×

กกต. ชี้แจงไม่ได้กลั่นแกล้งพิธา กระบวนสืบสวนไต่สวนยังไม่เสร็จสิ้น รอนำคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญมาประกอบการตัดสินใจ

โดย THE STANDARD TEAM
17.08.2023
  • LOADING...
กกต.

วานนี้ (16 สิงหาคม) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เผยแพร่ข้อความชี้แจงข้อมูลที่คลาดเคลื่อนต่อความเป็นจริง กรณีที่ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส. บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความว่า “คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนของ กกต. มีมติยกคำร้องในคดีอาญา มาตรา 151 ตามข้อกล่าวหาว่า รู้อยู่แล้วว่าตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง เนื่องจากขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น สส. ได้สมัครรับเลือกตั้งหรือทำหนังสือยินยอมให้พรรคการเมืองเสนอรายชื่อเพื่อสมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ…” 

 

โดยระบุว่า จากกรณีที่เป็นข่าวว่าพิธาเป็นผู้ถือหุ้นบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น สส. โดยเป็นผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ กกต. จึงได้ตั้งคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนฯ เพื่อพิจารณาว่าฝ่าฝืนมาตรา 151 แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง สส. พ.ศ. 2561 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2566 (พ.ร.ป.สส.) หรือไม่ประการใดนั้น

 

กกต. ขอชี้แจงว่า ในการเลือกตั้ง สส. เป็นการทั่วไป พ.ศ. 2566 มีผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวน 3 ราย ได้ยื่นคำร้องต่อสำนักงาน กกต. กล่าวหาว่าพิธาเป็นผู้ถือหุ้นบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) จำนวน 42,000 หุ้น อันเป็นกิจการสื่อมวลชน เชื่อว่าเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 98 (3) แห่งรัฐธรรมนูญ ฉบับปัจจุบัน แต่คำร้องดังกล่าวยื่นเกินกำหนดระยะเวลาตามที่กฎหมายบัญญัติ กกต. จึงมีมติสั่งไม่รับคำร้องดังกล่าว

 

แต่เมื่อ กกต. ได้พิจารณาแล้วเห็นว่ารายละเอียดที่ปรากฏตามข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานของผู้ยื่นคำร้อง มีเหตุอันควรเชื่อว่าพิธาอาจเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้สมัครรับเลือกตั้ง สส. โดยมีเหตุอันควรสงสัยหรือความปรากฏ จึงได้มีมติแต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนฯ เพื่อให้ดำเนินการสืบสวนฯ ให้เป็นไปตามมาตรา 151 พ.ร.ป.สส. ว่าพิธากระทำการฝ่าฝืนกฎหมายหรือไม่ประการใด 

 

ขณะนี้การดำเนินการสืบสวนไต่สวนยังไม่เสร็จสิ้นและได้ข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติ โดยอยู่ในระหว่างกระบวนการสืบสวนไต่สวนเป็นไปตามลำดับชั้นตามระเบียบและกฎหมาย หลังจากนั้นจะได้นำเสนอข้อเท็จจริงข้อกฎหมายและความเห็นต่อ กกต. ให้เป็นผู้พิจารณาและมีคำสั่งต่อไป

 

โดยเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2566 กกต. ได้ประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง ทำให้พิธามีสมาชิกภาพเป็น สส. แบบบัญชีรายชื่อ แต่ปรากฏว่า กกต. ได้พิจารณามีข้อเท็จจริงและมีเหตุอันควรสงสัยหรือความปรากฏ เชื่อได้ว่าพิธาอาจเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น สส. ตามมาตรา 98 (3) อันเนื่องมาจากการเป็นผู้ถือหุ้นบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) อาจมีผลทำให้สมาชิกภาพ สส. ของพิธาต้องสิ้นสุดลงตามมาตรา 101 (6) แห่งรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ดังนั้นจึงมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อให้ทำหน้าที่รวบรวมข้อเท็จจริง พยานหลักฐาน ข้อกฎหมาย และความเห็น เสนอต่อ กกต. ให้พิจารณาสั่งการต่อไป 

 

โดยคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเห็นว่ามีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าสมาชิกภาพความเป็น สส. ของพิธา อาจมีเหตุสิ้นสุดลง จึงเสนอความเห็นต่อ กกต. ให้มีมติยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อวินิจฉัยให้เป็นไปตามบทบัญญัติของมาตรา 82 แห่งรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันต่อไป 

 

กกต. ขอชี้แจงว่า คณะกรรมการฯ ตามที่ได้รับแต่งตั้งจาก กกต. จำนวน 2 คณะ เป็นผู้ที่มีหน้าที่และอำนาจที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยมีความเป็นอิสระ ไม่ขึ้นตรงภายใต้การบังคับบัญชาซึ่งกันและกัน 

 

ดังนั้นคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนฯ จะมีความเห็นเป็นเช่นใด ถือได้ว่าเป็นดุลยพินิจแห่งตนโดยแท้ อันเป็นความเห็นเบื้องต้นเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสืบสวนและไต่สวนเท่านั้น โดยจะมีกระบวนการและขั้นตอนที่จะต้องปฏิบัติตามระเบียบสืบสวนไต่สวนอีกหลายขั้นตอน กระบวนการดังกล่าวยังไม่สิ้นสุด หลังจากนั้นเมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการที่บัญญัติไว้ตามกฎหมายแล้ว จะนำเสนอความเห็นต่อ กกต. พิจารณาในลำดับสุดท้าย

 

การพิจารณาเสนอความเห็นว่าพิธากระทำความผิดตามมาตรา 151 พ.ร.ป.สส. หรือไม่ กกต. จะต้องนำคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมาใช้ประกอบการตัดสินใจที่จะดำเนินคดีอาญากับพิธาหรือไม่ประการใด อันเป็นหลักประกันว่าบุคคลจะได้รับโทษในทางอาญา เปิดโอกาสให้ผู้ถูกกล่าวหาสามารถนำพยานหลักฐาน ข้อเท็จจริง และข้อกฎหมาย มาต่อสู้และหักล้างข้อกล่าวหาได้ทุกประเด็น

 

สำหรับการยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยกรณีสมาชิกภาพ สส. ของพิธามีเหตุต้องสิ้นสุดลง เป็นการดำเนินการตามมาตรา 82 แห่งรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน เป็นระบบไต่สวน ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญสามารถใช้อำนาจดังกล่าวที่จะตรวจสอบข้อเท็จจริงและแสวงหาพยานหลักฐานจากแหล่งต่างๆ ได้ด้วยตนเอง กกต. ไม่มีอำนาจในการวินิจฉัยสั่งการให้คดีที่ส่งไปยังศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นไปในทางหนึ่งทางใดตามที่ กกต. ต้องการ 

 

ศาลรัฐธรรมนูญจึงเป็นผู้มีอำนาจในการพิจารณาวินิจฉัยว่าพิธาเป็นผู้ถือหุ้นในกิจการสื่อมวลชนหรือไม่ หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเป็นประการใด ย่อมส่งผลโดยตรงต่อสมาชิกภาพการเป็น สส. ของพิธาเฉพาะตน โดยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญผูกพันทุกองค์กร

 

ดังนั้นกระบวนการในการดำเนินคดีอาญาตามมาตรา 151 พ.ร.ป.สส. ต่อพิธา จึงยังไม่เสร็จสิ้นหรือมีผลเป็นที่สุดเด็ดขาด กกต. จึงไม่ได้กลั่นแกล้งหรือจงใจที่จะทำให้พิธาต้องได้รับโทษตามกฎหมายใดๆ ทั้งสิ้น การนำข้อมูลมาเสนอต่อสาธารณชนอันอาจทำให้ประชาชนเกิดความสับสนและเข้าใจผิดว่า กระบวนการตามมาตรา 151 พ.ร.ป.สส. เป็นกระบวนการเดียวกันกับการยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยชี้ขาดเรื่องคุณสมบัติตามมาตรา 82 แห่งรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน จึงขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข่าวดังกล่าวข้างต้น

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising