จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศไทยที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ นอกเหนือจากผลกระทบทางสุขภาพของคนไทยแล้ว อีกผลกระทบที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานี้คือ เด็กๆ ด้อยโอกาสที่ครอบครัวมีฐานะยากจนจำนวนมากกำลังจะต้องออกจากระบบการศึกษา เนื่องจากครอบครัวส่วนใหญ่สูญเสียรายได้ ไม่มีงานทำ สุดท้ายตัวเลขของเด็กที่ต้องออกจากระบบการศึกษาก็จะกลายเป็นปัญหาในระยะยาว
เพื่อหยุดยั้งปัญหาดังกล่าว ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) จึงได้เห็นชอบในการปรับปรุงแผนปฏิบัติงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 เพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์โควิด-19 โดยสาระสำคัญของแผนปฏิบัติงานดังกล่าวมีดังนี้
- เร่งเบิกจ่ายเงินอุดหนุนช่วยเหลือนักเรียนยากจนพิเศษจำนวน 711,536 คน ครอบคลุมสถานศึกษาจำนวน 27,805 แห่งทั่วประเทศ ตั้งแต่เปิดเทอม 1/2563
- อนุมัติปรับโครงการจัดการศึกษาเชิงพื้นที่เพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ให้สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้รวดเร็วและกว้างขวางขึ้น โดยจะช่วยเหลือกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งเป็นเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาจำนวนไม่น้อยกว่า 20,000 คน ให้ได้รับการฝึกอาชีพหรือเตรียมส่งกลับเข้าสู่ระบบการศึกษาที่เหมาะสม
นอกจากนี้ยังช่วยเหลือเด็กปฐมวัยในครอบครัวยากจนหรือด้อยโอกาสให้เข้ารับบริการในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวนไม่น้อยกว่า 40,000 คน โดยมีการปรับอัตราเงินช่วยเหลือเด็กปฐมวัยให้ใกล้เคียงกับทุนเสมอภาคอีกด้วย
ผู้จัดการ กสศ. กล่าวว่า เด็กเหล่านี้เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงทั้งในด้านสุขภาพและความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ ครอบครัวของเด็กและเยาวชนส่วนใหญ่มีอาชีพรับจ้างรายวัน คาดการณ์ว่า หากสถานการณ์โรคโควิด-19 รุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง การเกิดการสูญเสียรายได้เป็นเวลานาน จะมีแนวโน้มออกจากระบบการศึกษาเพิ่มมากขึ้นในช่วงเปิดเทอมที่จะถึงนี้
โดยโครงการเงินอุดหนุนนักเรียนยากจนพิเศษอย่างมีเงื่อนไข หรือนักเรียนทุนเสมอภาคที่ กสศ. ร่วมกับ สพฐ. ตชด. และ อปท. นั้นจะทำให้เราเข้าถึงเด็กกลุ่มนี้ได้มากขึ้นทั่วประเทศ โดยจะช่วยเหลือในอัตรา 3,000 บาทต่อคนต่อปี เพื่อบรรเทาอุปสรรคในการมาเรียน เป็นค่าครองชีพ ค่าเดินทาง และค่าอาหาร
พร้อมกันนี้ได้ปรับแผนขยายเวลาการจัดสรรเงินอุดหนุนแบบมีเงื่อนไข สำหรับนักเรียนกลุ่มใหม่ ได้แก่ ชั้นอนุบาล 1, ป.1 และ ม.1 รวมถึงนักเรียนตั้งแต่ชั้นอนุบาล – ม.3 ที่ครอบครัวได้รับผลกระทบฉับพลันจากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 และยังไม่เคยได้รับการสนับสนุนจาก กสศ. เพื่อไม่ให้มีเด็กและเยาวชนคนใดตกหล่น
โดย กสศ. และคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ประมาณการค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาเฉลี่ยต่อนักเรียนของครัวเรือนยากจนในสถานศึกษารัฐในเดือนแรกของการเปิดภาคเรียน จำแนกตามระดับการศึกษาและรายการใช้จ่าย พ.ศ. 2560 (บาทต่อคน) พบว่า ครัวเรือนที่ยากจนที่สุด 10% แรกของประเทศไทยมีค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาที่นอกเหนือจากค่าธรรมเนียมการศึกษาที่รัฐออกให้ค่อนข้างสูงโดย
– ระดับประถมศึกษามีค่าใช้จ่าย 1,796 บาทต่อคน
– ระดับมัธยมต้น 3,001 บาทต่อคน
– ระดับมัธยมปลาย 3,738 บาทต่อคน
– ระดับอาชีวะ 4,829 บาทต่อคน
ซึ่งหากคิดเทียบเฉลี่ยต่อรายได้ของครัวเรือนกลุ่มนี้พบว่า ครัวเรือนยากจนในชั้นรายได้ที่ 1 มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนเพียงประมาณ 2,020 บาทต่อเดือนเท่านั้น
“ตัวเลขนี้สะท้อนว่า ครัวเรือนยากจนต้องรับภาระค่าใช้จ่ายในช่วงเปิดเทอมเกือบทั้งหมดของรายได้เฉลี่ยต่อเดือนที่ครอบครัวได้รับ ในขณะที่ครัวเรือนที่มีบุตรหลานอยู่ในระดับชั้นมัธยมศึกษาสายสามัญและอาชีวศึกษา ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายของเดือนแรกของการเปิดภาคเรียนมากกว่ารายได้เฉลี่ยต่อเดือนที่ได้รับ
“เมื่อสถานการณ์การระบาดที่มีแนวโน้มรุนแรง ทำให้ครอบครัวของเด็กกลุ่มนี้ขาดรายได้อย่างต่อเนื่อง ย่อมไม่สามารถแบกรับค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาของลูกหลานได้ จะทำให้ตัวเลขเด็กหลุดนอกระบบของประเทศก้าวกระโดดขึ้นในช่วงอีก 2-3 เดือนข้างหน้านี้ ทั้งนี้ กสศ. ทำงานกับเด็กด้อยโอกาสหลายกลุ่ม และมีมาตรการช่วยเหลือพิเศษในประเด็นความเดือดร้อนเร่งด่วนสำหรับกลุ่มเด็กนอกระบบ เด็กในระบบที่ครอบครัวได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ” สุภกรกล่าว
ด้าน ศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ ที่ปรึกษากองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) กล่าวว่า กรุงเทพมหานครมีชุมชนอยู่ราว 2,070 ชุมชน มีเด็กนอกระบบรวมถึงเด็กที่ทำงานบนท้องถนนกระจายอยู่ชุมชนละ 50-80 คน รวมประมาณ 6,000-10,000 คน กลุ่มนี้เป็นคนหาเช้ากินค่ำที่ฝังตัวอยู่ในเมืองใหญ่อย่างถาวร และเมื่อเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ต้องแออัดอยู่ในชุมชน ในบ้านเล็กแคบกับสมาชิกครอบครัวที่หนาแน่น ที่สำคัญยังขาดความรู้ในการป้องกันตนเองที่เหมาะสม ขาดแคลนสิ่งจำเป็นสำหรับสุขอนามัยในชีวิตประจำวัน เช่น อาหารสะอาด เจลล้างมือ หรือหน้ากากอนามัย รวมถึงการเข้าไม่ถึงข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์จากรัฐ ทำให้ประชากรในกลุ่ม 20% ล่างสุด ตกหล่นจากสวัสดิการ การช่วยเหลือของรัฐ
ศ.ดร.สมพงษ์ กล่าวว่า เบื้องต้น กสศ. จะร่วมมือกับเครือข่ายภาคประชาสังคม มูลนิธิต่างๆ ที่ดูแลเด็กกลุ่มนี้อยู่ เพื่อหาทางเข้าให้ถึงกลุ่ม 20% ล่างสุด และเร่งดำเนินการในสองส่วน คือ
- มาตรการระยะสั้น สำรวจแนวโน้มของผลกระทบเพื่อช่วยเหลือเร่งด่วน โดยเบื้องต้น ปัญหาพื้นฐานที่เราพบคือ การขาดแคลนอาหาร กสศ. จึงประสานความร่วมมือทุกภาคส่วนจัดหาสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะข้าวสารและอาหารแห้ง นำไปมอบเพื่อประทังความขาดแคลนในชุมชนต่างๆ ให้ได้อย่างน้อยเป็นระยะเวลา 2 สัปดาห์ – 1 เดือน
- มาตรการระยะฟื้นฟู เพื่อเตรียมการรองรับการเปิดเทอมที่เด็กกลุ่มนี้จะต้องมีค่าใช้จ่ายที่นอกเหนือจากค่าเทอม ราว 3,000-5,000 บาทต่อคน ซึ่งจะมีเด็กที่พ่อ แม่ ผู้ปกครอง ได้รับผลกระทบเพิ่มขึ้นในปีการศึกษาหน้านี้ และอาจมีความเสี่ยงไม่ได้กลับมาเรียนหนังสืออีก ในส่วนนี้ถือว่าเป็นงานสำคัญของ กสศ. ที่จะต้องเป็นสื่อกลางในการประสานทุกฝ่ายเพื่อหาทางช่วยเหลือ เพื่อไม่ให้มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลังท่ามกลางวิกฤตครั้งนี้
ทองพูล บัวศรี หรือครูจิ๋ว มูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก กล่าวว่า ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา หลังรัฐบาลขอความร่วมมือประชาชนให้อยู่บ้าน หลังเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้เด็กกลุ่มที่เคยออกไปทำงานขายของหรือหาเลี้ยงชีพบนถนนขาดรายได้ ทางมูลนิธิสร้างสรรค์เด็กจึงลงพื้นที่เยี่ยมเด็กๆ และครอบครัวเพื่อหาทางช่วยเหลือเป็นรายกรณี
“ในระยะต้น เราเน้นการช่วยเหลือประเด็นเร่งด่วนก่อน ซึ่งพบว่า ปัญหาสำคัญคือ การขาดแคลนอาหารและความรู้ในการป้องกันตัวเองจากโรคระบาด มูลนิธิจึงร่วมกับกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา นำถุงยังชีพที่ประกอบด้วย ข้าวสารและอาหารแห้ง เข้าไปมอบให้กลุ่มเด็กนอกระบบ เด็กบนท้องถนน กลุ่มแม่และเด็กเร่ร่อน พร้อมให้ความรู้เรื่องการป้องกันตัวเองจากโรคโควิด-19 เริ่มจากการลงพื้นที่ชุมชน โค้งรถไฟยมราช ชุมชนเปรมฤทัย สำโรงเหนือ สมุทรปราการ ชุมชนใต้ทางด่วนสุขุมวิท 1 ชุมชนถนนเพชรบุรีตัดใหม่ โดยคำนวณว่า ต่อครอบครัวเด็กๆ จะกินข้าวประมาณเท่าไร อย่างน้อยเบื้องต้นจะอยู่ได้ประมาณ 1 สัปดาห์ เวลานี้เรื่องอาหารและความรู้ในการดูแลป้องกันตนเองคือสิ่งแรกๆ ที่พวกเขาต้องได้รับ” ทองพลูกล่าว
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล