สุดสัปดาห์นี้แล้วที่ศึกฟอร์มูลาวันสนามแรกของฤดูกาล 2025 จะกลับมาเปิดฉากแข่งขันกันอีกครั้งในรายการออสเตรเลียนกรังด์ปรีซ์ ที่เมลเบิร์นพาร์ก ระหว่างวันที่ 14-16 มีนาคมนี้ นั่นหมายความว่าเราจะได้เห็น F1 กลับมาแข่งขันกันอีกครั้งแล้ว
เพื่อเป็นการต้อนรับการกลับมาของศึก F1 ฤดูกาลใหม่ THE STANDARD SPORT ได้รวบรวมทุกเรื่องราวน่ารู้ เพื่อตอบทุกคำถามก่อนฤดูกาลนี้จะเปิดฉาก ไม่ว่าจะเป็น F1 ฤดูกาลนี้แข่งเมื่อไร, แข่งขันกี่สนาม, ใครแข่งขันบ้าง, กี่สนาม, หรือต่างจากปีก่อนอย่างไร?
ไลน์อัพนักขับ
ปี 2025 เป็นปีที่แตกต่างจากปีก่อนอย่างยิ่ง ในตำแหน่งไลน์อัพนักขับ โดยปีนี้ มีการเปลี่ยนแปลงนักขับมากมาย เพราะปีที่ผ่านมาในปี 2024 ไม่มีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งนักขับเลยในทุกตำแหน่งช่วงเปิดฤดูกาล
แต่ในปี 2025 นี้ มีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งนักขับถึง 10 ที่นั่ง หรือ ครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว โดยนักขับที่ยังนั่งที่เดิมไม่เปลี่ยนแปลง ได้แก่ 2 นักขับของ แมคลาเรน อย่าง แลนโด นอร์ริส กับ ออสการ์ ปิอัสทรี ตามมาด้วย 2 คู่หูจาก แอสตัน มาร์ติน อย่าง แฟร์นานโด อลองโซ กับ แลนซ์ สโตรลล์
โดยยังมี ชาร์ลส์ เลอแคลร์ จาก เฟอร์รารี, แชมป์โลกอย่าง แม็กซ์ เวอร์สแตพเพน จาก เรดบูลล์ เรซซิง, จอร์จ รัสเซลล์ จากเมอร์ซีเดส, ปิแอร์ แกสลีย์ จาก อัลพีน, ยูกิ สึโนดะ จาก เรซซิงบูลส์ และ อเล็กซ์ อัลบอน จาก วิลเลียมส์
แต่นอกจากนี้อีก 10 ตำแหน่ง ล้วนมีการเปลี่ยนแปลงทั้งหมด โดยมีถึง 2 ทีมที่มีการเปลี่ยนแปลงนักขับทั้ง 2 ตำแหน่งด้วย
เริ่มจากคนที่ทุกคนก็รู้อยู่แล้ว เพราะมีการประกาศเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้นปีก่อน อย่าง ลูอิส แฮมิลตัน ที่ย้ายจาก เมอร์ซีเดส มาร่วมงานกับเฟอร์รารี ซึ่งเป็นการย้ายทีมที่เขายืนยันว่า ‘เป็นความฝันมาตลอด’
ขณะที่ช่องว่างซึ่ง แฮมิลตันทิ้งไว้ ตกเป็นของ อันเดรีย คิมี อันโตเนลลี นักขับดาวรุ่งน่าจับตามองวัยเพียงแค่ 18 ปี ที่จะขึ้นมาเป็นคู่หูของ จอร์จ รัสเซลล์ และทำให้ F1 มีนักขับชาวอิตาเลียนอีกครั้ง
โดยการมาของ แฮมิลตัน ทำให้ การ์ลอส ไซน์ซ นักขับชาวสเปน ต้องย้ายไปร่วมงานกับ วิลเลียมส์ เรซซิง และทำให้กำเนิดคู่หู คาร์โบโน่ ที่น่าจับตามองในการแข่งขันปีนี้
ขณะที่ทาง เรดบูลล์ ก็แยกทางกับ ‘เชโก’ เซร์คิโอ เปเรซ เปิดทางให้นักขับดาวรุ่งจากนิวซีแลนด์อย่าง เลียม ลอว์สัน ขึ้นมาเป็นคู่หูของแชมป์โลกอย่าง เวอร์สแตพเพน แทนเช่นกัน
ทีมรองของ เรดบูลล์ อย่าง เรซซิงบูลล์ ก็มีการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน โดยในฤดูกาลก่อน มีการปลด แดเนียล ริคเคียร์โด ช่วงกลางฤดูกาล และให้ เลียม ลอว์สัน ขึ้นมาแทนที่ โดยเมื่อ ลอว์สัน ถูกดันขึ้นทีมชุดใหญ่ พวกเขาก็ยกที่ว่างนี้ให้ ไอแซค ฮัดจาร์ นักขับดาวรุ่งฝรั่งเศส มาแทนที่
อัลพีน ก็เป็นอีกทีมที่มีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งนักขับ โดยแยกทางกับ เอสเตบัน โอคอน นักขับฝรั่งเศส ในเรซสุดท้ายของฤดูกาลที่แล้ว และดัน แจ็ค ดูฮาน ขึ้นมารับตำแหน่งแทน
ขณะที่ โอคอน หลังจากออกจาก อัลพีน ก็ย้ายไปร่วมทีม ฮาส F1 ซึ่งเป็นหนึ่งใน 2 ทีมที่มีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งนักขับทั้ง 2 ตำแหน่ง โดยนอกจาก โอคอน แล้ว อีกคนที่เข้ามาร่วมทีม คือ โอลิเวอร์ แบร์แมน ที่เซ็นสัญญามาเป็นนักขับสำรองให้ทีมตั้งแต่ปีก่อนแล้ว
ขณะที่ทีมสุดท้าย ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงยกทีม ได้แก่ทีม สเทก คิกเซาเบอร์ ที่แยกทางกับ 2 นักขับเดิมทั้ง โจว กวนยู กับ วัลต์เทรี บอตตัส มาร่วมงานกับ นิโก อูล์เคนแบร์ก ที่ย้ายออกมาจากทีมฮาส และ ยังได้ กาเบรียล บอร์โตเลโต นักขับดาวรุ่งจาก บราซิล มาแทนที่ด้วย
โดยในฤดูกาลนี้ มีนักขับทั้ง 6 คนที่มีสัญญาจนถึงสิ้นฤดูกาล โดยนักขับหน้าใหม่ 4 คนได้รับข้อเสนอสัญญา 1 ปี ได้แก่ อันโตเนลลี, ดูฮาน, ฮัดจาร์ และลอว์สัน
ที่น่าจับตามองคือ จอร์จ รัสเซลล์ จากเมอร์เซเดส และยูกิ สึโนดะ จากเรซซิงบูลส์ ก็มีสัญญาที่กำลังจะหมดลงในช่วงปลายปี 2025 เช่นกัน
นอกจากนี้ ยังจะมีที่นั่งว่างอีก 2 ตำแหน่ง ในปี 2026 หลังจาก FIA ยืนยันแล้วว่า คาดิลแลค จะกลายมาเป็นทีมที่ 11 ในศึก F1 ในปีหน้า
ทีมผู้ผลิตที่แทบจะไม่เปลี่ยนแปลง
ในส่วนของทีมผู้ผลิต แทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนักในฤดูกาลที่จะถึงนี้ ยกเว้นการเปลี่ยนชื่ออีกครั้งของทีมรองของ เรดบูลล์ เรซซิง
จากเดิม ที่พวกเขาใช้ชื่อว่า ทีม อาร์บี หรือชื่อเต็มว่า วีซา แคช แอป อาร์บี F1 ก็ถูกเปลี่ยนชื่ออีกครั้งเป็นชื่ เรซซิงบูลส์ เพื่อให้ง่ายต่อความเข้าใจและการจดจำ
นอกจากทีม เรซซิงบูลส์แล้ว ก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใหญ่ๆ ใดๆ เกิดขึ้นกับทีมอื่นๆ ยกเว้นการเปลี่ยนแปลงสปอนเซอร์เล็กน้อยเท่านั้น
แต่ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สำคัญจริงๆ จะมาถึงในปี 2026 หลังทาง คาดิลแลค ได้รับการยืนยันให้เข้าร่วมมาเป็นทีมที่ 11 ในศึก F1 อย่างเป็นทางการแล้ว
ขณะที่ปี 2025 จะเป็นปีสุดท้าย ที่ทีม สเทก คิกเซาเบอร์ จะแข่งขันภายใต้ชื่อนี้ ก่อนที่ในปีหน้าทีมของพวกเขาจะถูกส่งต่อและเปลี่ยนผ่านเป็นทีม ออดี แบบเต็มตัว
ตำแหน่งสำคัญในทีมต่างๆ
นอกจากบรรดานักขับแล้ว ยังมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นในศึก F1 ฤดูกาลใหม่นี้ แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะเป็นที่ทราบกันดีตั้งแต่ปีที่แล้วก็ตาม นั่นคือการย้ายทีมของ เอเดรียน นิวอี
นักออกแบบ F1 ระดับตำนานลาออกจาก เรดบูลล์ และย้ายไปอยู่กับ แอสตัน มาร์ติน ในช่วงต้นเดือนมีนาคม ซึ่งถือเป็นการย้ายทีมที่สำคัญพอๆ กับการที่ เซอร์ลูอิส แฮมิลตัน ย้ายไปร่วมงานกับ เฟอร์รารี เลยก็ว่าได้
นอกจากนี้ แอสตัน มาร์ติน ยังมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อีกตำแหน่ง ในส่วนของทีมบอส เมื่อ ไมค์ แคร็ก ถูกลดตำแหน่งจากทีมบอสไปเป็นหัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายติดตามการแข่งขัน โดยทางทีมได้แต่งตั้ง แอนดี โคเวลล์ อดีตกูรูเครื่องยนต์ของ เมอร์ซีเดส ขึ้นมาเป็นทีมบอสคนใหม่แทนด้วย
นอกจากนี้ ทาง คิกเซาเบอร์ ก็ได้ทีมบอสคนใหม่เช่นกัน หลังจากที่ให้ มัตเตีย บิน็อตโต ทำหน้าที่รักษาการในตำแหน่งนี้มาตั้งแต่ต้นปี 2025 ก็มีการแต่งตั้ง โจนาธาน วีตลีย์ ผู้อำนวยการฝ่ายกีฬาของ เรดบูลล์ เข้ามาเป็นหัวหน้าทีมเป็นที่เรียบร้อยแล้วเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม วีตลีย์ จะยังไม่ได้ทำงานตั้งแต่เรซแรกในปีนี้ เนื่องจากสัญญาเริ่มงานของเขา จะมีผลตั้งแต่เดือนเมษายนเป็นต้นไป แต่การแต่งตั้ง วีตลีย์ครั้งนี้ เป็นเหมือนการเตรียมตัวของทีม ที่จะเปลี่ยนผ่านสู่ทีม ออดี ในปี 2026 มากกว่า
เรซการแข่งขัน
ออสเตรเลียจะเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันเรซเปิดฤดูกาลเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2019 ในวันที่ 14-16 มีนาคม ซึ่งแตกต่างจากปีก่อน ที่สนามเปิดฤดูกาล คือ บาห์เรน อินเตอร์เนชันแนล เซอร์กิต แต่ที่ไม่แตกต่างจากปีที่แล้ว นั่นคือการแข่งขันทั้งฤดูกาล ยังมีจำนวน 24 สนามเท่าเดิม
โดยก่อนหน้านี้ บาห์เรนเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันเปิดฤดูกาลมาแล้ว 4 ปี แต่เนื่องจากช่วงเวลาของเดือนรอมฎอน การแข่งขันที่ซาคีร์และกรังด์ปรีซ์ซาอุดีอาระเบียถูกเลื่อนออกไปเป็นเดือนเมษายนแทน การเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยอื่นๆ ได้แก่ สแปนิช กรังด์ปรีซ์ จะเลื่อนไปจัดในสุดสัปดาห์ถัดจากโมนาโก กรังด์ปรีซ์แทน
อีกเรื่องที่แตกต่างจากปีก่อน คือจะไม่มีช่องว่างการพักการแข่งขัน 4 สัปดาห์อีกแบบที่เกิดขึ้นหลังสิงคโปร์ กรังด์ปรีซ์ ในปีก่อนอีกต่อไป
นอกจากนั้นแล้วสปรินท์เรซในปีนี้จะมีด้วยกัน 6 สนามเท่าเดิม โดยมีเพียง 1 สนาม ที่มีการเปลี่ยนแปลงจากปีก่อน นั่นคือ ออสเตรียน กรังด์ปรีซ์ จะไม่ได้จัดสปรินท์เรซ โดยที่จะเป็น เบลเยียม กรังด์ปรีซ์ จะได้จัดสปรินท์เรซแทน ส่วนอีก 5 สนามทั้ง ไชนีส กรังด์ปรีซ์, ไมอามี กรังด์ปรีซ์, ยูเอส กรังด์ปรีซ์, เซาเปาโล กรังด์ปรีซ์ และกาตาร์ กรังด์ปรีซ์ ยังคงได้จัดสปรินท์เรซเหมือนเดิม
นั่นหมายความว่า การแข่งขัน สปรินท์เรซ ที่ ออสเตรียน กรังด์ปรีซ์ ซึ่งจัดการแข่งขันมาตั้งแต่ปี 2022 จะต้องจบตำนานลงในที่สุด
ขณะที่รูปแบบการแข่งขันแบบสปรินท์เรซ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง โดยจะมีเซสชันฝึกซ้อมหนึ่งครั้ง ตามด้วยการแข่งขันรอบคัดเลือกสปรินท์ในบ่ายวันศุกร์ การแข่งขันสปรินท์ในเช้าวันเสาร์ โดยรอบคัดเลือกจะจัดขึ้นตามปกติในบ่ายวันเสาร์ และการแข่งขันกรังด์ปรีซ์ในวันอาทิตย์
กฎระเบียบที่เปลี่ยนแปลงไป
ในปีนี้มีการเปลี่ยนแปลงกฎการแข่งขันเพียงเล็กน้อย โดยการเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่ที่สุดคือการนำคะแนนพิเศษสำหรับผู้ที่ทำเวลาเร็วที่สุดต่อรอบ หรือ Fastest Lap ออกไป
โดยปกติแล้ว คะแนนสำหรับผู้ที่ทำความเร็วที่สุดต่อรอบที่ทำอันดับติด 1 ใน 10 อันดับแรก บางครั้งจะเพิ่มความน่าตื่นเต้นให้การแข่งขันได้ โดยเฉพาะในรอบท้ายๆ จะมีนักขับบางคน ยอมเข้าพิตเพื่อเปลี่ยนยาง แล้วออกมาทำสถิตินี้ เพื่อเป็นคะแนนโบนัส หรือ ปลอบใจ แต่ในบางครั้งก็สามารถลดช่องว่างในตารางคะแนนให้ตื่นเต้นขึ้นได้บ้าง
ในส่วนของกฎอื่นๆ ที่มีการเปลี่ยนแปลง ก็เป็นในส่วนของกฎยิบย่อย อย่างเช่นการเปลี่ยนแปลงน้ำหนักขั้นต่ำของนักขับซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 80 กิโลกรัมเป็น 82 กิโลกรัม โดยหากนักขับมีน้ำหนักน้อยกว่า 82 กิโลกรัม จะต้องเพิ่มน้ำหนักถ่วงพิเศษให้กับรถเพื่อให้สมดุลมากขึ้น
ขณะที่ยังมีการเปลี่ยนแปลงกฎเกี่ยวกับนักขับหน้าใหม่ โดยกฎในปี 2025 มีการบังคับให้ นักขับหน้าใหม่ ต้องลงขับในรอบซ้อมอย่างน้อย 4 เซสชัน ต่อคน ต่อทีมเป็นอย่างน้อย ถึงจะสามารถลงแข่งขันได้ โดยวิธีนี้ยังช่วยให้นักแข่งมีโอกาสได้สัมผัสกับทีม F1 มากขึ้นอีกด้วย
นอกจากนี้ยังมีการนำชุดระบายความร้อนของผู้ขับขี่มาใช้ ขณะที่กฎระเบียบทางเทคนิคยังคงเหมือนเดิม
พรีซีซันเทสต์ ใครได้ ใครดี ใครโดน
ผลการทดสอบช่วงพรีซีซันเทสต์ ที่บาห์เรน ก่อนการแข่งขันสนามแรก มีเพียงรถ 8 คัน จาก 5 ทีมเท่านั้น ที่ทำความเร็วต่อรอบต่ำกว่า 1 นาที 30 วินาที
แต่ที่เซอร์ไพรส์ คือการที่ทีมอย่าง วิลเลียมส์ สามารถทำเวลาต่อรอบได้เร็วที่สุด โดย การ์ลอส ไซน์ซ นักขับชาวสเปนรายใหม่ของทีม ทำเวลาดีที่สุดในการทดสอบรถครั้งนี้ โดยทำเวลาได้ 1 นาที 29.348 วินาที ในการทดสอบรอบวันที่ 2 ที่เขาขับไป 127 รอบ
นอกจากนี้จาก วิลเลียมส์ ยังเป็นเพียง 1 ใน 3 ทีม ที่นักขับทั้ง 2 คนทำเวลาได้หลัก 1 นาที 29 วินาที โดยทาง อเล็กซานเดอร์ อัลบอน อังศุสิงห์ ก็ทำเวลาได้ 1 นาที 29.566 วินาที
ขณะที่ทีมที่ทำเวลาได้น่าประทับใจในรอบทดสอบมากที่สุด เห็นจะเป็นทาง เฟอร์รารี กับรถ SF-25 ของพวกเขา ที่พานักขับใหม่อย่าง เซอร์ลูอิส แฮมิลตัน ทำเวลาจบอันดับ 2 ในช่วงพรีซีซันเทสต์ ที่เวลา 1 นาที 29.379 วินาที โดยมี ชาร์ลส์ เลอแคลร์ ตามมาในอันดับที่ 3 ด้วยเวลา 1 นาที 29.431 วินาที
ขณะที่อีกทีมที่ทำเวลาได้น่าประทับใจคือ เมอร์ซีเดส ที่ จอร์จ รัสเซลล์ ทำเวลาเข้าเป็นอันดับที่ 4 ที่ 1 นาที 29.545 วินาที ส่วน อันเดรีย คิมี อันโตเนลลี ทำเวลาได้เป็นอันดับ 7 ด้วยเวลา 1 นาที 29.784 วินาที
ส่วนแชมป์โลกเก่าอย่าง แม็กซ์ เวอร์สแตพเพน จากทีม เรดบูลล์ ทำเวลาในการทดสอบเป็นอันดับ 5 ด้วยเวลา 1 นาที 29.566 วินาที
ที่น่าสนใจคือ ทีมอย่าง เมอร์ซีเดส ซ้อมไปมากที่สุดถึง 458 รอบ โดยที่ ฮาส กับ เรซซิงบูลล์ ซ้อมรองลงมาที่ 457 รอบ และ 454 รอบตามลำดับ
ส่วน 2 ทีมหัวตารางที่ทำเวลายอดเยี่ยมในการทดสอบ อย่าง วิลเลียมส์ กับ เฟอร์รารี ซ้อมใกล้เคียงกัน ที่ 395 รอบ กับ 382 รอบตามลำดับ
ทีมที่ซ้อมน้อยสุดเป็นทาง เรดบูลล์ เรซซิง ที่ลงทำการซ้อมไปเพียง 304 รอบ และทำระยะไปเพียงแค่ 1,645 กิโลเมตรเท่านั้น
นั่นทำให้ วิลเลียมส์ กลายเป็นทีมที่สร้างเซอร์ไพรส์ ในการทดสอบรถที่บาห์เรนอย่างมาก และถูกคาดหวังว่าจะเป็นม้ามืดในการแข่งขันเรซแรกที่ออสเตรเลียเช่นกัน
ขณะที่ในบรรดาทีมใหญ่ที่มีศักยภาพในการลุ้นแชมป์โลก ทั้งประเภทบุคคล และ ทีมผู้ผลิต ก็เป็นทีมอย่าง เฟอร์รารี และ เมอร์ซีเดส ที่ทำผลงานออกมาดูดีที่สุด โดยเฉพาะ เฟอร์รารี ที่น่าจับตามองในรอบแรกอย่างยิ่ง
โดยแฟนๆ F1 สามารถรอชมความมันในศึก F1 ฤดูกาลใหม่ได้ทาง beIN SPORTS ซึ่งจะถ่ายทอดสดการแข่งขันตลอดฤดูกาลเหมือนเดิม
อ้างอิง:
- https://www.motorsport.com/f1/news/lap-times-and-mileage-all-the-data-from-2025-f1-testing/10699426/
- https://www.formula1.com/en/latest/article/in-numbers-who-was-the-fastest-and-who-recorded-the-most-laps-at-bahrains-2025.56GAHdgiczXuJOn3PN99py
- https://www.the-race.com/formula-1/who-is-already-in-trouble-f1-2025-begins/
- https://racingnews365.com/the-key-f1-rule-changes-to-know-for-2025-season
- https://www.formula1.com/en/latest/article/from-fastest-lap-to-increased-rookie-running-7-rule-changes-you-need-to-know.pgdSMDnDyv1aJUgtcKPp6
- https://www.the-race.com/formula-1/six-new-f1-rules-you-need-to-know-about-2025/