อีลอน มัสก์ ซีอีโอของ Twitter ได้ออกมาเปิดเผยว่ายักษ์สื่อสังคมออนไลน์กำลังถึง ‘จุดคุ้มทุน’ เนื่องจากผู้ลงโฆษณาส่วนใหญ่กลับมาแล้ว และความพยายามในการลดต้นทุนเชิงรุกเริ่มส่งผลหลังจากการเลิกจ้างจำนวนมาก
มัสก์ให้สัมภาษณ์กับ BBC ที่ออกอากาศสดทาง Twitter Spaces ว่า Twitter มีพนักงานประมาณ 1,500 คนในขณะนี้ ซึ่งลดลงอย่างมากจากจำนวนพนักงานราว 8,000 คน ก่อนที่เขาจะเข้ามารับตำแหน่งในเดือนตุลาคม
ในครั้งนั้นชายผู้ก่อตั้ง Tesla และ SpaceX ได้ซื้อ Twitter ด้วยมูลค่า 4.4 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยเมื่อถูกถามว่าเขารู้สึกเสียใจหรือไม่ที่ซื้อ Twitter ชายผู้ร่ำรวยที่สุดอันดับสองของโลกกล่าวว่า มีความเจ็บปวดค่อนข้างมาก และเขาต้องซื้อเพราะถูกบังคับจากผู้พิพากษา
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- Twitter ประกาศเลย์ออฟพนักงานอีก 200 ตำแหน่ง หรือราว 10% จากจำนวนลูกจ้างทั้งหมดของบริษัท
- สื่อนอกแฉ Twitter ถูกยื่นฟ้องด้วยข้อหาเบี้ยวหนี้แล้วอย่างน้อย 6 ครั้ง นับตั้งแต่ อีลอน มัสก์ เข้าซื้อกิจการ
- อีลอน มัสก์ กล่าวว่า Twitter กำลัง ‘มีแนวโน้มถึงจุดคุ้มทุน’ หลังจากที่เขาต้องกอบกู้จากการ ‘ล้มละลาย’
เมื่อพูดถึงช่วงเวลาที่เขาถือหางเสือเรือจนถึงตอนนี้ มัสก์บอกว่า “มันไม่น่าเบื่อเลย มันค่อนข้างจะเหมือนรถไฟเหาะตีลังกา” โดยเฉพาะ “สถานการณ์ที่ค่อนข้างตึงเครียดในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา” แต่เขายังคงรู้สึกว่าการซื้อบริษัทเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
ตลอดเวลาที่ผ่านมา Twitter เต็มไปด้วยความโกลาหลและความไม่แน่นอน หลังจากมีการปลดพนักงานรวมถึงวิศวกรหลายคนที่รับผิดชอบในการแก้ไขและป้องกันบริการขัดข้อง โดยเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว Twitter ประสบปัญหาบั๊กที่ทำให้ผู้ใช้งานหลายพันคนไม่สามารถเข้าถึงลิงก์ได้ ซึ่งเป็นการหยุดทำงานครั้งใหญ่ครั้งที่ 6 นับตั้งแต่ต้นปี
มัสก์กล่าวว่า Twitter อยู่ในสถานการณ์กระแสเงินสดติดลบ 3 พันล้านดอลลาร์ และต้องดำเนินการขั้นรุนแรง ซึ่งหมายถึงการปลดพนักงานจำนวนมาก
“เราอาจมีกระแสเงินสดเป็นบวกในไตรมาสนี้ได้หากสิ่งต่างๆ เป็นไปด้วยดี” เขากล่าวในการให้สัมภาษณ์ที่ดึงดูดผู้ฟังมากกว่า 3 ล้านคน โดยเสริมว่าปัจจุบันบริษัทมีผู้ใช้สูงเป็นประวัติการณ์
Twitter ได้รับผลกระทบจากการโฆษณาที่ลดลงอย่างมากตั้งแต่เขาเข้าซื้อกิจการ ซึ่งมัสก์กล่าวว่าเป็นเพราะธรรมชาติของเม็ดเงินโฆษณาที่เป็นวัฏจักร แต่ตอนนี้เม็ดเงินได้กลับมาแล้ว
ทั้งนี้ มัสก์มีทรัพย์สินส่วนตัวประมาณเกือบ 1.9 แสนล้านดอลลาร์ ทำให้เขากลายเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดเป็นอันดับสองของโลก ตามรายชื่อมหาเศรษฐีของ Forbes
อ้างอิง: