“มองไม่เห็นใช่ว่าไม่สำคัญ” นี่ไม่ใช่ถ้อยคำตัดพ้อใคร แต่เรากำลังให้คำนิยามกับสิ่งมีชีวิตที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าอย่าง ‘จุลินทรีย์’ แต่กลับให้ประโยชน์กับร่างกายมหาศาล

 

ไม่มีอะไรดี 100% จุลินทรีย์ก็เช่นกัน
เรื่องของสิ่งมีชีวิตตัวจิ๋วกำลังเป็นที่พูดถึงอย่างมากในแง่ที่มันมีผลกระทบมหาศาลต่อร่างกาย โดยเฉพาะจุลินทรีย์ที่อาศัยในลำไส้ แต่ใช่ว่าจุลินทรีย์ทุกสายพันธุ์จะมีประโยชน์ เพราะจุลินทรีย์มีทั้งดีและไม่ดี จุลินทรีย์ดียิ่งมีเยอะก็ยิ่งดีต่อร่างกาย ในทางกลับกัน ถ้ามีจุลินทรีย์ไม่ดีในร่างกายเยอะ จะกระทบต่อระบบการทำงานต่างๆ เมื่อระบบรวนก็เตรียมรับมือกับสารพัดโรคร้ายที่จะตามมา และต่อให้โรคร้ายแสดงผลช้า แต่ผิวพรรณเหี่ยวเร็วแน่ อันนี้คอนเฟิร์ม!

 

จริงๆ แล้วเราทุกคนเกิดมาพร้อมกับจุลินทรีย์ชนิดดี พวกมันจะไปอาศัยที่ลำไส้เล็ก คอยสร้างสมดุลให้ระบบทางเดินอาหารและสร้างระบบภูมิคุ้มกันต่อสู้กับเชื้อโรคและพวกจุลินทรีย์ไม่ดีไม่ให้เข้าสู่ร่างกาย แต่แย่หน่อยนะ เพราะยิ่งอายุมากเท่าไร ความเข้มข้นของกรดในกระเพาะอาหารจะยิ่งลดลง พวกจุลินทรีย์ไม่ดีก็รอดตายบุกเข้าไปยึดพื้นที่ในลำไส้มากขึ้น เมื่อจุลินทรีย์ดีเริ่มน้อย ร่างกายก็เสียสมดุล ระบบภูมิคุ้มกันก็รวน

 

อย่าโทษสภาพความเข้มข้นของกรดอย่างเดียว คุณเองก็มีส่วนทำให้จุลินทรีย์ดีลดลงจากการกินอาหารไม่มีประโยชน์ พักผ่อนน้อย ความเครียด และการกินยาปฏิชีวนะ และคุณคนเดียวกันนี่แหละที่จะเติมจุลินทรีย์ดีในร่างกายได้เช่นกัน 

 

 

Probiotic จุลินทรีย์ชนิดดีที่ควรเติมเข้าร่างกายมากที่สุด
ในบรรดาจุลินทรีย์ดีหลากสายพันธุ์ Probiotic เป็นสุดยอดจุลินทรีย์ที่ควรได้รับโนเบลสาขาสร้างประโยชน์ให้ร่างกายที่สุด และยังเป็นจุลินทรีย์ที่เติมเข้าร่างกายได้ง่ายสุดจากการกิน วงการแพทย์และผู้เชี่ยวชาญโภชนาการต่างประเทศให้ความสนใจถึงประโยชน์ของ Probiotic กันมานานแล้ว มีตั้งแต่งานวิจัยวิชาการหนักๆ หรือบทความอ่านง่ายที่แนะนำให้คุณเติม Probiotic ด้วยการกินโยเกิร์ต กิมจิ หรือมิโซะ ไปจนถึงสูตรการทำเครื่องดื่มและกิมจิด้วยตัวเอง

ร่างกายที่อุดมด้วย Probiotic ดีอย่างไร
เปรียบเทียบให้เห็นภาพก็คงเหมือนคุณมี Iron Man เป็นบอดี้การ์ดคอยปกป้องและปราบเหล่าจุลินทรีย์ร้าย ด้วยคุณสมบัติของ Probiotic ที่ทนต่อกรดและด่าง เมื่อไปอยู่บริเวณผิวเยื่อบุลำไส้จะผลิตสารต่อต้านหรือกำจัดเชื้อจุลินทรีย์ร้าย และยังช่วยรักษาสมดุลของจุลินทรีย์ในระบบทางเดินอาหาร ลองคิดดูว่า 70% ของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายเกิดขึ้นในระบบย่อยอาหาร Probiotic จะช่วยรักษาสมดุลให้ระบบทางเดินอาหาร ทั้งการย่อยที่ดี การดูดซึมที่มีประสิทธิภาพ และการขับถ่ายที่สมบูรณ์ และยังช่วยยับยั้งการเกิดจุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรคขึ้นภายในระบบย่อยอาหาร

 

 

 

B.LACTIS + LGG Duo Probiotic รวมพลังปรับสมดุลระบบทางเดินอาหาร
รู้แล้วว่า Probiotic จำเป็นต่อร่างกาย แต่อยากให้รู้อีกหน่อยว่า ไม่ใช่ Probiotic ทุกสายพันธุ์จะมีประโยชน์ต่อร่างกายเหมือนกัน ในบทความ The Best Probiotic Supplement for IBS ที่เขียนโดย Barbaba Bolen, Health coach บอกว่า มีการวิจัยและค้นคว้าเพื่อหาสายพันธุ์ Probiotic ที่มีประสิทธิภาพในการรักษาโรค IBS ซึ่งเป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับการทำงานผิดปกติของระบบทางเดินอาหารโดยเฉพาะลำไส้ จนพบว่าสายพันธุ์กลุ่ม Bifidobacterium และ Lactobacillus คือสองสายพันธุ์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด หากชี้เฉพาะลงไปอีกจากสองกลุ่มนี้จะพบว่า สายพันธุ์ที่นำมาใช้มากที่สุดและมักพบในส่วนประกอบของโยเกิร์ตคือ Bifidobacterium lactis (B.LACTIS) และ Lactobacillus rhamnosus GG หรือ LGG

งานวิจัยที่เผยแพร่ใน European Journal of Clinical Nutrition พบว่า เมื่อรับประทานอาหารที่มีส่วนประกอบของ Bifidobacterium lactis B.LACTIS ติดต่อกันเป็นเวลา 8 สัปดาห์ อาการภูมิแพ้ต่างๆ จะลดลง อาการอักเสบก็ลดลง เนื่องจาก B.LACTIS ทำหน้าที่เปลี่ยนแปลงการซึมผ่านของผนังลำไส้ จึงช่วยป้องกันไม่ให้สารก่อการอักเสบเข้ากระแสเลือด และยังได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลกว่ามีความปลอดภัยสูง ทนต่อกรดในกระเพาะอาหาร มีชีวิตอยู่ในลำไส้ได้นาน ในขณะที่ Lactobacillus rhamnosus GG หรือ LGG นั้น มีงานวิจัยตั้งแต่ปี 1985 โดยสองนักวิจัย Sherwood Gorbach และ Barry Goldin ว่าสามารถเกาะติดกับเยื่อบุลำไส้ได้ดี และเป็นเกราะป้องกันจุลินทรีย์ที่ก่อโรคเข้าสู่ร่างกาย ปลุกระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายให้ตื่นตัว และยังปล่อยสารฆ่าเชื้อดื้อยา ลดจำนวนจุลินทรีย์ก่อโรคได้

 

 

 

เลือกกิน ‘โยเกิร์ต’ แบบไหนให้ร่างกายได้ประโยชน์เต็มๆ
โยเกิร์ตดูจะเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการเติม Probiotic ให้กับร่างกาย ประเด็นคือ ในท้องตลาดผลิตภัณฑ์โยเกิร์ตมีมากมาย จะเลือกอย่างไรดี ง่ายสุดก็คืออ่านส่วนประกอบข้างบรรจุภัณฑ์ว่ามีส่วนประกอบของ Bifidobacterium lactis (B.LACTIS) และ Lactobacillus rhamnosus GG (LGG) หรือไม่ เพิ่มความมั่นใจอีกหน่อยด้วยการเช็กแหล่งที่มาของวัตถุดิบและแบรนด์ที่น่าเชื่อถือ อย่าง Dutchie Bio ที่มี Duo Probiotic ทั้งสองชนิด LGG จากฟินแลนด์ และ B.LACTIS จากเดนมาร์ก ที่มีประสิทธิภาพทนต่อกรดในกระเพาะอาหาร และอยู่ในลำไส้ได้นานกว่าจุลินทรีย์ทั่วไป

ความดีงามของ Dutchie Bio ที่มีส่วนผสมของ Duo Probiotic นอกจากพุ่งเป้าเข้าแก้ไขปรับสมดุลทางเดินอาหาร ยับยั้งจุลินทรีย์ร้ายที่ทำให้เกิดโรค งานวิจัยต่างๆ ยังระบุว่า หากรับประทานผลิตภัณฑ์ที่มีจุลินทรีย์ Probiotic เป็นประจำ ยังช่วยบรรเทาอาการภูมิแพ้ ลดอาการอักเสบ แผลเรื้อรังก็ไม่มาวุ่นวาย คอเลสเตอรอลก็ลดลง โดยเฉพาะปัญหาพุงป่อง เพราะระบบขับถ่ายไม่ดี Duo Probiotic นี่แหละจะช่วยเคลียร์ปัญหานี้ให้หมดสิ้น พอขับถ่ายง่าย ของเสียไม่สะสมในร่างกาย ก็ได้กำไรเป็นผิวพรรณที่สดใส

ถ้าอยากให้ได้ผลลัพธ์อย่างที่บอก แนะนำให้กิน Dutchie Bio ช่วงเย็นหรือก่อนนอนเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง จะช่วยให้การทำงานของลำไส้ใหญ่บีบตัวและกำจัดสิ่งหมักหมมออกจากร่างกาย… กังวลละสิว่ากินก่อนนอนจะอ้วนไหม งั้นลอง Dutchie Bio รสวุ้นมะพร้าวและสตรอว์เบอร์รี น้ำตาลน้อย ไขมันต่ำ วิตามินดีและแคลเซียมสูง ที่สำคัญ Lactose Free ย่อยง่าย สบายท้อง และรสออริจินัล เนื้อสัมผัสเนียน นุ่ม ทานง่าย อร่อยได้ประโยชน์

 

 

แต่ถ้าอยากสวยครบสูตร ผิวสดใส ขับถ่ายคล่องทันตาเห็น ท้าให้ลอง Dutchie Bio ต่อเนื่องกัน 7 วัน #7dayschallenge แล้วมาแชร์ภาพ Before & After โชว์พุงเรียบไว้อวดชาวโซเชียล แล้วก็อย่าลืมติด #DutchieBio #ดัชชี่ไบโอ #อร่อยดูดีแฮปปี้เรื่องขับถ่าย ด้วยล่ะ จะตามไปกดเลิฟคนสุขภาพดีด้วย Dutchie Bio

 

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า

อ้างอิง:

• บทความ The Best Probiotic Supplement for IBS www.verywellhealth.com/before-you-take-probiotics-for-ibs-1944991 
• บทความ Learn about the world’s most researched lactic acid bacterium www.valio.com/articles/learn-about-the-worlds-most-researched-lactic-acid-bacterium