×

นักเศรษฐศาสตร์ลุ้นการตั้งรัฐบาลใหม่ราบรื่น ช่วยหนุนเศรษฐกิจไทย ชี้หากล่าช้าจะยิ่งส่งผลกระทบต่อการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ

15.05.2023
  • LOADING...

นักเศรษฐศาสตร์จากหลายสำนักคาดรัฐบาลใหม่ใช้เวลาจัดตั้งไม่เกิน 3 เดือน หากราบรื่นจะเป็น Upside ทางเศรษฐกิจ สร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนต่างชาติ ในทางกลับกันหากเกิดปัญหาล่าช้า จะกระทบการพิจารณาอนุมัติงบประมาณปี 2567

 

ฐิติมา ชูเชิด ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยด้านเศรษฐกิจ และตลาดการเงิน ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) กล่าวว่า ขณะนี้เริ่มมีความชัดเจนแล้วว่าพรรคการเมืองฝ่ายเสรีนิยมจะร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล อย่างไรก็ดี ยังคงต้องจับตาดูว่าการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีจะสามารถทำได้เร็วหรือไม่ เพราะยังมีปัจจัยเรื่องเสียงของ ส.ว. ขณะเดียวกันพรรคก้าวไกลที่เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลเองก็มีเงื่อนไขในเรื่องการเซ็น MOU ซึ่งเป็นกระบวนการที่อาจต้องใช้เวลา 

 

“เราประเมินว่ารัฐบาลใหม่จะจัดตั้งได้ภายในเดือนสิงหาคม หากทุกอย่างราบรื่นและมีความชัดเจน ก็จะช่วยสร้างความเชื่อมั่น เป็นผลบวกหรือ Upside ต่อเศรษฐกิจไทยในปีนี้ Fund Flow อาจไหลเข้ามามากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง แต่ในกรณีที่การตั้งรัฐบาลล่าช้ากว่า 3 เดือน ผลกระทบต่อการเบิกจ่ายงบประมาณจะยิ่งมากขึ้น หรือในกรณีเลวร้ายที่มีการประท้วง มีสถานการณ์รุนแรง เราอาจจะได้เห็นเงินไหลออกแทน” ฐิติมากล่าว

 

ฐิติมาระบุว่า อีกหนึ่งปัจจัยที่ต้องติดตามต่อไปคือการดำเนินนโยบายของรัฐบาลใหม่ ที่แม้จะเป็นฝ่ายเสรีนิยมเหมือนกัน แต่มีนโยบายทางเศรษฐกิจที่ค่อนข้างต่างกัน โดยต้องจับตาดูว่าพรรคใดจะได้เข้าไปคุมกระทรวงอะไร และนโยบายใดบ้างจะถูกหยิบยกมาขับเคลื่อนจริง การเรียงลำดับความสำคัญของนโยบายจะเป็นอย่างไร นอกจากนี้ยังมีพรรคก้าวไกลที่พูดถึงภารกิจใน 100 วันแรกที่จะเข้ามาทำ ซึ่งเป็นโจทย์ที่มีความท้าทาย

 

“ถ้าดูการศึกษานโยบายพรรคการเมืองของ TDRI จะพบว่านโยบายเศรษฐกิจของพรรคก้าวไกลส่วนใหญ่จะใช้วิธีตัดงบ หรือโยกงบจากส่วนอื่นมาดำเนินนโยบายของตัวเอง รวมถึงมีแผนจะเพิ่มรายได้ ซึ่งไม่ค่อยน่ากังวลในแง่การคลัง แต่ของพรรคเพื่อไทยยังไม่ค่อยชัดเจนว่าจะใช้เงินจากส่วนใดและต้องกู้ยืมหรือไม่” ฐิติมากล่าว

 

ฐิติมากล่าวว่า แม้สถานการณ์การเมืองในประเทศยังมีความแน่นอนอยู่บ้าง แต่ SCB EIC ยังคงประมาณการ GDP ไทยในปีนี้ไว้ที่ 3.9% เนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาสแรกของสภาพัฒน์ออกมาที่ 2.7% ค่อนข้างสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 2.3% ซึ่งเมื่อดูที่ไส้ในจะพบว่าการบริโภคเอกชนปรับตัวค่อนข้างดี ขณะที่การส่งออกก็ไม่ได้แย่มากนัก นอกจากนี้ยังมีการใช้จ่ายในช่วงเลือกตั้งในไตรมาส 2 ที่จะเข้ามาช่วยหนุน เมื่อหักลบกับการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐของรัฐบาลรักษาการณ์ที่อาจทำได้ไม่เต็มที่ ตัวเลข GDP จึงไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมนัก

 

ด้านณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวว่า ศูนย์วิจัยฯ ยังคงประมาณการเศรษฐกิจไทยปีนี้ไว้ที่ 3.7% แต่ยอมรับว่ามีความเสี่ยงด้านต่ำหรือ Downside ทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอกที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด โดยในส่วนของปัจจัยภายในคือเรื่องการเลือกตั้ง ที่แม้จะผ่านไปแล้ว แต่ประเด็นเรื่องการจัดตั้งรัฐบาล การบริหารราชการ และการดำเนินนโยบายตามที่หาเสียงไว้ยังเป็นปัจจัยที่ต้องติดตามต่อ

 

“ฉากทัศน์ที่เรามองไว้ตอนนี้คือรัฐบาลใหม่จะจัดตั้งได้ในเดือนสิงหาคม-กันยายน ทำให้คาดว่าการทำ พ.ร.บ.งบประมาณปี 2567 อาจจะไม่ทันเดือนตุลาคม แต่ถ้าเลื่อนจะอยู่ในช่วงไตรมาส 4 ซึ่งในกรณีนี้จะเป็น Upside ต่อเศรษฐกิจ สร้างความเชื่อมั่น แต่ถ้าการตั้งรัฐบาลมีปัญหา การเบิกจ่ายงบประมาณต้องล่าช้าไปถึงไตรมาสแรกของปีหน้า ผลกระทบต่อเศรษฐกิจก็จะมากขึ้น” ณัฐพรกล่าว

 

สำหรับปัจจัยภายนอกที่ต้องติดตามคือภาวะเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาที่ยังมีปัญหาอยู่หลายเรื่อง แม้ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ Fed จะใกล้จบรอบการขึ้นดอกเบี้ยแล้ว แต่เงินเฟ้อที่ยังสูงกว่าเป้าหมาย ปัญหาวิกฤตในภาคธนาคารและเพดานหนี้ รวมถึงความเสี่ยงเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ก็ยังเป็นเรื่องที่ต้องติดตาม 

 

“ปัจจัยภายนอกอาจมีน้ำหนักต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปีนี้มากกว่าปัจจัยภายใน เพราะแม้การจัดตั้งรัฐบาลอาจล่าช้าไปบ้าง แต่ถ้าท่องเที่ยวไม่สะดุด เราจะยังโตได้” ณัฐพรกล่าว

 

ทิม ลีฬหะพันธุ์ นักเศรษฐศาสตร์ ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) กล่าวว่า ธนาคารยังมีมุมมองเชิงบวกต่อเศรษฐกิจไทย แม้ว่าการเติบโตในช่วงครึ่งปีแรกยังต้องเผชิญกับการส่งออกที่ติดลบ นักท่องเที่ยวจีนยังเข้ามาไม่เยอะมาก และการเบิกจ่ายงบประมาณของรัฐบาลรักษาการณ์ที่ทำได้ไม่เต็มที่ แต่เชื่อว่าในครึ่งปีหลังการเติบโตจะทำได้ดีขึ้นจากการมีรัฐบาลใหม่เข้ามาบริหารประเทศ มีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ และเป็นช่วงไฮซีซันของการท่องเที่ยว

 

ทิมคาดว่าเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีแรกจะขยายตัวที่ 2.9% ส่วนครึ่งปีหลังจะโตได้ 5.7% ทำให้ GDP ทั้งปีอยู่ที่ 4.2% โดยรัฐบาลใหม่น่าจะเริ่มทำงานได้อย่างเต็มที่ และออกมาตรการกระตุ้นการบริโภคได้อย่างเร็วที่สุดในเดือนกรกฎาคม อย่างไรก็ดี ในช่วง 2 เดือนจากนี้ยังต้องติดตามว่าการรวมเสียงเพื่อจัดตั้งรัฐบาลและโหวตนายกฯ จะมีปัญหาหรือไม่ ถ้าไม่มีปัญหาจนเกิดเป็นภาวะสุญญากาศ เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง โดยนโยบายการคลังอาจเข้ามามีบทบาทขับเคลื่อนเศรษฐกิจเสริมจากการบริโภคเอกชนและท่องเที่ยวได้ในช่วงปลายปี 

 

“ตอนนี้ยังเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการจัดตั้งรัฐบาล เราเพิ่งจะมีคะแนนให้ได้วิเคราะห์สูตรต่างๆ ซึ่งคาดว่าอาจยังต้องใช้เวลา 2-3 เดือน ต่างชาติก็รอดูความชัดเจนอยู่ ถ้าไม่มีปัญหาอะไร ครึ่งปีหลังเราอาจได้เห็น Fund Flow เข้ามาในตลาดไทยมากขึ้น” ทิมกล่าว 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising