แบงก์ไทยมองกรณี เมียนมา ออกประกาศให้บริษัทและธนาคารหยุดพักการชำระหนี้ที่เป็นเงินตราต่างประเทศกระทบไม่มาก ย้ำพร้อมให้ความช่วยเหลือลูกค้าด้วยการยืดระยะเวลาผ่อนชำระหนี้
รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยถึงกรณีที่ธนาคารกลางเมียนมาออกประกาศให้บริษัทและธนาคารในเมียนมา หยุดพักการชำระหนี้ที่เป็นเงินตราต่างประเทศ เพื่อลดแรงกดดันต่อค่าเงินจ๊าดที่อ่อนค่าลงถึง 30% ว่า จากการสำรวจล่าสุดของธนาคารพบว่า ปัจจุบันมีทุนไทยที่เข้าไปอยู่ในเมียนมาราว 5 พันล้านดอลลาร์ โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มธุรกิจพลังงาน และกลุ่มที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับสินค้าอุปโภคและบริโภค
“เราพบว่ากลุ่มพลังงานไม่ค่อยได้รับผลกระทบ เพราะเน้นทำธุรกรรมซื้อขาย เป็นการชำระเงินสด ไม่ใช่เงินกู้ ทำให้ 60% ไม่ได้รับผลกระทบเลย ขณะที่กลุ่มธุรกิจอุปโภคบริโภคและมีเงินกู้ต้องใช้คืนแบงก์ ส่วนใหญ่ก็จะมีสำนักงานใหญ่ในไทย เช่น มิตรผล และ ซีพี การชำระคืนเงินกู้บริษัทแม่ก็จะเป็นคนจ่ายอยู่แล้ว ทำให้ในภาพรวมมีธุรกิจไทยที่ได้รับผลกระทบไม่มาก” รักษ์กล่าว
รักษ์ระบุว่า กลุ่มธุรกิจที่จะได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้คือกลุ่มที่ทำมาหากินในเมียนมาเพื่อใช้หนี้แบงก์ไทย โดยกลุ่มนี้ธนาคารอาจต้องเข้าไปช่วยเหลือด้วยการปรับระยะเวลาการผ่อนชำระหนี้จากรายเดือนหรือ 30 วัน เพิ่มเป็น 90-120 วัน เพื่อให้บริษัทเหล่านี้มีกระแสเงินมาใช้หนี้
“เมียนมาเคยปิดประเทศมายาวนาน 30-40 ปี ทำให้นักธุรกิจเมียนมาส่วนใหญ่ที่ทำธุรกรรมกับไทยจะทำธุรกรรมผ่านสิงคโปร์อยู่แล้ว อย่างไรก็ดี ต้องยอมรับว่าปัญหาที่เกิดขึ้นอาจทำให้แนวโน้มการเข้าไปลงทุนในเมียนมาของไทยชะลอออกไป โดยธุรกิจอาจรอดูความชัดเจนของเมียนมาหลังการเลือกตั้งใหญ่ที่จะมีขึ้นในช่วงไตรมาส 2 ปีหน้า” รักษ์กล่าว
ทวีลาภ ฤทธาภิรมย์ กรรมการผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า เมียนมาเป็นประเทศที่อยู่ในสถานการณ์ไม่ปกติมาระยะหนึ่งแล้ว ทำให้ในช่วงที่ผ่านมาธนาคารได้มีการติดตามอย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด สำหรับคำสั่งล่าสุดที่ให้บริษัทและธนาคารในเมียนมาหยุดพักการชำระหนี้ที่เป็นเงินตราต่างประเทศ ธนาคารยังอยู่ระหว่างประเมินผลกระทบ และพร้อมจะให้การดูแลลูกค้า
“เรามีลูกค้าสินเชื่ออยู่จำนวนหนึ่ง ซึ่งหากได้รับผลกระทบเราก็พร้อมจะปรับเงื่อนไขการชำระต่างๆ ให้ เราจะให้การดูแลไม่ต่างจากลูกค้าในเมืองไทย” ทวีลาภกล่าว
ขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย ประเมินว่า การออกกฎเกณฑ์ทางการเงินใหม่ของเมียนมาจะไม่ส่งผลกระทบต่อทั้งธนาคาร และลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ที่เข้าไปลงทุนในเมียนมา เนื่องจากปัจจุบันธนาคารยังมีการทำธุรกิจในเมียนมาไม่มาก และได้ชะลอแผนขยายธุรกิจเข้าไปในเมียนมาตั้งแต่ช่วงที่มีสถานการณ์ความรุนแรงก่อนหน้านี้แล้ว ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัยของพนักงาน
ขณะที่ธุรกิจไทยที่มีการลงทุนในต่างประเทศส่วนใหญ่ก็เป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่มีความเข้าถึงความเสี่ยงทางการเมืองดีอยู่แล้ว ทำให้เชื่อว่าจะสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงได้
ขัตติยาระบุว่า แม้ว่าเศรษฐกิจในบางประเทศเพื่อนบ้านของไทยในเวลานี้จะมีความเสี่ยงที่เพิ่มสูงขึ้น แต่ในภาพรวมเศรษฐกิจของอาเซียนก็ยังมีศักยภาพในการเติบโต โดยล่าสุดธนาคารได้ลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้น 67.50% ในธนาคารแมสเปี้ยน เพื่อขยายฐานลูกค้าในอินโดนีเซีย
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP