ถึงแม้ว่าปัจจุบันยอดการใช้งานของยานยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle: EV) จะมีสัดส่วนเพียงประมาณ 10 ล้านคันจากทั่วโลก และในปี 2020 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นปีที่ยอดขายรถยนต์ทั่วโลกชะลอตัว แต่ยอดขายของ EV กลับทะยานขึ้นถึง 41% จากปีก่อนหน้า จึงทำให้สปอตไลต์เริ่มสาดแสงมาที่ EV ว่าเหตุใดกระแสแห่งความนิยมจึงเกิดขึ้นพร้อมกันจากทั่วทุกมุมโลก
โดยเรื่องนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของการเปลี่ยนแปลงการขับขี่ยานยนต์บนท้องถนนเท่านั้น แต่หลายๆ ประเทศได้ยกให้การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นวาระแห่งชาติ ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา ผู้ผลิตรถยนต์หลายแห่งได้เปิดเผยแผนธุรกิจของบริษัทโดยการเข้าสู่แผนการลงทุนในรถยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบ อาทิ เมื่อเร็วๆ นี้ Mercedes-Benz ประกาศว่า ภายในปี 2565 บริษัทจะมีรถยนต์ไฟฟ้าแบบใช้แบตเตอรี่ (BEV) ในทุกเซกเมนต์รถยนต์ของบริษัท และนับตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้นไป รถยนต์รุ่นใหม่ที่เปิดตัวออกมาทั้งหมดจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น การออกมาประกาศเช่นนี้ตอกย้ำผู้ใช้รถว่า EV ไม่ใช่เป็นเรื่องเทรนด์อีกต่อไป แต่ EV กำลังจะเข้ามาแทนที่รถยนต์แบบเดิมที่เราเคยใช้กันภายในระยะเวลาที่เร็วกว่าที่คิด
ส่วนคำถามที่ว่าเหตุใด EV จึงเป็นคำตอบของยานยนต์ในปัจจุบันนั้น วันนี้ผมได้รวบรวมคำตอบมาให้ 3 ข้อ ดังนี้ครับ
- สัมผัสการขับขี่ที่สนุกขึ้นด้วยราคาที่เอื้อมถึง ในเรื่องของราคารถยนต์นั้นมีหลากหลาย แต่หากพูดถึงรถยนต์สมรรถนะสูงระดับ Supercar นั้น ทุกคนย่อมทราบกันดีว่ามีราคาสูงจับต้องได้ยาก แต่ EV ได้ทลายกำแพงนั้นไปหมดสิ้น ด้วยการสร้างปรากฏการณ์ที่ให้ผู้ซื้อรถสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในการเข้าถึงรถสมรรถนะสูงได้หลายเท่า แต่สัมผัสได้ถึงความสนุกสนานในการขับขี่มากขึ้น ด้วยอัตราเร่งที่รวดเร็ว มีแรงบิดสูงในทันที และจุดศูนย์ถ่วงต่ำ ทำให้ EV เป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ชื่นชอบรถยนต์ ไม่เพียงเท่านี้ EV ยังถูกออกแบบมาให้ใช้ประโยชน์ได้มากกว่าที่จะเป็นของเล่นคนรวยเช่นรถสปอร์ตในอดีต แต่ยังมีฟังก์ชันในการเพิ่มที่นั่งผู้โดยสาร และสามารถบรรทุกสัมภาระสำหรับการเดินทางได้อย่างลงตัว
- ค่าใช้จ่ายประจำวันและค่าบำรุงรักษาที่ถูกกว่า การซื้อรถหนึ่งคันปกติจะมีค่าใช้จ่ายตามมา 2 ส่วน คือ ค่าพลังงานและค่าบำรุงรักษา แต่ในการขับขี่รถ EV นั้น จะช่วยประหยัดต้นทุนทั้งสองส่วนนี้ลงไปได้อย่างมาก เพราะค่าพลังงานจากการชาร์จไฟฟ้าประมาณ 7.5 บาทต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง ทำให้มีต้นทุนต่อกิโลเมตรถูกกว่ารถยนต์สันดาปอย่างน้อยสองเท่า (การเปรียบเทียบต้นทุนต่อกิโลเมตรตามการวิจัยของ ชาร์จ แมเนจเม้นท์ (SHARGE) ประมาณการไฟฟ้าที่ใช้คือ 7.5 บาท หากค่าใช้จ่ายที่บ้านจะลดลงเหลือ 5.0 บาท) ส่วนเรื่องต้นทุนในการบำรุงรักษาที่ถูกกว่ารถยนต์สันดาป เป็นเพราะ EV มีจำนวนชิ้นส่วนเครื่องยนต์น้อยเพียง 1/3 ของรถยนต์สัปดาปทั่วไป ทั้งยังไม่ต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง และไม่ต้องบำรุงรักษาบ่อยครั้ง
- ดีกว่าสำหรับสิ่งแวดล้อม แม้ว่าการผลิตไฟฟ้านั้นจะยังมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ แต่จากการผสมผสานการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทยในการผลิตไฟฟ้า 1 kWh (หน่วย) เราจะผลิตคาร์บอนไดออกไซด์ได้ประมาณ 397 กรัม เมื่อเปรียบเทียบการปล่อยก๊าซเฉลี่ยกรัมต่อกิโลเมตร EV จะลดการปล่อยคาร์บอนประมาณ 40% ต่อกิโลเมตร ซึ่งน้อยกว่ารถยนต์สันดาปที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา 100% การใช้ EV จึงช่วยลด PM2.5 และปัญหาสุขภาพอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากมลพิษในอากาศ
การเปลี่ยนผ่านจากรถยนต์สันดาปไปสู่ EV นั้นจึงไม่ใช่เรื่องส่วนบุคคล แต่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงไปสู่ระดับโลก โดยเฉพาะการที่ผู้ขับขี่รถยนต์ทุกคนมีส่วนร่วมในการลดคาร์บอนไดออกไซด์ ช่วยสร้างสภาพแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนที่ดีขึ้นในระยะยาว ด้วยต้นทุนการดำเนินงานที่ถูกกว่า และการเปลี่ยนแปลงนี้ยังนำไปสู่ความสามารถในด้านการแข่งขันระดับอุตสาหกรรมที่สามารถเพิ่มผลผลิต ตลอดจนลดต้นทุนการขนส่งและนำไปสู่การเพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้านราคาในที่สุด
นอกจากนี้มองว่าสิ่งสำคัญอีกประการคือการจัดทำ EV Ecosystem หรือ ระบบนิเวศที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์ไฟฟ้าทั้งหมด ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญที่ต้องมีการวางแผนอย่างบูรณาการเช่นกัน โดยทั้งหมดนี้จะส่งผลให้ EV เป็น Win-Win for the Economy ‘วิน-วิน’ ที่ดีกว่าสำหรับเจ้าของและดีกว่าสำหรับทุกคนที่อยู่รอบตัว
