×

‘It’s diving home’ การเข้าชิงครั้งแรกในรอบ 55 ปี แบบมีบุญส่งของอังกฤษ

08.07.2021
  • LOADING...

55 ปีที่รอคอย ในที่สุดทีมชาติอังกฤษก็ผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศของฟุตบอลในระดับเมเจอร์ได้อีกครั้ง หลังเฉือนเอาชนะเดนมาร์กได้ในช่วงของการต่อเวลาพิเศษ 2-1

 

โดยผู้ทำประตูชัยในเกมนี้คือกัปตันทีม แฮร์รี เคน ที่สังหารจุดโทษพลาดติดเซฟของปีเตอร์ เอ้ย แคสเปอร์ ชไมเคิล (ขออภัย เกมนี้นึกว่าพ่อลงมาเล่นจริงๆ) แต่ยังโชคดีที่บอลกระเด้งกลับมาเข้าทาง ทำให้สามารถซ้ำเข้าไปได้ในช่วงของการต่อเวลาพิเศษ

 

ลูกจุดโทษที่อังกฤษได้กลายเป็นความไม่สวยงามที่เกิดขึ้นในเกมนี้ และอาจจะพูดได้ว่าเป็นความไม่สวยงามของยูโรหนนี้ก็ว่าได้ เพราะมันได้มาจากจังหวะที่น่ากังขา เมื่อ ราฮีม สเตอร์ลิง พยายามลากบอลแหวกแนวรับของเดนมาร์กในกรอบเขตโทษ โดยที่ดูเจตนาแล้วค่อนข้างชัดเจนว่าเป็นการพาบอลเข้าไปแบบ ‘หวังผล’

 

สถานการณ์ในช่วงก่อนที่สเตอร์ลิงจะตัดสินใจทำเช่นนั้น อังกฤษยังเสมอกับเดนมาร์กอยู่ 1-1 ซึ่งแม้จะเป็นฝ่ายที่เล่นได้เหนือกว่าและเริ่มสร้างแรงกดดันมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่ว่าจะพยายามเท่าไร ก็ยังไม่สามารถเจาะผ่านแนวรับของอดีตแชมป์เทพนิยายในปี 1992 ได้เลย

 

โดยเฉพาะ แคสเปอร์ ชไมเคิล ที่เล่นในฟอร์มระดับโลก ตลอดทั้งเกมเซฟมากถึง 9 ครั้ง (รวมลูกจุดโทษของเคนด้วย) เป็นคนที่เซฟมากที่สุดในการลงสนามหนึ่งนัดในยูโรหนนี้ ซึ่งจังหวะที่เซฟแต่ละลูกก็ล้วนแต่ยากทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นลูกที่สเตอร์ลิงหลุดเข้ามายิง, ลูกโหม่งของ แฮร์รี แม็กไกวร์ หรือลูกยิงของเคนที่เกิดขึ้นในกรอบเขตโทษทั้งหมด

 

ในความต้องการชัยชนะ สเตอร์ลิงก็มีสิทธิ์ที่จะเล่นหวังประโยชน์แบบนี้ แต่สิ่งที่เป็นปัญหาคือการที่ผู้ตัดสินให้จุดโทษอย่างมั่นใจ และยังยืนกรานคำตัดสินเดิมหลังจากที่ VAR ได้เช็กและแจ้งข้อมูลให้ทราบ

 

ขณะที่ผู้คนทั่วโลกมองเห็นแบบเดียวกันว่าจังหวะนี้ไม่ควรเป็นจุดโทษ เพราะสเตอร์ลิงมีเจตนาที่จะทิ้งตัวเพื่อเรียกจุดโทษ (ซึ่งความจริงควรจะโดนใบเหลือง)

 

อาร์แซน เวนเกอร์ ปราชญ์ลูกหนังชาวฝรั่งเศส ซึ่งเป็นคณะทำงานของ FIFA ได้แสดงความเห็นในรายการของช่อง beIN SPORTS ว่า “ผมไม่เข้าใจว่าทำไมเป็นลูกจุดโทษ ทำไมผู้ตัดสินถึงไม่ยอมไปดูที่จอก่อน ในสถานการณ์แบบนั้นเขาควรจะต้องทำทุกอย่างด้วยความชัวร์ที่สุด”

 

เช่นเดียวกับคู่ปรับเก่าของเวนเกอร์อย่าง โชเซ มูรินโญ ที่นั่งวิเคราะห์เกมให้กับเว็บไซต์ชื่อดัง talkSPORT ก็ให้ความเห็นตรงกัน “ผมเห็นในสิ่งที่ผมเห็น ซึ่งมันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่มันเป็น บางทีคุณอาจจะไม่ชอบความเห็นของผมในครั้งนี้ก็ได้ เพราะมันไม่ใช่ลูกจุดโทษแน่นอน อังกฤษเป็นทีมที่ดีกว่าและสมควรได้รับชัยนะ พวกเขาเล่นได้วิเศษ แต่สำหรับผม ลูกนี้ไม่ใช่ลูกจุดโทษแน่นอน”

 

ที่แย่กว่านั้นคือในจังหวะที่ปีกจากแมนเชสเตอร์ ซิตี้ พาบอลตัดจากกราบขวาเข้ามานั้นมีลูกบอลอยู่ในสนามถึง 2 ลูก ซึ่งปกติแล้วเกมจะต้องหยุดและให้เริ่มเล่นใหม่เท่านั้น (ในเกมนี้ก็มีจังหวะที่บอลเข้ามาในสนาม 2 ลูกพร้อมกัน และต้องหยุดเพื่อเล่นใหม่)

 

นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้สื่อของเดนมาร์กไม่พอใจอย่างรุนแรง โดย BT หนังสือพิมพ์แท็บลอยด์ชื่อดังของประเทศพาดหัวตัวไม้ว่า “เดนมาร์กถูกโกง” ซึ่งไม่ต้องมีการตีความอะไรให้มากมาย เป็นตามนั้นเลย

 

ขณะที่ Ekstra Bladet แท็บลอยด์อีกฉบับพาดหัวว่า ‘ฮุลมานด์พิโรธ’ โดย แคสเปอร์ ฮุลมานด์ โค้ชของทีมชาติเดนมาร์ก ไม่พอใจผู้ตัดสินอย่างมากที่ไม่กลับคำตัดสินเรื่องจุดโทษ ทั้งๆ ที่มีบอลอยู่ในสนามอีกลูกหนึ่ง

 

สื่อในเดนมาร์กอีกหลายแห่งยังเล่นประเด็นที่มีแฟนบอลยิงแสงเลเซอร์ใส่ที่ตาของชไมเคิลในช่วงก่อนที่เคนจะยิงจุดโทษ (ขนาดนั้นก็ยังเซฟได้) ซึ่งเป็นการกระทำที่เลวร้ายและแสดงให้เห็นถึงการขาดสปิริตของแฟนบอล

 

แฟนบอลเดนมาร์กรายหนึ่งโพสต์ทวิตเตอร์ว่า “มิน่า ทุกคนถึงต้องประหลาดใจว่าทำไมไม่มีใครชอบอังกฤษเลย ทั้งโห่ตอนเพลงชาติเดนมาร์กขึ้น, พุ่งล้มตลอดเวลาในเกม, ชักศอกทุกจังหวะที่ขึ้นโหม่ง ใช้ปากกาเลเซอร์ก่อกวน ผมหวังว่าพวกเขาจะได้เจอกับรสชาติของความเจ็บปวดในเกมกับอิตาลี”

 

แต่ถึงจะตกรอบอย่างน่าเจ็บปวด ทีมชาติเดนมาร์กคือหนึ่งในเรื่องราวที่สวยงามที่สุดสำหรับการแข่งขันครั้งนี้แล้ว และพวกเขาก็เล่นอย่างสุดความสามารถ สู้ด้วยหัวใจทุกนัดที่ลงสนาม และแน่นอนสิ่งที่เกิดขึ้นกับ คริสเตียน อีริกเซน ก็เป็นเรื่องที่คงไม่มีใครลืม

 

ขอบคุณเดนมาร์กที่แสดงให้เห็นถึงคุณค่าของชีวิต และการทำเพื่อคนอื่นนั้นคือพลังที่แรงกล้ามากแค่ไหน

 

England

 

เพราะไม่อยากผิดหวังอีกแล้ว จึงสมหวังในที่สุด

ถึงชาวโลกและโดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวเดนมาร์กจะรู้สึกว่าพวกเขาเป็นผู้ที่ ‘ถูกกระทำ’ แต่สำหรับชาวเมืองผู้ดีแล้ว การผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศของทีมชาติพวกเขาในครั้งนี้คือหนึ่งในวันเวลาที่ดีที่สุดของชีวิตเลยก็ว่าได้

 

เพราะหลังจากที่ถูกค่อนแคะมานาน “ไหนว่าเป็นชาติต้นกำเนิดฟุตบอล” (ซึ่งหากจะถกเถียงกันทางประวัติศาสตร์นั้นต้องรบกวน พี่วิทย์ สิทธิเวคิน มาให้ความรู้ในรายการ ‘8 Minutes History’ ที่อาจจะไม่ได้จบใน 8 นาที แต่ยาวถึง 120 นาที!) และ “ไหนว่าเป็นลีกอันดับหนึ่งของโลก” แต่ความสำเร็จของอังกฤษนั้นน้อยนิดเหลือเกินเมื่อเทียบกับชาติมหาอำนาจอื่น

 

เรื่องนี้เป็น ‘ปม’ ในใจของพวกเขามายาวนานกว่า 55 ปี หรือเกือบหนึ่งชั่วอายุคน และสายเลือดใหม่ 2-3 รุ่น และเป็นสิ่งที่อังกฤษอยากจะสะสางความคาใจนี้ให้ได้ ซึ่งที่ผ่านมาทำได้เพียงแค่การผ่านมาถึงรอบรองชนะเลิศของฟุตบอลโลก 1990, ฟุตบอลยูโร 1996 และฟุตบอลโลก 2018

 

‘Three Lions’ ไม่เคยไปได้ไกลกว่านั้นเลย

 

และเพราะเหตุนี้อาจทำให้เราเข้าใจกับแนวทางการทำทีมของ แกเร็ธ เซาท์เกต ผู้จัดการทีมคนปัจจุบันมากยิ่งขึ้น ว่าทำไมในฟุตบอลยูโรหนนี้อังกฤษจึงเลือกเล่นในแนวทางที่สวนทางกับชาวบ้านชาวช่อง ที่เน้นฟุตบอลเกมรุกที่รวดเร็ว ดุดัน มันสะเด่า เมื่อเล่นแบบช้า เน้นความแน่นอน และลดความเสี่ยงทุกอย่างโดยไม่จำเป็น เพราะพวกเขาไม่อยากที่จะผิดหวังอีกต่อไปแล้ว

 

วิธีเล่นของอังกฤษคือการเล่นแบบไม่ได้ไม่เป็นไร อย่างน้อยก็ต้องไม่เสียไว้ก่อน ตัวที่ลงสนามจะต้องเป็นคนที่เล่นได้ตามเกมแพลนและ Job Description แบบเป๊ะๆ โดยหัวใจอยู่ที่ไลน์แบ็กโฟร์ (หรือแบ็กทรีในเกมกับเยอรมนี) และคู่กองกลางตัวรับในแบบ Double Pivot ดีแคลน ไรซ์ และ คาลวิน ฟิลลิปส์ ที่ลงตัวอย่างไม่น่าเชื่อ

 

ทั้ง 6 คนนี้จะไม่ขยับเติมเกมขึ้นมาโดยไม่จำเป็น ไม่มีการเติมมั่วซั่ว บอลออกจากเท้าต้องแน่นอน ไม่รีบ เล่นช้าๆ และอดทนให้มาก ที่เหลือถ้าสบโอกาสก็ใช้ตัวรุกเข้าทำโดยไม่ต้องเน้นจำนวนคนมาก แต่ต้องได้ผล หรือรอจนกว่าคู่แข่งอ่อนแรง (เหมือนเดนมาร์ก)

 

นั่นเป็นเหตุผลที่นักเตะที่แฟนบอลชื่นชอบอย่าง แจ็ค กรีลิช หรือ จาดอน ซานโช แทบไม่ได้โอกาสในการลงสนาม หรือหากให้ลงก็ลงแบบเสียมิได้ เป็นการตัดสินใจที่ขัดใจแฟนๆ อย่างมาก

 

แต่หากมองผลงานในสนาม นักเตะที่เซาท์เกตไว้ใจมากที่สุดคือ ราฮีม สเตอร์ลิง รองลงมาในเวลานี้คือ บูกาโย ซากา ที่มาแรงแซงหน้ารุ่นพี่ทุกคน สองคนนี้เป็นผู้เล่นในแบบเดียวกันคือ เป็นตัวริมเส้นความเร็วสูงที่มีความสามารถในการสร้างสรรค์เกมได้ดี ทะลวงเข้าพื้นที่ว่างหลังแนวรับได้ โดยมีเคนที่โรยตัวลงมาเป็นคนป้อนบอลให้ หรือการเปิดทะลุจากแบ็ก และการวางบอลยาวจากฟิลลิปส์เอา

 

เล่นแบบนี้อาจจะไม่โดนใจแฟน แต่ได้ผลงาน ซึ่งสุดท้ายเมื่อได้ผลงาน ก็โดนใจแฟนได้เหมือนกัน

 

ที่สำคัญที่สุด ผู้คนจะจดจำประวัติศาสตร์อย่างคร่าวๆ เหมือนเช่น อังกฤษคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 1966 ไม่ได้มาสนใจว่าระหว่างทางพวกเขาผ่านอะไรมาบ้าง เจออะไรมาบ้าง ดังนั้นหากสุดท้ายอังกฤษเอาชนะอิตาลี คว้าแชมป์ยูโรครั้งนี้ได้ นั่นคือสิ่งสำคัญที่สุดแล้ว ไม่มีสิ่งอื่นนอกเหนือไปจากนี้

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising