×

จาก ปีศาจร้อยเอกยู สู่ สารวัตรทหารอัน ใน D.P. หน่วยล่าทหารหนีทัพ กับระบบอำนาจนิยมในกองทัพที่บ่มเพาะความรุนแรง

01.09.2021
  • LOADING...
D.P.

*บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาสำคัญของซีรีส์*

 

D.P. หน่วยล่าทหารหนีทัพ เป็นซีรีส์เกาหลีเรื่องใหม่จาก Netflix ความยาว 6 ตอน ที่เพิ่งขึ้นสู่อันดับหนึ่งบนชาร์ตประเทศไทยอย่างรวดเร็ว โดยเป็นเรื่องราวของทหารหนุ่มกับภารกิจเข้าเมืองตามล่าทหารหนีกองทัพ ไปพร้อมกับการตีแผ่ความโหดร้ายภายในค่ายทหารที่ยืนยันได้ว่าทวีคูณความเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกตอน

 

หนึ่งเหตุผลที่คนดูเฝ้ารอเรื่องนี้กันมานานคือ จองแฮอิน ผู้รับบทเป็น อันจุนโฮ ซึ่งเขาเคยรับบทเป็นทหารมาแล้วกับบท ยูจองอู ในเรื่อง Prison Playbook กำกับโดย ชินวอนโฮ (ตระกูล Reply และ Hospital Playlist) เขียนบทโดย จองโบฮุน (Racket Boys) ซีรีส์น้ำดีที่มอบทั้งเสียงหัวเราะ รอยน้ำตา และข้อคิดให้กับความผิดพลาดในชีวิต

 

ท่ามกลางเรื่องราวหลังกำแพงรั้วลวดหนาม การมาของ ‘ปีศาจร้อยเอกยู’ ในตอนแรกพาให้บรรยากาศในคุกอึมครึมอยู่พักหนึ่ง เพราะคดีของเขาเป็นคดีใหญ่ที่ทำให้คนทั้งประเทศโกรธแค้น จากการที่เขาซ้อมพลทหารคนหนึ่งจนช็อกและเสียชีวิต

 

ก่อนเรื่องราวจะค่อยๆ คลี่คลายว่าเขาเป็นเพียงแพะรับบาป ส่วนผู้ลงมือที่แท้จริงคือ จ่าสิบโอ (อีซังอี) ที่ยศน้อยกว่ายูจองอู แต่เพราะมีพ่อเป็น ส.ส. และสนิทกับผู้บัญชาการกองพล การใช้ความรุนแรงของเขาจึงถูกมองข้าม เพราะไม่มีใครกล้ายุ่งเกี่ยว 

 

เมื่อหลักฐานแวดล้อมถูกทำลาย มีเพียงคำให้การของพยานที่พูดตามคำสั่งของจ่าสิบโอว่า ร้อยเอกยูมักจะซ้อมพลทหารพัคเป็นประจำ รวมถึงวันที่เขาเสียชีวิตด้วย ยูจองอูจึงกลายเป็นอาชญากรที่สังคมตราหน้าว่าเป็นปีศาจอำมหิต

 

สิ่งที่น่าเศร้าไปกว่านั้นคือ ทหารทุกคนในห้องพักวันนั้นรับรู้เหตุการณ์ทั้งหมด แต่ไม่มีใครสักคนที่กล้าให้การตามความจริง

 

 

แต่เรื่องราวจบลงด้วยดี โดยมีทหารที่ทนแบกรับความรู้สึกผิดไม่ไหว เปลี่ยนมาเป็นพยานพร้อมยื่นหลักฐานให้ฝั่งยูจองอู จนสุดท้ายศาลยอมรับคำอุทธรณ์ เข้าสู่กระบวนการพาคนผิดตัวจริงมาลงโทษต่อไป

 

ทหารคนนั้นเล่าเสริมว่า มีครั้งหนึ่งที่วันลาหยุดของเขาหมดลง ประจวบกับที่แม่ป่วยเข้า ICU กะทันหัน ทำให้กลับมาค่ายช้าจนเกือบถูกแจ้งว่าหนีทหารไปแล้ว แต่ก็เป็นร้อยเอกยูที่บอกให้ทุกคนรอจนเขากลับมา แล้วยังแอบให้โทรศัพท์เพื่อติดต่อไปถามอาการของแม่ แม้จะผิดกฎระเบียบที่เข้มงวดของทหารก็ตาม

 

การ ‘หนีทหาร’ เป็นเรื่องใหญ่ภายในกองทัพ และเป็นพล็อตหลักของเรื่อง D.P. ที่ปล่อยหมัดฮุกตั้งแต่ตัวอย่างว่า “ถ้าเขาไม่ต้องไปเป็นทหาร เขาก็คงไม่ต้องหนีทหาร”

 

 

อย่างที่รู้กันดีว่าเกาหลีใต้และเกาหลีเหนือยังอยู่ในสภาวะสงคราม ชายเกาหลีทุกคนจึงต้องเกณฑ์ทหารอย่างเลี่ยงไม่ได้ เว้นแต่ว่าจะเปลี่ยนไปถือสัญชาติอื่น ใช้เส้นสายปลอมแปลงเอกสารรับรองแพทย์ หรือบางคนก็มาเกณฑ์ทหารเพื่อเตรียมรับตำแหน่งข้าราชการที่ครอบครัวฝากฝังไว้ พร้อมทั้งได้อภิสิทธิ์เหนือกว่าคนอื่นๆ

 

แต่กับอีกหลายต่อหลายคน การเกณฑ์ทหารคือการทิ้งโอกาสการเติบโตในหน้าที่การงาน ทิ้งเวลาที่สามารถเอาไปใช้หาเงินเลี้ยงครอบครัว เพื่อมาใช้เวลา 2 ปีไปกับความโหดร้ายในค่ายทหารที่ไม่ใช่แค่การฝึกซ้อมรบหากเกิดสงครามจริง แต่คือการที่อาจถูกกลั่นแกล้งทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจอย่างสาหัส

 

คลิปอินโทรของ D.P. คือภาพเด็กน้อยที่เกิดปี 1999 ซึ่งจะมีอายุ 22 ปีในตอนนี้ เท่ากันกับอายุของทหารเกาหลีคนหนึ่งในปี 2014 ที่ใช้ปืนไรเฟิลยิงเพื่อนร่วมหน่วยเสียชีวิต 5 ราย บาดเจ็บ 7 ราย ก่อนจะหลบหนีและพยายามยิงตัวเองแต่ไม่สำเร็จ 

 

ผลสอบสวนเผยสาเหตุว่า เขาจัดอยู่ในกลุ่มที่ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษเพราะเป็นโรคซึมเศร้า ไม่สามารถปรับตัวเข้ากับชีวิตทหารได้ เมื่อถูกกลั่นแกล้งจนทนไม่ไหวจึงลงมือก่อเหตุ

 

เรื่องราวใน D.P. ก็ดำเนินอยู่ในปี 2014 เช่นกัน งานตามจับทหารหนีทัพของ อันจุนโฮ (จองแฮอิน) และ ฮันโฮยอล (คูคโยฮวาน) พาพวกเขาไปพบเจอเหตุผลของคนหนีทัพที่มีไม่เหมือนกัน แต่ในทุกเคสล้วนเชื่อมโยงกันด้วย ‘ความรุนแรง’ ไม่ต่างกันเลย

 

จนมาถึงคราวของ โจซอกบง (โจฮยอนชอล) รุ่นพี่ของอันจุนโฮที่ทำร้ายร่างกายทหารยศสูงกว่าจนนอนจมกองเลือด ก่อนตัวเขาจะหลบหนีไป

 

 

สิบตรีโจซอกบง มีฉายาว่า ‘บงธี’ มาจาก คานธี ด้วยความใจดีของเขา, ‘โซโล’ จากการ์ตูน One Piece ที่เขาชอบ, เคยเล่นยูโดจนได้ลงแข่งระดับชาติ แต่เลิกไปเพราะไม่อยากทำร้ายคน, อยากเป็นนักวาดการ์ตูนและเป็นครูสอนเด็กๆ วาดรูปเมื่อปลดประจำการ ฯลฯ

 

คนรอบตัวพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าโจซอกบงเป็นคนใจดี แต่สำหรับรุ่นพี่ เขาคือ ‘ไอ้เวรโอตาคุ’ ที่ตกเป็นเป้าให้คนเหยียดหยาม ถูกทำร้ายร่างกาย คุกคามทางเพศ ทำสิ่งที่ลดทอนความเป็นมนุษย์มากเสียจนเปลี่ยนคนที่เคยพูดว่า จะไม่ทำแบบรุ่นพี่พวกนั้น ให้กลายเป็นคนที่ปลุกรุ่นน้องออกมาทำโทษกลางดึกเพราะจำตำแหน่งรุ่นพี่ไม่ได้ 

 

เพียงไม่นาน วันที่ความแค้นพวยพุ่งถึงขีดสุดก็มาถึง มือที่เคยใช้จับปากกาวาดภาพการ์ตูนและสอนเด็กจนสอบติดมหาวิทยาลัย ถูกแทนด้วยกระบอกปืนจ่อตรงไปยังหัวรุ่นพี่ที่เคยทำร้ายเขา

 

แม้อันจุนโฮกับฮันโฮยอลพยายามหว่านล้อมว่ายังมีหนทางให้รุ่นพี่คนนั้นได้รับโทษตามกฎหมายได้ แต่โจซอกบงรู้ดีว่าเขาไม่อาจถอยกลับไปเป็นบงธีของเด็กๆ อีกแล้ว พอๆ กับที่รู้ว่าคนยศใหญ่จะไม่ยอมให้เรื่องนี้แพร่ออกไป และความเป็นอำนาจนิยมภายในกองทัพก็คงขุดรากถอนโคนได้ยากเหลือเกิน

 

“ถ้าฉันอยากเปลี่ยนอะไร ฉันก็ต้องทำอะไรสักอย่างใช่ไหม”

 

แล้วปืนในมือก็เปลี่ยนมาจ่อที่ปลายคางเพื่อเหนี่ยวไกปลิดชีพตัวเอง

 

 

ฉากเครดิตของ EP.5 ที่ไม่มีเพลงเล่นตอนจบเหมือนตอนอื่นๆ อาจเป็นความเงียบงันให้กับคำถามของโจซอกบงที่ว่า “ทำเป็นพูดดี ทั้งที่ตัวเองก็รู้ทุกอย่าง ทั้งที่ก็เพิกเฉยกันหมดทุกคน ทำไมฉันต้องได้รับโทษด้วย”

 

เพื่อฝึกความอดทนและแข็งแกร่ง ‘ชายชาติทหาร’ จึงต้องรอรับฟังคำสั่งอย่างสุนัขเชื่องๆ หากถูกทารุณก็ทำได้แค่พูดขอโทษ ขานตำแหน่งกับชื่อซ้ำๆ ย้ำให้รู้ที่ทางของตัวเองว่าไร้อำนาจตอบโต้กลับ ปิดปากให้เงียบสนิทแม้เห็นเพื่อนถูกทำร้ายปางตาย เริ่มจากการถูกกระทำมาสู่ผู้กระทำ สืบทอดความรุนแรงจนเป็นวัฏจักรวนเวียนไปไม่รู้จบ

 

ในตอนท้าย อันจุนโฮมองตรงมาหากล้อง ออกเดินสวนทางกับทหารคนอื่น ก่อนจะได้ยินเพียงเสียงฝีเท้าหนักแน่นค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเสียงวิ่ง ที่ปล่อยให้คนดูตีความว่าเขาเลือกหนีทหารไปเสียเองหรือเปล่า หนีไปจากความเลวร้ายในกองทัพ ที่สุดท้ายก็ทำกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา ซ้ำร้ายยังมีคนนั่งดูข่าวนั้นพร้อมกับทารุณพลทหารคนอื่นต่อไป

 

 

อย่างไรก็ดี ท่ามกลางคดีความรุนแรงมากมายในเกาหลีใต้ เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา มีคดีทหารหญิงคนหนึ่งปลิดชีพตัวเองหลังจากถูกล่วงละเมิดทางเพศในกองทัพ ส่งผลให้ผู้บัญชาการกองทัพอากาศยื่นหนังสือลงจากตำแหน่งเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อประชาชน

 

หันกลับมามองบ้านเราที่แม้ไม่ได้อยู่สภาวะสงคราม แต่กฎหมายยังบังคับให้บุคคลที่มีเพศกำเนิดชายต้องเกณฑ์ทหาร ประเทศที่เกณฑ์ทหารไปเป็นคนทำงานบ้าน คนสวน คนขับรถให้กับบรรดาคนยศใหญ่

 

ข่าวเดิมๆ ยังวนเวียนมาเหมือนเดิมทุกปี ตั้งแต่คนจับได้ใบแดงแล้วร้องไห้เพราะเป็นเสาหลักของครอบครัว พลทหารถูกล่วงละเมิดทางเพศ ถูก ‘ซ่อม’ จนเสียชีวิต กระทั่งจบชีวิตตัวเองเพราะทนแรงกดดันในค่ายไม่ไหว แต่กลับหาตัวคนรับผิดชอบได้ยากเหลือเกิน แถมยังมีการปกปิดอำพรางคดีเพื่อไม่ให้ภาพลักษณ์ทหารเสียหาย

 

หรือเหตุการณ์สะเทือนขวัญอย่างคดีกราดยิงโคราช จนถึงคดีกราดยิงโรงพยาบาลสนามในเดือนมิถุนายนปีนี้ ผู้ก่อเหตุทั้งสองต่างเป็นทหารชั้นผู้น้อยที่ถูกกดทับจากกองทัพจนเกิดความคลุ้มคลั่ง ออกมาใช้อาวุธพรากชีวิตคนบริสุทธิ์ไป แต่คำตอบหนึ่งที่ประชาชนได้รับจากคนที่รับผิดชอบเรื่องนี้คือ “วินาทีที่ผู้ก่อเหตุลั่นไกสังหารคู่กรณี เขาคืออาชญากร ไม่ใช่ทหารอีกต่อไปแล้ว”

 

แล้วปัญหาเชิงโครงสร้างก็ถูกปัดหายไป ทั้งที่การกล่าวถึงเรื่องเหล่านี้ไม่ใช่การลดทอนความผิดของอาชญากร แต่เป็นการชี้ให้เห็นถึงปัญหาความรุนแรงที่ก่อตัวภายใต้โครงสร้างอำนาจนิยมของทหาร ซึ่งจนถึงวันนี้ก็ยังไม่เกิดการปฏิรูปอย่างที่ลั่นวาจาแต่อย่างใด

 

กองทัพจัดซื้ออาวุธราคาสูงลิ่วด้วยภาษีของทุกคน แต่ความปลอดภัยกลับต่ำเตี้ยเรี่ยดินจนไม่อาจสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนได้เลย

 

หากยังจำกันได้ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา เคยกล่าวกับ มุนแจอิน ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ว่าชอบดู Descendants of the Sun ซีรีส์เกาหลีเรื่องดังเกี่ยวกับ ‘ทหารรักชาติ’ รวมทั้งเคยแนะนำ Start-Up เรื่องราวของคนรุ่นใหม่ในวงการสตาร์ทอัพ ที่รัฐบาลเกาหลีใต้กำลังช่วยขับเคลื่อนขณะนี้

 

ในฐานะทหารวัยเกษียณคนหนึ่งที่ผันมาเป็นนายกรัฐมนตรี เราคิดว่าบางทีซีรีส์เกี่ยวกับวงการทหารข้นคลั่กอย่าง D.P. อาจจะโด่งดังไปถึงหูของเขาบ้าง แล้วคงได้ลองเปิดดูเพื่อเรียนรู้ข้อคิดจากซีรีส์ที่ตีแผ่ให้เห็นว่า การใช้ความรุนแรงไม่ควรเป็นเรื่องปกติโดยเด็ดขาด

 

อีกทั้งหน้าที่ของทหารคือการปกป้องประชาชนและประเทศชาติ ไม่ใช่ลงมือทำร้ายประชาชนด้วยกันเอง

 

ภาพ: Netflix, tvN

อ้างอิง: 

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising