นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง เมื่อบริษัทจดทะเบียนไทยโดดเด่นด้านความยั่งยืนระดับโลก หลังการประกาศรายชื่อบริษัทจดทะเบียนทั่วโลกที่เป็นสมาชิกของดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (Dow Jones Sustainability Indices – DJSI) ซึ่งจะมีผลตั้งแต่วันที่ 23 กันยายน 2562 แล้วพบว่าประเทศไทยมีจำนวน 7 บริษัทที่ได้คะแนนสูงสุด หรือเป็นผู้นำด้านความยั่งยืนของกลุ่มอุตสาหกรรม จากการประเมินบริษัทจดทะเบียนทั่วโลกใน 60 อุตสาหกรรม ส่งผลให้ประเทศไทยมีจำนวนบริษัทจดทะเบียนที่เป็นผู้นำด้านความยั่งยืนของโลกมากเป็นอันดับ 2 ของโลก
ยิ่งไปกว่านั้น นอกจาก 7 บริษัทที่ครองแชมป์ผู้นำด้านความยั่งยืนแล้ว บริษัทจดทะเบียนไทยอีก 13 บริษัทยังได้รับคัดเลือกให้เป็นสมาชิกในดัชนี DJSI ได้แก่ ADVANC – บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน), AOT – บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน), BTS – บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน), CPF – บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน), CPN – บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน), HMPRO – บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน), IRPC – บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน), IVL – บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน), KBANK – ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน), MINT – บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน), PTT – บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน), SCB – ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และ SCC – บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน)
การได้รับคัดเลือกให้เป็นสมาชิกในดัชนี DJSI แสดงให้เห็นว่าบริษัทดำเนินกิจการโดยให้ความสำคัญและคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (Environment, Social, Governance – ESG) ซึ่งต้องบ่มเพาะในช่วงระยะเวลาหนึ่งจึงจะเห็นผลดีโดยตรงต่อผลประกอบการ
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นของบริษัทจดทะเบียนทั้ง 20 บริษัทที่เป็นสมาชิกในดัชนี DJSI ในปี 2562 จะพบว่าในระยะยาวการลงทุนในหุ้นที่มีความโดดเด่นในด้าน ESG ให้ผลตอบแทนสูงกว่า SET Index อย่างชัดเจน
โดยพบว่าในช่วงประมาณ 15 ปี (สิ้นปี 2547 ถึง 20 กันยายน 2562) พอร์ตโฟลิโอจำลองที่ประกอบด้วย 20 หลักทรัพย์ดังกล่าว ซึ่งคำนวณถ่วงน้ำหนักมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดให้ผลตอบแทน 370% หรือเฉลี่ย 24% ต่อปี ซึ่งสูงกว่า SET Index ที่ให้ผลตอบแทน 274% หรือ 18% ต่อปีเลยทีเดียว