×

อิตาลีที่คุ้นเคย / สเปนที่มีอนาคต / สถิติที่เปลี่ยนแปลง

โดย THE STANDARD TEAM
07.07.2021
  • LOADING...
ฟุตบอลยูโร 2020

ฟุตบอลยูโร 2020 ได้ชาติแรกที่เข้าไปรอในรอบชิงชนะเลิศเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากอิตาลีคว่ำสเปนในศึกยืดเยื้อจนก่อนเอาชนะไปในช่วงการดวลลูกที่จุดโทษ 4-2 หลังเสมอกันในเวลา 120 นาที 1-1 เข้าไปยืนรอในสนามเวมบลีย์ (อีกครั้ง) เพื่อรอพบผู้ชนะระหว่างอังกฤษที่ต้องการนำฟุตบอลกลับบ้านให้ได้กับเดนมาร์ก ที่ต้องการสร้างเทพนิยายเดนส์ ภาค 2 ซึ่งจะลงสนามกันในค่ำคืนนี้ และนี่คือประเด็นต่างๆ จากเกมเมื่อคืนที่ผ่านมา

 

อิตาลีที่ต้องมาเล่นเกมรับอันคุ้นตา

 

ตั้งแต่ทัวร์นาเมนต์เริ่มต้น อิตาลี ก็กลายเป็นทีมแปลกหน้าสำหรับแฟนบอลบางส่วน หลังจากทิ้งสไตล์การเล่นแบบ คาเตนัคโช มาเล่นไล่บีบพื้นที่เพื่อบังคับให้คู่แข่งคายบอลเร็ว พร้อมกับครองเกมเพื่อบุกใส่ฝั่งตรงข้าม และพวกเขาก็ทำมันได้ดีมาตลอดส่งผลให้ทีมเอาชนะได้มา 5 นัดติด ตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่มมาจนถึงรอบก่อนรองชนะเลิศ แต่เมื่อมาเจอกับสเปน ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป

 

หลุยส์ เอ็นริเก หัวหน้าโค้ชของสเปน พูดไว้ตั้งแต่ก่อนเกมเริ่มแล้วว่าทีมของเขาต้องไม่อนุญาตให้อิตาลีครองบอลและครองพื้นที่ได้ เนื่องจากจะทำให้สเปนไม่สามารถเล่นเกมในรูปแบบที่ถนัด ดังนั้นกลยุทธ์ของสเปนคือการลงมาครองเกมและไม่เสียบอลให้อิตาลีง่ายๆ ซึ่งพวกเขาก็ทำได้ดีมาก จนทำให้อิตาลีได้ครองบอลทั้งเกมเพียง 35% และมีโอกาสลุ้นประตูแค่ 7 ครั้งตลอดเกม

 

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะเปลี่ยนไปเล่นบอลบุกและเอ็นเตอร์เทนคนดูมาตลอด แต่ DNA ความเป็นคาเตนัคโชไม่ได้หายไปจากบรรดานักเตะอิตาลี พวกเขาทำมันได้ดีเมื่อจำเป็นต้องทำ ทั้งเกมสเปนมีโอกาสลุ้นประตูแบบจะแจ้งเพียงแค่ 2 ครั้ง จากโอกาสการยิงทั้งหมดที่สเปนสร้างได้ในเกมนี้ถึง 16 ครั้ง และนอกจากนี้เอกลักษณ์ของอิตาลีอีกอย่างคือการมีผู้รักษาประตูฝีมือดีก็ไม่เคยหายไปไหน เพราะเกมนี้ จานลุยจิ ดอนนารุมมา นอกจากเป็นฮีโร่เซฟลูกที่จุดโทษแล้ว เขายังมีเซฟสำคัญอีกถึง 3 เซฟด้วยกัน

 

แม้จะไม่ใช่ชัยชนะที่สวยงามแบบเกมก่อนๆ ที่ผ่านมา แต่ชัยชนะเหนือสเปนนัดนี้ก็ยังเป็นชัยชนะที่น่าภาคภูมิใจ เพราะมันแสดงให้เห็นว่า อิตาลี ชุดนี้มีจิตใจที่เข้มแข็งไม่ว่าจะโดนกดดันขนาดไหน แถมยังข่มขวัญให้คู่แข่งในเกมหน้าอย่างอังกฤษหรือเดนมาร์กเห็นด้วยว่า ไม่ว่าจะเกมรุกหรือเกมรับ อิตาลีก็ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม พวกเขามีเกมรุกที่เฉียบขาดและใช้โอกาสไม่กี่ครั้งก็จบสกอร์ได้ ขณะที่เกมรับต่อให้เจอการครองบอลมากแค่ไหนกดดันใส่ก็ไม่ไหวหวั่น นี่จึงเป็นงานหนักสำหรับคู่แข่งพวกเขาในรอบชิงอย่างยากจะปฏิเสธ

 

สเปน แพ้แต่ยังมีอนาคตไกล 

 

ดานี โอลโม, เฟร์ราน ตอร์เรส, เอริค การ์เซีย และ เปดรี คือนักเตะที่โชว์ฟอร์มได้ดีในเกมนี้เกมนี้ และพวกเขามีอายุแค่ 23, 21, 20 และ 18 ปี ตามลำดับ เรียกได้ว่าอนาคตในวงการลูกหนังยังอีกยาวไกล นั่นทำให้สเปนชุดนี้ยังเป็นทีมที่มีลุ้นแชมป์ในอนาคตอีกหลายปีอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะบรรดานักเตะเหล่านี้จะเติบโตขึ้นมาเป็นเสาหลักของทีมในอนาคตและค้ำจุนทัพ ‘กระทิงดุ’ ได้อีกหลายปี

 

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าพวกเขาจะเก่งกล้าจนไร้เทียมทาน แต่ละคนยังมีความผิดพลาดและจุดบกพร่องที่ต้องแก้ไขอยู่ อาทิ โอลโมมีปัญหาเรื่องการจบสกอร์, ตอร์เรสจะเงียบหายไปถ้าหากไม่ได้ยืนอยู่ในฝั่งที่เขาถนัด, เปดรี ยังมีการตัดสินใจบางอย่างที่ไม่ดีนัก แต่สิ่งเหล่านี้จะดีขึ้นในอนาคตเมื่อพวกเขามีประสบการณ์และสามารถพัฒนาตัวเองขึ้นมาได้เนื่องจากอายุแต่ละคนยังน้อย

 

นี่คือสิ่งที่ต้องยกเครดิตให้กับ หลุยส์ เอ็นริเก นายใหญ่ของทีมชาติสเปน ที่กล้าในการเปลี่ยนแปลงทีมชาติสเปน โดยหลังจากที่ประกาศ 26 คนสุดท้ายก็มีเสียงวิจารณ์อย่างหนักถือการตัดนักเตะมากประสบการณ์หลายคนออกไปจากทีม แน่นอนว่าถ้าผลงานไม่ดีหรือมีอันต้องตกรอบเร็ว นายใหญ่ชาวสเปนคนนี้ ‘เละ’ แน่นอน แต่เมื่อผลงานออกมาดีนี่คือการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญอย่างไม่ต้องสงสัย

 

สเปนตกรอบในเกมนี้ แต่อันที่จริงพวกเขาไม่ได้แพ้ การดวลลูกที่จุดโทษ ใครจะแพ้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่อิตาลีเพียงทำได้ดีกว่าในการเผชิญหน้ากัน แต่เมื่อมองย้อนกลับไปในเกมก็จะเห็นได้ไม่ยากว่า สเปน ครองเกมได้เหนือกว่าอิตาลีขนาดไหน และบีบให้ทีมที่ดีที่สุดทีมหนึ่งในรายการนี้ต้องเล่นเกมรับได้อย่างไร ตรงนี้นี่เองที่สำคัญ และจากบทเรียนที่พวกเขาได้รับในเกมนี้ จะกลายเป็นปุ๋ยชั้นดีให้สเปนชุดนี้เติบโตและเติบใหญ่ต่อไป 

 

สถิติใหม่ที่เกิดขึ้นหลังอิตาลีคว่ำสเปน 

 

การแข่งขันในเกมนี้ มีนัยยะในเชิงสถิติที่น่าสนใจมากมาย โดยเฉพาะความพ่ายแพ้ในเกมแรกของสเปนในรอบรองชนะเลิศ โดยก่อนหน้านี้สเปนไม่เคยแพ้ใครเมื่อเข้าสู่รอบรอง ทั้งในฟุตบอลยูโร 4 ครั้ง (1964, 1984, 2008 และ 2012) และในฟุตบอลโลกอีก 1 ครั้ง (2010) พวกเขาเอาชนะได้แบบ 100% จนกระทั่งมาเสร็จอิตาลีในเกมนี้ ซึ่งทำให้สถิติอันสมบูรณ์แบบของสเปนโดนลบไปเป็นที่เรียบร้อย

 

แต่ขณะเดียวกันสถิติชนะรวดในฟุตบอลยูโรทุกรอบของอิตาลี ก็ต้องหยุดไว้ที่ 15 เกมเท่านั้น หลังเสมอกับสเปนใน 120 นาทีเกมนี้แต่อย่างไรก็ตาม พวกเขายังถือสถิติไร้พ่ายต่อไปได้ และนี่เป็นเกมที่ 33 ติดต่อกันแล้วที่อิตาลีไม่แพ้ใคร ซึ่งเป็นสถิติที่ยาวนานเป็นอันดับที่ 2 ในวงการฟุตบอลระดับชาติ เป็นรองเพียงแค่สเปนกับบราซิล ที่ครองสถิติร่วมกันที่ 35 นัด ซึ่งนั่นหมายความว่าถ้า โรแบร์โต มันชินี ต้องการทำลายสถิตินั้น พวกเขาต้องคว้าแชมป์ยูโรครั้งนี้ให้ได้

 

นอกจากนี้อิตาลียังเพิ่มสถิติตลอดกาลในฐานะจ้าวแห่งการต่อเวลาพิเศษ โดยพวกเขาต้องเล่นในการต่อเวลาพิเศษเพื่อตัดสินการแข่งขันในฟุตบอลทัวร์นาเมนต์เมเจอร์ทั้งฟุตบอลโลกและยูโรไปแล้ว 20 ครั้ง ซึ่งมากที่สุดในบรรดาชาติต่างๆ ในยุโรป และเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศของฟุตบอลเมเจอร์ระดับชาติได้เป็นครั้งที่ 10 โดยมีเพียงแค่เยอรมนีที่ทะลุไปถึงรอบชิงได้ 14 ครั้งที่ประสบความสำเร็จในเรื่องนี้มากกว่าพวกเขา

 

พร้อมกันนั้นอิตาลียังกลายเป็นชาติที่ 2 ที่มีนักเตะแตกต่างกัน 5 คนที่ทำได้คนละ 2 ประตูขึ้นไปในศึกฟุตบอลยูโร ต่อจากฝรั่งเศสในฟุตบอลยูโร 2000 หลังจากที่ เฟเดริโก เคียซา ซัดประตูเข้าไปในครึ่งหลังของเกมนี้ แถมนี่ยังเป็นประตูที่ 12 ในการแข่งขัน ทำสถิติมากที่สุดให้ทัพ ‘อัซซูรี’ ของการทำประตูในฟุตบอลยูโร 1 รายการ โดยสถิติเดิมที่เกิดขึ้นในปี 1968 พวกเขายิงไป 11 ประตูได้สำเร็จด้วย

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising