×

KDB MVP! / แฟรงกี เดอ ยองก์ ของจริง / มาซิโดเนียเหนือ น่าเสียดาย – EURO 2020 ROUND UP Day 7

โดย THE STANDARD TEAM
18.06.2021
  • LOADING...
EURO 2020 ROUND UP Day 7

เกมนัดที่ 2 ของฟุตบอลยูโร 2020 เดินทางผ่านไปแล้ว 3 กลุ่ม และทำให้ได้ 3 ชาติที่ผ่านเข้ารอบต่อไปแน่นอนแล้ว ซึ่งในคืนที่ผ่านมาก็มีเบลเยียมและเนเธอร์แลนด์ เจ้าภาพร่วมเมื่อตอนศึกยูโร 2000 ที่กอดคอเข้ารอบพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมายและพร้อมกัน จากชัยชนะของทั้ง ‘ปีศาจแดงแห่งยุโรป’ กับ ‘อัศวินสีส้ม’ ยังทำให้สถานการณ์ในกลุ่ม B และ C น่าสนใจขึ้นมาพร้อมๆ กันด้วย 

 

ชัยชนะที่มาในรูปแบบของ เควิน เดอ บรอยน์

 

เบลเยียมคว้าชัยชนะเหนือเดนมาร์กถึงสนามปาร์เกนสเตเดียม ในกรุงโคเปนเฮเกน แบบมีเสียว เพราะตามหลังในครึ่งแรกก่อนพลิกมาแซงชนะ 2-1 ทำให้ทีมเก็บ 6 คะแนนใน 2 นัด การันตีการเข้ารอบน็อกเอาต์ตามอิตาลีไปเป็นชาติที่ 2 ได้สำเร็จ และปัจจัยสำคัญซึ่งเปลี่ยนรูปเกมของทีม ‘ปีศาจแดงแห่งยุโรป’ ไปในอีกทิศทาง คือการลงสนามของ เควิน เดอ บรอยน์ ที่ถูกเปลี่ยนตัวลงมาในนาทีที่ 55

 

เพียง 4 นาทีหลังจากถูกส่งลงมา มิดฟิลด์จากแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็สร้างโอกาสทองให้ ‘อาซาร์ผู้น้อง’ อย่าง ธอร์แกน อาซาร์ ยิงตีเสมอได้สำเร็จ และหลังจากนั้นเกมบุกที่มีเขาคอยบัญชาการก็เฉียบคมขึ้นชนิดที่เป็นคนละเรื่องกับครึ่งแรก ก่อนที่จะเป็นตัวเขาเองที่มายิงประตูที่ 2 ให้ทีม และเป็นประตูชัย ซึ่งได้จากการแอสซิสต์ของ ‘อาซาร์ผู้พี่’ อย่าง เอแดน อาซาร์ จนทำให้ทีมคว้าชัยชนะได้สำเร็จ

 

การลงมาในสนามของ เดอ บรอยน์ ช่วยจุดประกายการเล่นเกมรุกของเบลเยียมให้ต่างออกไปจากครึ่งแรกอย่างชัดเจน นอกจากนี้เขายังจบเกมด้วยการมี 1 ประตู กับ 1 แอสซิสต์ในเกมนี้ แม้จะไม่ได้รับมอบรางวัลจากสปอนเซอร์ให้เป็นสตาร์ออฟเดอะแมตช์ เนื่องจากเพิ่งลงมาเล่นในครึ่งหลัง แต่สื่อทุกสำนักต่างมอบตำแหน่งแมนออฟเดอะแมตช์ให้กับมิดฟิลด์คนนี้ 

 

การมี เดอ บรอยน์ กลับมาบัญชาการในเกมรุกย่อมเป็นเรื่องที่ดีต่อเบลเยียม แต่ปัญหาในแนวรับนับวันยิ่งชัดเจนขึ้น แม้ในเกมก่อนกับรัสเซียพวกเขาจะเอาตัวรอดเก็บคลีนชีตมาได้ แต่ในเกมกับเดนมาร์กหาเป็นเช่นนั้นไม่ เพราะแค่จังหวะแรกที่พลาด ยุสซุฟ โพลเซน ก็ลงโทษพวกเขาด้วยประตู ซึ่งหลังจากนั้นแนวรับของทีมหมายเลข 1 ของโลกก็ยังมีลูกปวกเปียกให้เห็นอีกหลายครั้ง แต่ยังโชคดีที่ทีม ‘โคนม’ ลงโทษไม่ได้

 

ปัญหาในแนวรับของทีมจะได้รับโอกาสให้แก้ไขอีกเพียงนัดเดียวเท่านั้นในเกมที่จะเจอกับฟินแลนด์ ก่อนที่เบลเยียมจะต้องไปเจอของจริงในรอบน็อกเอาต์ และถ้าในรอบนั้นจะเอาเกมรุกแบกเกมรับแบบนี้ เห็นทีจะลำบากอยู่เหมือนกัน

 

ไม่มีแอสซิสต์ ไม่ได้ทำประตู แต่ แฟรงกี เดอ ยองก์ คือกุญแจแห่งชัยชนะ

 

เนเธอร์แลนด์เอาชนะออสเตรียได้สำเร็จ นั่นหมายความว่าพวกเขากลายเป็นทีมที่ 3 ที่ผ่านเข้าสู่รอบน็อกเอาต์ได้สำเร็จ จากการมี 6 คะแนนในการแข่งขัน 2 นัด ซึ่งต้องขอบคุณประตูจากลูกจุดโทษของ เมมฟิส เดปาย และประตูย้ำชัยของ เดนเซล ดุมฟรีส์ แต่อีก 2 คนที่โชว์ฟอร์มโดดเด่นในเกมนี้ และอาจจะโดดเด่นกว่าคนทำประตูทั้งสองนั้น กลับเป็นนักเตะที่น่าจะเป็นอนาคตของ ‘อัศวินสีส้ม’ ไปอีกหลายปี

 

แฟรงกี เดอ ยองก์ คือนักเตะคนแรกที่ควรถูกพูดถึง เขาคุมแดนกลางของทีมจากแดนกังหันลมได้อย่างอยู่หมัด ทั้งยังสร้างความได้เปรียบให้เพื่อนร่วมทีม และลดโอกาสของคู่แข่งได้อย่างยอดเยี่ยม เขาจ่ายบอลสำเร็จในเกมนี้ถึง 84% และยังทำสถิติในการกระชากบอลผ่านคู่แข่งเกิน 5 ครั้งได้เป็นเกมที่ 2 ติดต่อกัน ซึ่งสถิตินี้ก่อนหน้าเขามีนักเตะที่ทำได้เพียง 4 คนเท่านั้น และทุกคนเป็นตำนาน อันได้แก่ ฟรองก์ ริเบรี ในปี 2012, คริสเตียโน โรนัลโด ในปี 2004, ซีเนดีน ซีดาน และ หลุยส์ ฟิโก ในปี 2000

 

อีกคนที่ต้องพูดถึงคือ มัทไธจ์ส เดอ ลิกต์ ที่เพิ่งกลับมาลงสนามได้หลังหายจากอาการบาดเจ็บโคนขาหนีบมาไม่กี่วัน การมีเขาในสนามทำให้เกมรับที่ถูกยูเครนเจาะดูแน่นขึ้นอย่างชัดเจน เขาถูกคู่แข่งเลี้ยงจี้ใส่ 5 ครั้ง แต่แย่งลูกได้ถึง 4 ครั้ง นอกจากนี้ยังช่วยเคลียร์บอลบนพื้น 3 ครั้ง เคลียร์บอลกลางอาการ 2 ครั้ง และเบียดเอาชนะคู่แข่งอีก 2 ครั้งในเกมนี้ จนทำให้ฮอลแลนด์คว้าคลีนชีตมาครองได้

 

ขณะที่ออสเตรียตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าสนใจ เพราะต้องไปลุ้นเข้ารอบในนัดสุดท้ายแบบไม่ต้องพึ่งใคร ขอเพียงแค่เอาชนะยูเครนได้ก็จะยึดอันดับที่ 2 ของกลุ่มมาครอง และในเกมนั้นทีมก็จะได้ มาร์โก อาร์เนาโตวิช กลับคืนทัพอีกครั้งหลังจากที่ในเกมนี้ติดโทษแบนเลยไม่สามารถช่วยทีมได้นั่นเอง

 

มาซิโดเนียเหนือ น่าเสียดายไม่ใช่น่าผิดหวัง

 

ทีมน้องใหม่ในศึกยูโรหนนี้ ตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายและเสี่ยงที่จะตกรอบที่สุด หลังจากที่พ่ายต่อยูเครน 1-2 ทำให้เมื่อผ่านไป 2 นัดยังไม่มีคะแนน และประตูได้เสีย -3 ถึงแม้ว่าพวกเขายังมีโอกาสไปลุ้นการผ่านเข้ารอบด้วยโควตาอันดับ 3 ที่ดีที่สุดในเกมสุดท้าย แต่การเจอกับเนเธอร์แลนด์ในโยฮันครัฟฟ์อารีนาไม่ใช่งานง่าย และทางฝั่ง ‘อัศวินสีส้ม’ เองก็ยังต้องการคะแนนเพื่อการันตีการเป็นที่ 1 ของกลุ่มด้วย

 

ถึงแม้โอกาสที่จะตกรอบสูง แต่จากผลงาน 2 เกมที่ผ่านมาต้องยอมรับว่ามาซิโดเนียเหนือต่อสู้กับทั้งออสเตรียและยูเครนได้ดี พวกเขาไม่ได้แพ้แบบสู้ไม่ได้ กลับกันพวกเขาสู้ได้ดี หากแต่ยังไม่นิ่งและเฉียบขาดพอ ซึ่งตรงนี้ต้องอาศัยปัจจัยอย่าง ประสบการณ์จากการเจนเวที ดังนั้นไม่ใช่เรื่องน่าเสียหายที่พวกเขาต้องพ่ายแพ้ และอาจจะต้องตกรอบไปเพียงแค่รอบแบ่งกลุ่มในยูโรครั้งนี้

 

ทางฝั่งยูเครนก็เป็นทีมที่ดีขึ้นกว่าเกมที่พ่ายต่อเนเธอร์แลนด์ แม้เกมรับจะยังมีปัญหา แต่ฟอร์มในเกมบุกทำได้ดีอย่างต่อเนื่อง โดย  อันเดรย์ ยาร์โมเลนโก และ โรมัน ยาเร็มชุก เพิ่งกลายเป็นคู่หูคู่แรกในประวัติศาสตร์ฟุตบอลยูโร ที่ต่างทำประตูได้ในเกม 2 นัดติดต่อกันให้กับทีมชาติของตัวเอง หลังจากช่วยกันทำคนละประตูในเกมนี้ ขณะที่อีกคนที่เล่นได้ดีต่อเนื่องก็คือ โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก ที่วิ่งไปทั่วในแดนกลาง และทำหน้าที่ทั้งรุกและรับ

 

การต้องเผชิญหน้ากับออสเตรียในเกมสุดท้ายของยูเครน พวกเขามีภาษีดีกว่าเล็กน้อยตรงที่ถ้าเกมจบลงด้วยผลเสมอ พวกเขาเข้ารอบในฐานะทีมอันดับที่ 2 เพราะถึงแม้ว่าจะมีคะแนนเท่ากัน รวมไปถึงประตูได้เสียที่เท่ากัน แต่ยูเครนมีประตูได้มากกว่าออสเตรียอยู่ 1 ประตู ทำให้พวกเขาอาจจะไม่ต้องรับแรงกดดันเท่ากับทีม ‘นกกระจอกเทศ’ ที่จำเป็นต้องชนะให้ได้เท่านั้น 

 

พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising