ทุกวันนี้เรื่องของศัลยกรรมความงามเป็นเรื่องที่เปิดกว้างมากขึ้น คนที่สนใจสามารถเลือกทำศัลยกรรมได้โดยไม่ต้องปกปิดเหมือนในอดีต เทคนิคการแพทย์ รวมถึงอุปกรณ์เครื่องมือต่างๆ ก็ล้ำสมัย จึงช่วยให้การทำศัลยกรรมไม่น่ากลัวอีกต่อไป โดยเฉพาะศัลยกรรม ‘ดึงหน้า’ ที่ทำแล้วราวกับได้เปลี่ยนเป็นคนใหม่ที่ดูอ่อนวัยลงกว่าเดิม จริงๆ แล้วการดึงหน้าสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้แบบนั้นจริงหรือ? THE STANDARD POP มีโอกาสได้สัมภาษณ์ นพ.ธนัญชัย อัศดามงคล แพทย์เฉพาะทางด้านศัลยกรรมตกแต่ง ผู้อำนวยการศูนย์ศัลยกรรมความงาม โรงพยาบาลบางมด เพื่อไขข้อสงสัยทุกเรื่องที่น่ารู้เกี่ยวกับการทำศัลยกรรม โดยเฉพาะศัลยกรรมดึงหน้าเทคนิคใหม่ หรือ Modern Facelift ที่เป็นเทคนิคเฉพาะของบางมด ที่มีเสียงตอบรับที่ดีจากคนไข้ที่ทำศัลยกรรมดึงหน้ามาแล้วมากมาย อะไรคือจุดเด่น ช่วงอายุที่เหมาะสมในการดึงหน้า รวมถึงคำแนะนำในการรักษาอย่างปลอดภัย ทุกประเด็นที่สงสัยเรารวบรวมคำตอบมาไว้ให้แล้ว
ความหมายที่แท้จริงของศัลยกรรมความงาม
นพ.ธนัญชัย: จริงๆ แล้วศัลยกรรมความงาม เป็นส่วนย่อยของศัลยกรรมตกแต่ง (Plastic Surgery) จากศัลยกรรมตกแต่ง มันจะถูกแบ่งเป็น Reconstruction Surgery กับ Aesthetic Surgery ยกตัวอย่างศัลยกรรมแบบ Reconstruction ก็อย่างเช่น การผ่าตัดคนที่มีความบกพร่องทางร่างกาย ทำให้กลับมาใกล้เคียงปกติ เช่น เป็นโรคปากแหว่งเพดานโหว่ หรือแผลจากอุบัติเหตุ จมูกหัก หน้าหัก แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก การรักษาแบบนี้ก็จะเรียกว่าเป็นแบบ Reconstruction หรือศัลยกรรมตกแต่งที่เกี่ยวกับเรื่องการรักษา ส่วน Aesthetic Surgery เป็นส่วนหนึ่งของศัลยกรรมตกแต่งเหมือนกัน เป็นการทำให้คนทั่วไปเกิดความสวยงามมากขึ้น ผ่านการปรับแต่งส่วนต่างๆ ของร่างกาย ซึ่งหมอคิดว่าการทำศัลยกรรมความงามมันเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ คำว่าศาสตร์ คือเราต้องทำให้ถูกต้องตามหลักการแพทย์ อีกส่วนหนึ่งที่ฝั่งศิลป์ แต่ละคนแน่นอนว่าถึงแม้จะทำได้ถูกต้องตามศาสตร์ แต่หมอ 10 คนก็ทำจมูกออกมา 10 ทรง มันอยู่ที่ศิลปะและฝีมือของแต่ะคน หมอศัลยกรรมความงามจึงต้องมีทั้งศาสตร์และศิลป์ควบคู่กันไป
มุมมองเทรนด์ความงามของคนไทย
นพ.ธนัญชัย: เทรนด์ความงามเป็นสิ่งที่คนให้ความสนใจมากขึ้นทุกปี ซึ่งมาจาก 2 สาเหตุหลักๆ คือมุมมองหรือค่านิยมที่มีต่อการทำศัลยกรรมความงามดีขึ้น ถ้าเป็นเมื่อก่อนเวลาไปทำศัลยกรรมมาส่วนใหญ่ต้องปกปิด แต่ปัจจุบันคนให้การยอมรับมากขึ้น อย่างที่สองคือสังคมมีมุมมองที่มีต่อคนทำศัลยกรรมเปลี่ยนไปเยอะเลย เมื่อก่อนคนที่ไปทำศัลยกรรมมาจะถูกมองว่าเป็นคนที่มีความบกพร่องทางร่างกาย หรือไม่สวยไม่หล่อเลยต้องไปทำศัลยกรรม พอไปทำมาแล้วก็เลยไม่อยากให้ใครรู้ เพราะกลัวจะถูกมองว่าเป็นคนที่บกพร่อง หรือไม่สวยไม่หล่อ แต่สำหรับมุมมองคนทั่วไปในปัจจุบันที่มีต่อคนทำศัลยกรรม เขาจะมองว่ามันคือการดูแลตัวเอง ทำไปเพื่อเสริมสร้างความมั่นใจ ทำไปเพื่อส่งเสริมและเติมเต็มความสุขในชีวิต สำหรับบางคนเก็บเงินมาทำศัลยกรรมเพื่อเป็นรางวัลชีวิตกับให้กับตนเองก็มี เห็นได้ชัดว่ามุมมองเกี่ยวกับการทำศัลยกรรมมีความเป็น Positive มากขึ้น
นพ.ธนัญชัย: นอกจากมุมมองที่มีต่อคนทำศัลยกรรมในปัจจุบันจะเปลี่ยนไปเชิงบวกแล้ว อีกประการหนึ่งที่ทำให้คนสนใจทำศัลยกรรมมากขึ้นกว่าแต่ก่อน คือเทคนิคและเทคโนโลยีการผ่าตัดมันดีขึ้นเยอะเลย สมัยก่อนถ้าทำศัลยกรรมแต่ละครั้งจะบวมช้ำนาน แผลผ่าตัดก็ยาว ทำไปแล้วผลลัพธ์ก็ไม่เป็นธรรมชาติ แต่ปัจจุบันเทคนิคการผ่าตัดทำศัลยกรรมความงามแผลเล็กมาก เจ็บน้อย หายเร็ว และดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น คนก็เลยนิยมหันมาทำศัลยกรรมมากขึ้น
มุมมองฝีมือทางการแพทย์ของหมอศัลยกรรมไทย
นพ.ธนัญชัย: ถ้ามองจากมุมมองทางการแพทย์ ฝีมือเราทัดเทียม และในบางเรื่องเราดีกว่า จริงๆ มันมีหลายแง่มุม สมมติว่าเราจะมองในด้านการตลาด หลายประเทศมีการตลาดที่ดีกว่าเรา เช่น ในประเทศเกาหลีใต้ที่การโฆษณาเขาจะฟรีมาก สามารถขึ้นรูป Before-After หรือขึ้นรูปหมอตามคัตเอาต์ต่างๆ ได้หมดเลย แต่ในบ้านเรามันมีกฎแพทยสภา มีเกณฑ์บางอย่างที่ช่วยคุ้มครองผู้บริโภค ซึ่งจริงๆ หมอว่าเป็นข้อดี แต่ว่าถ้าเราพูดกันในแง่การตลาด ในต่างประเทศอาจได้เปรียบกว่า แต่ถ้าเราเปรียบเทียบกันในด้านการแพทย์ เทคนิค ฝีมือ หรือความเชี่ยวชาญของแพทย์ ฝีมือของแพทย์ไทยไม่เป็นรองที่ไหน อย่างในการประชุมระดับนานาชาติที่เกี่ยวกับด้านศัลยกรรมความงาม หมอไทยได้รับเชิญเป็นสปีกเกอร์ตลอด อย่างในโรงพยาบาลบางมดของเรา หมอเกาหลีใต้ หมอญี่ปุ่นก็เคยเข้ามาดูงาน เข้ามาศึกษาเทคนิคต่างๆ กับเราเหมือนกัน ดังนั้นความสามารถทางการแพทย์ วัสดุอุปกรณ์ และความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านของแพทย์ไทยเราไม่ได้เป็นรองประเทศไหนเลย
คลินิกความงามที่มีจำนวนมากส่งผลอย่างไรต่อวงการความงาม
นพ.ธนัญชัย: หมอมองว่ามันเป็นข้อดีนะ ยิ่งมีเยอะ ก็ยิ่งมีประโยชน์ต่อผู้บริโภค สามารถคัดเลือกได้ว่าที่ไหนมีความเหมาะสมกับตนเอง ทั้งเรื่องความปลอดภัย วัสดุทางการแพทย์ ฝีมือของแพทย์แต่ะละแห่ง รวมถึงความเหมาะสมกับงบประาณที่มี เพราะฉะนั้นยิ่งคลินิกความงามมีจำนวนมาก ข้อดีก็จะกลับไปที่คนทำศัลยกรรม ยิ่งการแข่งขันสูง ยิ่งทำให้โรงพยาบาลหรือคลินิกความงามแต่ละแห่งมุ่งมั่นพัฒนาศักยภาพให้ดีขึ้นรอบด้าน จะทำอย่างไรก็ได้ให้ผลลัพธ์ดี แต่ค่าใช้จ่ายน้อยลง เพื่อลดต้นทุน สุดท้ายผลประโยชน์ต่างๆ ก็จะกลับไปสู่ผู้บริโภค
ศัลยกรรมอะไรที่คนไทยนิยมทำมากที่สุด
นพ.ธนัญชัย: หมอจะแบ่งเป็นศัลยกรรมเล็กกับศัลยกรรมใหญ่ อย่างศัลยกรรมเล็กคือฉีดยาชาทำ ทำตามคลินิกหรือโรงพยาบาลได้ ทำเสร็จแล้วกลับบ้านได้เลย ส่วนศัลยกรรมใหญ่คือต้องดมยาสลบ ทำเสร็จต้องพักฟื้นในโรงพยาบาล มีการผ่าตัดที่ซับซ้อนมากกว่า ซึ่ง 3 อันดับศัลยกรรมเล็กที่คนทำเยอะมาก็จะเป็นการทำตา ทำจมูก และทำปากกับคาง ส่วน 3 อันดับศัลยกรรมใหญ่ที่ได้รับความนิยมก็จะมีการดึงหน้า การเสริมหน้าอก และการเสริมสะโพกกับดูดไขมัน ซึ่งที่โรงพยาบาลบางมดของเราก็สามารถให้บริการศัลยกรรมทั้งเล็กและใหญ่ได้ครอบคลุมทั้งหมด
เกี่ยวกับศัลยกรรมการดึงหน้าซึ่งเป็นที่นิยมในตอนนี้
นพ.ธนัญชัย: ศัลยกรรมการดึงหน้า มีชื่อทางการแพทย์ว่า Facelift ถ้าแปลตรงตัวให้เข้าใจง่ายๆ มันคือการผ่าตัดที่เรียกว่า Facelift ส่วนคำอื่นจะเป็นคำที่ถูกใช้ทางการตลาด ซึ่งคำว่า Facelift หรือการดึงหน้ามันมีเทคนิคเยอะมาก และมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องมาหลายสิบปี จริงๆ เมื่อการการผ่าตัดศัลยกรรมดึงหน้าคนไม่ค่อยนิยมทำกัน เพราะว่ามันใช้เวลาผ่าตัดนาน ต้องพักฟื้นนาน เพราะถือเป็นผ่าตัดใหญ่ บางคนกว่าจะผ่าตัดเสร็จเกือบหนึ่งวัน แล้วยังต้องพักฟื้นต่อกว่าจะเข้าที่ใช้เวลานานเป็นเดือน และสิ่งสำคัญคือเมื่อก่อนผลลัพธ์ที่ออกมามันดูไม่เป็นธรรมชาติ แต่ปัจจุบันได้รับความนิยมในการมาทำศัลยกรรมดึงหน้ากันเยอะมาก เพราะสิ่งที่เปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด คือเทคนิคการแพทย์ที่ดีขึ้น โดยเรามีเทคนิคการดึงหน้าที่เรียกว่า Modern Facelift เป็นเทคนิคดึงหน้าสมัยใหม่ ข้อดีคือผ่าตัดเฉพาะที่ได้ จากที่เมื่อก่อนต้องดึงหน้าทั้งหมด แต่ปัจจุบันเราสามารถแยกผ่าตัดดึงหน้าแบบใหม่ซึ่งเรียกว่าเป็น ‘เทคนิคบางมด’ สามารถเลือกทำเฉพาะส่วนที่มีปัญหาได้ ซึ่งจะแบ่งเป็น 4 ส่วน ประกอบด้วย หน้าผาก ใบหน้าส่วนบน ใบหน้าส่วนกลางและล่าง และสุดท้ายคือลำคอ พอเราแยกการดึงหน้าเป็นแต่ละส่วนที่ต้องการได้ มันทำให้การผ่าตัดใช้เวลาน้อยลง การพักฟื้นเร็วขึ้น และตรงจุดมากกว่า
นพ.ธนัญชัย: จากเทคนิคการผ่าตัดดึงหน้าดังกล่าว เราจะดึงในชั้นลึกมากขึ้นได้ เรียกว่าการดึงหน้าในชั้น SMAS ซึ่งสามารถดึงจากชั้นกล้ามเนื้อด้านในของใบหน้า ทำให้ผลลัพธ์ที่ออกมาดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น และอยู่ได้นานมากขึ้น อย่างใบหน้าของคนเรามี 5 ชั้น เมื่อก่อนการผ่าตัดดึงหน้าจะดึงแค่ 2 ชั้นแรก คือชั้นผิวหนัง ชั้นไขมัน ผลลัพธ์ที่ได้คือมันไม่เป็นธรรมชาติ และอยู่ไม่นานก็กลับมาใหม่ แต่ปัจจุบันเราสามารถดึงหน้าได้ถึงชั้น 3 เลย คือชั้น SMAS ผลลัพธ์จึงเห็นผลและดีกว่าเทคนิคเก่าๆ มาก มันทำให้แต่ละคนสามารถเลือกส่วนที่ต้องการเฉพาะจุดได้ ไม่ต้องทำทั้งหมด แก้ปัญหาเป็นส่วนๆ ไป ความพิเศษอีกอย่างคือเรามีการทำ Modern Facelift Grading หรือการตรวจความหย่อนคล้อยของใบหน้า เพื่อดูว่าแต่ละส่วนบนใบหน้ามีความหย่อนคล้อยเท่าไร แล้วเราก็ปรับการผ่าตัดให้แก้ปัญหาความหย่อนคล้อยตรงนั้น ส่วนไหนของใบหน้าที่หย่อนคล้อยไม่มาก ก็ยังไม่ต้องผ่าตัด หมอจะแนะนำให้ไปทำอย่างอื่นแทน เช่น ไปทำเลเซอร์ อัลเทอรา หรือโบท็อกซ์ ฟิลเลอร์ แต่ส่วนไหนที่หย่อนคล้อยอย่างชัดเจนก็ค่อยแนะนำเป็นการผ่าตัดดึงหน้าส่วนนั้น จุดเด่นโดยรวมในการทำ Modern Facelift คือแผลเล็ก เจ็บน้อย หายเร็ว และเป็นธรรมชาติมากขึ้น
ช่วงอายุที่เหมาะสมในการผ่าตัดดึงหน้า
นพ.ธนัญชัย: จริงๆ แล้วอายุน้อยลงกว่าเดิม ถ้าเป็นเมื่อก่อนคนที่จะดึงหน้าต้องอายุประมาณ 60-70 ปีถึงจะมาทำ แต่ปัจจุบันอายุประมาณ 30-40 ปีก็เริ่มมาทำแล้ว ซึ่งเป็นการดึงหน้าแค่บางส่วน โดยมากจะทำการดึงหน้าจากด้านบนมาก่อน เพราะคนช่วงวัย 30-40 ปี ตาอาจจะยังสวยอยู่ แต่หางตาหรือคิ้วเริ่มตกไปตามวัย บางคนเริ่มปรากฏรอยตีนกา ซึ่งถ้าเป็นเมื่อก่อนอายุ 30-40 ปี หมอไม่แนะนำให้ดึงหน้า ตรงกันข้ามกับปัจจุบันมันสามารถทำได้ด้วยเทคนิคทางการแพทย์ที่ดีขึ้น พอเราสามารถดึงหน้าแยกส่วนได้มันก็ทำน้อยลง แต่ตรงปัญหามากขึ้น ซึ่งสามารถแค่ฉีดยาชาทำได้โดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่ และใช้เวลาน้อยลง เช่น คนวัย 30-40 ปีที่มาดึงเฉพาะส่วน ใช้เวลา 30 นาทีก็เสร็จแล้ว ถือเป็นผ่าตัดเล็ก ดูแลง่าย
การดึงหน้าเหมาะกับใครบ้าง?
นพ.ธนัญชัย: หมอแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกคือคนที่มีปัญหาจริงๆ เช่น มีใบหน้าที่ดูหย่อนคล้อย ดูมีอายุมากกว่าวัยของเขา อย่างเช่น อายุ 40 ปี แต่ใบหน้าดูเหมือนคนอายุ 50-60 ปี แบบนี้ก็เรียกว่าอยู่ในกลุ่มที่มีปัญหาอย่างแท้จริงที่การดึงหน้าจะช่วยเขาได้ กลุ่มที่ 2 คือเป็นคนที่อาจจะมีใบหน้าตรงตามอายุอยู่แล้ว แต่ต้องการจะมีใบหน้าที่อ่อนเยาว์ลง ซึ่งสามารถทำได้ทั้งสองกลุ่ม แต่ว่าการผ่าตัดอาจจะได้รับคำแนะนำที่ไม่เหมือนกัน เพราะหมอต้องวิเคราะห์ตามลักษณะของความหย่อนคล้อยตามอายุ ดูลักษณะผิวหน้าว่าส่วนไหนควรทำอะไร ต้องมาตรวจวิเคราะห์กันก่อน
การดึงหน้าช่วยให้ดูลดอายุได้จริงหรือ
นพ.ธนัญชัย: สำหรับหมอมันขึ้นอยู่กับมุมมอง คือทางการแพทย์เขาจะไม่สามารถบอกได้ว่าทำเสร็จจะดูเหมือนอายุลดลงกี่ปีๆ แต่ตามหลักของแพทย์เขาจะพิจารณากันที่ร่องต่างๆ มันตื้นขึ้นแค่ไหน ริ้วรอยน้อยลงแค่ไหน ความหย่อนคล้อยมันก็สามารถวัดได้ว่าจากเกรด 4 เหลือเกรด 3 หรือเกรด 2 แต่เราจะไม่มีการบอกว่าใบหน้าของเขาจะดูเด็กลงหลาย 10 ปี แต่ก็จะมีสิ่งที่เรียกว่าปัจจัยที่ทำให้การดึงหน้าแล้วได้ผลลัพธ์ที่ดี เช่น คนไข้ที่มีริ้วรอย ใบหน้าหย่อนคล้อยเยอะ เวลาดึงหน้าเสร็จ จะเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน เพราะฉะนั้นคนไข้เขาจะรู้สึกได้ว่าใบหน้าของเขาดูอายุลดลงเป็นสิบๆ ปี แต่ถ้าเทียบกันกับคนที่อายุน้อยๆ ประมาณ 30-40 ปี แล้วมาดึงหน้า เขาอาจจะรู้สึกว่าหน้าเขาตึงขึ้น แต่อาจจะไม่ได้แตกต่างจากเดิมมาก เพราะมันมีหลายปัจจัยที่นำไปสู่ผลลัพธ์ที่ต่างกัน
คนที่สนใจการดึงหน้าควรเริ่มต้นอย่างไร
นพ.ธนัญชัย: สิ่งที่สำคัญที่สุดควรมาปรึกษาหมอก่อนเป็นอันดับแรก หมอจะทำการซักประวัติอย่างละเอียด เราจะไม่แนะนำให้ทำเยอะ จริงๆ ตามหลักการแพทย์ไม่ใช่ยิ่งทำเยอะยิ่งดีนะ แต่ตามหลักการแพทย์ยิ่งทำศัลยกรรมน้อยยิ่งดีมากกว่า เพราะฉะนั้นคนไข้ที่สนใจทำการดึงหน้าต้องมาตรวจวิเคราะห์ก่อน มีหลายคนเลยที่มาปรึกษาหมอว่าอยากทำทั้งหน้าเลย บางทีลิสต์มาเป็น 10 อย่างเลย แต่พอหมอวิเคราะห์ดูแล้วก็จะแนะนำให้ทำเฉพาะจุดที่มีปัญหา ก็จะทำน้อยลง จาก 10 อย่างที่อยากทำ อาจจะเหลือที่ต้องทำเพียง 1-2 อย่างเท่านั้นเอง พอทำน้อย ได้ผลลัพธ์ที่ดี มันก็จบ ยิ่งทำน้อยในจุดปัญหาจะยิ่งดีและปลอดภัยด้วย
ข้อควรระวังของคนที่ผ่าตัดดึงหน้ามีอะไรบ้าง
นพ.ธนัญชัย: ตามหลักการแพทย์ก็จะมีอยู่แล้ว อย่างแผลผ่าตัดก็ต้องห้ามโดนน้ำ รอให้แผลมันหายดีก่อน แล้วก็ทำการประคบเย็นไม่ให้มันบวมช้ำ การนอนหมอนสูงช่วยให้แผลยุบเร็ว ประกอบกับการรับประทานยา และเพื่อไม่ให้แผลติดเชื้อก็จะมียาแก้อักเสบ ยาแก้ปวด ยายุบบวมพวกนี้ ก็ต้องปฏิบัติตัวตามหลักการแพทย์ เพื่อให้แผลหายดี
ก่อนตัดสินใจดึงหน้าควรพิจารณาจากอะไรบ้าง
นพ.ธนัญชัย: การดึงหน้ามีหลายวิธี หลายเทคนิค แพทย์ที่ทำก็มีผล เพราะพอมันเป็นผ่าตัดใหญ่ ต้องอาศัยแพทย์ที่มีประสบการณ์ ถึงจะทำได้ดี ต้องมีความเชี่ยวชาญด้านนี้โดยเฉพาะ เทคนิคผ่าตัดก็มีหลายแบบมาก มันเลยมีราคาที่หลากหลายตามมาด้วย ดังนั้นถ้าจะให้แนะนำก็ต้องดู 3 อย่าง อย่างแรกให้พิจารณาเรื่องความปลอดภัย ถ้าเราไปทำในสถานพยาบาลที่เขาไม่มีวิสัญญีแพทย์ในการดมยาสลบ ไม่มีที่พักฟื้น ก็ถือว่าไม่ปลอดภัยแล้ว นี่พูดถึงเฉพาะอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยนะ อย่างที่สองค่อยมาดูเรื่องคุณภาพ ซึ่งก็คือเทคนิคต่างๆ ในการผ่าตัดว่าแตกต่างกันอย่างไร วิธีที่ดีที่สุดอาจจะพิจารณาจากประสบการณ์ตรงของคนใกล้ชิดตัวเอง เช่น ถ้ามีญาติ มีคนในครอบครัว หรือเพื่อนฝูงไปทำมาแล้วมีผลลัพธ์ที่ดี ย่อมน่าเชื่อถือได้มากกว่ารีวิวของคนที่เราไม่รู้จัก เมื่อเช็กเรื่องความปลอดภัย คุณภาพ แล้วค่อยมาดูเรื่องของราคา ซึ่งอยากให้เรียงลำดับความสำคัญแบบนี้มากกว่า
เลือกแพทย์อย่างไรให้ปลอดภัยมากที่สุด
นพ.ธนัญชัย: ที่ควรเช็กมี 2 อย่างคือ ดูว่าหมอมีประสบการณ์กี่ปี เรียนจบเฉพาะทางด้านไหนมา ซึ่งสามารถเช็กได้โดยเอาชื่อหมอไปเช็กจากจากฐานข้อมูลบนเว็บไซต์แพทยสภาได้เลย ข้อมูลจะบอกเลยว่าหมอแต่ละคนเป็นหมอทั่วไป หรือจบเฉพาะทางด้านไหนบ้าง และอีกอย่างที่ต้องเช็กคือสถานพยาบาล สามารถเช็กจากเว็บไซต์ สบส. (ที่นี่) ได้เช่นกันว่ามีการลงทะเบียนถูกต้องหรือไม่ แต่นี่คือการเช็กทั่วไป ซึ่งก่อนจะตัดสินใจควรไปพบหมอเพื่อปรึกษาและดูสถานที่จริงประกอบด้วยก็จะดีกว่า เพราะการเช็กผ่านเว็บไซต์มันสู้ประสบการณ์ตรงที่ได้เข้ามาพูดคุยและได้เห็นสถานที่จริงไม่ได้อยู่แล้ว
แนะนำเคล็ดลับสุขภาพผิวดีที่ทำได้เองที่บ้าน
นพ.ธนัญชัย: สุขภาพผิวดีมีอยู่ 2 ปัจจัยสำคัญหลัก หนึ่งคือความชุ่มชื้น ตามหลักการแพทย์เขามีวิจัยว่าคนที่ผิวแห้งมากๆ เทียบกับคนที่มีผิวชุ่มชื้น พบว่าคนที่มีผิวชุ่มชื้นหรือมีคอลลาเจนมากกว่า โอกาสที่ผิวหย่อนคล้อยจะมีน้อยกว่าคนผิวแห้ง จะสังเกตได้ว่าในตลาดของสกินแคร์ครีมทาหน้าต่างๆ ก็จะมีการเพิ่มมอยส์เจอไรเซอร์และสารบำรุงผิวต่างๆ เข้าไป เพื่อกระตุ้นให้ผิวหน้ามีคอลลาเจนมากขึ้น มีความชุ่มชื้นมากขึ้น ตรงนี้ก็สำคัญ ต้องดูว่าลักษณะผิวของเราเป็นอย่างไร อย่างที่ 2 คือการป้องกัน คือการป้องกันแสงแดด เพราะปัจจัยที่ทำให้ใบหน้าดูแก่เร็วคือ Photoaging คือการที่ผิวโดนแสง UV ทั้ง UVA และ UVB ถ้าออกแดดมากๆ ก็ต้องหมั่นทาครีมกันแดด และที่สำคัญไม่แพ้กันคือเรื่องของสุขภาพใจ มีผลอย่างมากต่อใบหน้า ถ้าเป็นคนที่มีความคิดแง่ลบ มีความเครียด กังวลใจ ทุกข์ใจ เศร้าใจ เหล่านี้จะมีผลต่อผิวได้เหมือนกัน มีงานวิจัยเยอะมากๆ ที่บอกว่าร่างกายกับจิตใจมันเชื่อมต่อกัน ถ้าจิตใจอยู่ในโหมด Negative Thoughts เยอะๆ สุดท้ายก็จะแสดงออกทางสีหน้า ใบหน้าก็จะดูอ่อนเพลีย ไม่สดใส คนที่กังวลเยอะๆ ก็จะดูแก่กว่าวัย
นพ.ธนัญชัย อัศดามงคล แพทย์เฉพาะทางด้านศัลยกรรมตกแต่ง ผู้อำนวยการศูนย์ศัลยกรรมความงาม โรงพยาบาลบางมด
- 2545-2550 แพทย์ศาสตร์บัณฑิต คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล (เกียรตินิยม อันดับ 2)
- 2551-2553 แพทย์ประจำ รพ.ทหารผ่านศึก, แพทย์ประจำ รพ.ศูนย์การแพทย์สมเด็จพระเทพฯ
- 2554-2558 แพทย์เฉพาะทางด้านศัลยกรรมตกแต่ง รพ.ศิริราช
- 2559-ปัจจุบัน แพทย์เฉพาะทางด้านศัลยกรรมตกแต่ง รพ.บางมด, ผู้อำนวยการศูนย์ศัลยกรรมความงาม รพ.บางมด, แพทย์เฉพาะทางด้านศัลยกรรมตกแต่ง รพ.ตำรวจ
ช่องทางการติดตามข่าวสารต่างๆ เพิ่มเติม
Facebook: Dr. Thananchai
Facebook: Bangmod Aesthetic Center
Website: www.bangmodaesthetic.com
YouTube: https://www.youtube.com/user/bangmodhos
LINE ID: @bangmod หรือ https://lin.ee/95cjegr
Instagram: bangmodaesthetic