ค่าเงินดอลลาร์ของสหรัฐฯ ปรับตัวแข็งค่าขึ้น 1.7% เมื่อเทียบกับค่าเงินสกุลหลัก 6 สกุล ได้แก่ ยูโร (ยุโรป), เยน (ญี่ปุ่น), ปอนด์ (อังกฤษ), ดอลลาร์ (แคนาดา), โครนา (สวีเดน) และฟรังก์ (สวิตเซอร์แลนด์) นับแต่วันจันทร์ที่ผ่านมา (8 เมษายน)
สัปดาห์ที่ผ่านมาถือเป็นสัปดาห์ที่เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นมากที่สุดนับแต่เดือนกันยายน 2022 หลังจากที่นักลงทุนเริ่มเปลี่ยนมุมมองจากเดิมที่คาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะลดดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาด มาเป็นลดดอกเบี้ยช้ากว่าที่คาด เนื่องจากเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ยังคงสูงกว่าที่หลายคนประเมินไว้ โดยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐฯ ในเดือนมีนาคมอยู่ที่ 3.5%
ค่าเงินยูโรและปอนด์อ่อนค่าลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ สู่ระดับ 1.06 ยูโรต่อดอลลาร์ และ 1.25 ปอนด์ต่อดอลลาร์ ขณะที่ค่าเงินเยนยังคงทำจุดต่ำสุดในรอบ 34 ปี หลังจากอ่อนค่าลงไปแตะ 153 เยนต่อดอลลาร์
ส่วนเงินบาทไทยเทียบกับดอลลาร์ อ่อนค่าจากราว 35.7 บาทต่อดอลลาร์ มาสู่ 36.7 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา
ทางด้านธนาคารกลางยุโรปออกมาส่งสัญญาณเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาว่า กำลังอยู่บนเส้นทางไปสู่การลดดอกเบี้ยในเดือนมิถุนายน ทำให้เกิดความกังวลว่ายุโรปอาจจะลดดอกเบี้ยก่อนหน้าสหรัฐฯ
นอกจากนี้ Francesco Pesolo นักวิเคราะห์อัตราแลกเปลี่ยนของ ING กล่าวว่า ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างอิหร่านและอิสราเอลอาจนำไปสู่การพุ่งขึ้นของราคาน้ำมัน ซึ่งจะส่งผลให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นอีก
อ้างอิง:
