะที่ยอดขายที่รอการรับรู้รายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้นกว่า 70% มาสู่ระดับ 5.1 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยหลักหนุนจากธุรกิจคลาวด์ โดยเมื่อปีก่อนมีดีลของธุรกิจคลาวด์ที่มูลค่าสูงกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ มีจำนวนเพิ่มขึ้นถึง 65% 

 

รัฐศรัณย์ ธนไพศาลกิจ หัวหน้าฝ่ายหลักทรัพย์ต่างประเทศและฟิวเจอร์ส บล.บัวหลวง เปิดเผยว่า ในแง่ของผลประกอบการหุ้นในกลุ่ม FAANG ยังเติบโตต่อได้ แต่หากในแง่ของมูลค่าพื้นฐานเทียบกับราคาในปัจจุบันถือว่าแตกต่างกันพอสมควร 

 

อย่างกรณีของ Meta กำไรยังเติบโตดี แต่นักลงทุนเริ่มกังวลต่ออนาคตจากการที่บริษัททุ่มเงินลงทุนในส่วนของ Metaverse ทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นเยอะ ซึ่งในส่วนนี้อาจจะไม่ได้สร้างกำไรได้เร็วจึงกระทบต่อความคาดหวังของตลาด ขณะเดียวกันบริษัทก็เผชิญกับแรงกดดันจากคู่แข่งใหม่ อาทิ TikTok 

 

“ส่วนตัวมองว่าตลาดกังวลมากเกินไป ทำให้ราคาหุ้นของ Meta ลดลงมาเทรดใน P/E ระดับ 16-17 เท่า ซึ่งเป็นระดับที่ไม่แพงนัก ส่วนความกังวลต่อคู่แข่งอย่าง TikTok ในส่วนนี้ Meta เองก็ยังมีจุดแข็งอยู่จากการพัฒนา Facebook Reels ซึ่งสามารถเชื่อมต่อกับ Facebook และ Instagram ได้” 

 

หรือในกรณีของ Amazon ก็จะแตกต่างออกไป แม้ว่าธุรกิจคลาวด์เติบโตได้ค่อนข่างดี แต่ธุรกิจหลักอย่างอีคอมเมิร์ซเผชิญการแข่งขันที่สูงขึ้น โดยเฉพาะจากบริษัทค้าปลีกยักษ์ใหญ่ อาทิ Walmart ขณะที่ราคาหุ้นปัจจุบันยังซื้อขายที่ P/E 50-60 เท่า ทำให้เราเห็นว่าราคาหุ้น Amazon แทบจะไม่เปลี่ยนแปลงนักในปี 2021 ที่ผ่านมา 

 

“โดยรวมแล้วหุ้นเทคขนาดใหญ่ดูดีขึ้นกว่าปีก่อน หลังจากที่ Valuation ของหุ้นหลายตัวเริ่มสมเหตุสมผลมากขึ้น แต่ก็ต้องพิจารณาเป็นรายตัวไป แม้ว่าโดยภาพรวมผลประกอบการน่าจะเติบโตต่อได้สำหรับแต่ละบริษัท รวมถึงการพิจารณาโครงสร้างธุรกิจที่มีความทนทานต่อความผันผวนที่แตกต่างกัน” 

 

ในระยะสั้นหุ้นเทคโนโลยีเหล่านี้มีโอกาสจะผันผวนหนัก โดยเฉพาะภาพเศรษฐกิจมหภาคที่เปลี่ยนแปลงไป อย่างแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้น ทำให้นักลงทุนหันมาให้ความสำคัญกับมูลค่าที่แท้จริงมากขึ้น อย่างไรก็ดี ในระยะยาวอีกสัก 5 ปีข้างหน้า เชื่อว่าเทคโนโลยีก็จะยังเป็นสิ่งสำคัญและมีแนวโน้มจะเติบโตต่อไปได้ เพราะฉะนั้นกลยุทธ์การลงทุนในปีนี้อาจจะอาศัยจังหวะปรับฐานแต่ละรอบในการเข้าสะสม

 

ด้าน กำพล อดิเรกสมบัติ ผู้อำนวยการอาวุโส SCB Chief Investment Office (SCB CIO) ธนาคารไทยพาณิชย์ มองว่า หากดูหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่จดทะเบียนอยู่ในตลาด Nasdaq ส่วนใหญ่แล้วยังคงทำได้ดี แต่การที่บริษัทเหล่านี้จะทำได้ดีกว่าที่คาดเริ่มมีโอกาสน้อยลง เพราะปีก่อนหน้านี้แต่ละบริษัทมีผลประกอบการดีมาก ทำให้ความคาดหวังสูงขึ้น และในทางกลับกันบริษัทใดที่ทำได้ต่ำกว่าคาดก็จะถูกลงโทษแรงจากตลาด 

 

“อย่าง Netflix จริงๆ งบไม่ได้แย่ แต่ตัวเลขผู้ใช้งานไม่ได้เพิ่มขึ้นมากกว่าที่ตลาดคาด หรืออย่าง Meta ที่เริ่มเห็นรายได้ชะลอลง ก็เห็นการลงโทษที่ค่อนข้างรุนแรง” 

 

อย่างไรก็ดี ถ้าดูภาพรวมกำไรของตลาดในกลุ่ม Nasdaq 100 การเติบโตของยอดขายและกำไรเติบโตขึ้น 14% และ 10% ตามลำดับ แต่ส่วนที่ทำได้มากกว่าที่ตลาดคาดหวังนั้นน้อยลง โดยยอดขายทำได้ดีกว่าตลาดคาด 2% ส่วนกำไรทำได้ดีกว่าตลาดคาด 10% 

 

“หากดูแนวโน้มของหุ้นบิ๊กเทคตอนนี้เชื่อว่ากำไรจะเติบโตต่อได้ แต่การจะเติบโตได้มากกว่าที่ตลาดคาดอาจจะไม่ได้มากเหมือนกับปีก่อน” 

 

ภาพประกอบ: พรวลี จ้วงพุฒซา

อ้างอิง: 

 


 

ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH


Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising