×

เครื่องเพศชาย ขนาด ปัญหา และการไม่กล้ามอง

โดย คำ ผกา
09.01.2018
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

7 Mins. Read
  • ต่อให้ผ่านจำนวนคนและจำนวนครั้งมาโชกโชนขนาดไหน มันก็ไม่ใช่เครื่องรับประกันว่า ความมากประสบการณ์นั้นจะทำให้เราสร้างความว้าวให้แก่คู่นอนคนล่าสุดของเราได้เจ๋งเป้ง พอมีอะไรกับคนใหม่ ก็ต้องมานับหนึ่งกันใหม่อีกนั่นแหละ และทั้งหมดนี้ แทบไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับขนาดของจู๋เลยแม้แต่น้อย
  • เขาว่ากันว่า ‘ขนาดของจู๋’ เป็นปัญหาที่ตัวผู้ชายเองนั่นแหละ จากการศึกษา Penis base study โดย คิงส์คอลเลจ ลอนดอน พบว่าร้อยละ 30 ไม่พอใจในจู๋ของตนเอง กลุ่มคนที่ไม่พอใจนี้ มีทั้งคนจู๋ใหญ่และจู๋เล็ก
  • ในโลกที่ผู้ชายเป็นใหญ่ ผู้ชายก็ไม่ถูกคาดหวังให้คร่ำครวญถึงปัญหาหรือความไม่มั่นคงทางใจต่างๆ นานาของตัวเอง ดังนั้นก็คงมีผู้ชายน้อยคนที่กล้าจะออกมาพูดเรื่อง “ผมและจู๋ของผม”

‘เจี๊ยวเล็ก’

 

อยู่ๆ โลกโซเชียลมีเดีย อย่างน้อยในหน้าฟีดเฟซบุ๊กของฉันก็เต็มไปด้วยเรื่องราวภาพของลับของแฟนดาราสาวหลุดก่อนจะตามมาด้วยเสียงวิพากษ์วิจารณ์เรื่องขนาดของของลับว่า ‘เล็ก’

 

สิ่งแรกที่ฉันอยากรู้คือ ในท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าของเขา ‘เล็ก’ นี่ ของคนที่วิจารณ์ใหญ่แค่ไหนไม่ทราบ หรือการได้บอกว่าของคนอื่นเล็กมันคือการประกาศกลายๆว่า “เฮ้ยย ของข้าไม่ใช่เล็กๆ น้อยๆ นะเว้ย”

 

ตามสถิติที่สำรวจกันมา ค่าเฉลี่ยของขนาดอวัยวะเพศชายเมื่อแข็งตัวแล้ว ไม่ได้ใหญ่โตอะไรเลยแค่ 4.972 นิ้วเท่านั้น

 

และเอาเข้าจริงๆ จู๋ยิ่งใหญ่ ยิ่งดี จริงหรือเปล่า?

 

คนที่พอจะมีประสบการณ์ในการร่วมเพศมาบ้าง ย่อมรู้ว่า เซ็กซ์ที่ ‘ว้าวววววว’ มากๆ นั้น ‘ขนาด’ ของจู๋ ไม่ใช่ปัจจัยเดียว และไม่ใช่ปัจจัยที่สำคัญที่สุด

 

เซ็กซ์ที่ดี ก็เหมือนการเล่นกีฬาเป็นคู่ มันต้องการความชอบพอกันในระดับหนึ่ง ต้องการการทำความรู้จัก คุ้นเคยกับร่างกาย อารมณ์ จังหวะของกันและกันในระดับหนึ่ง

 

ดังนั้น จึงหาได้ยากมากๆ ที่เซ็กซ์ครั้งแรกมันจะ ‘ว้าว’ เลย ต่อให้รักกันแค่ไหน บางทีต้องได้มีเซ็กซ์กันสักห้า-หกครั้ง หรือมากกว่านั้นด้วยซ้ำไป กว่าจะหาจุดว้าวของกันและกันเจอ และกว่าจะหากันเจอก็ต้องกล้าที่จะสื่อสารว่า เออ ตรงนั้นใช่ ตรงนี้ไม่ใช่ และทั้งหมดนี้มันหมายความว่า อาการว้าวของแต่ละคู่ มักได้มาด้วยการฝึกฝนร่วมกันอย่างเปิดอกเปิดใจมากกว่าพรสวรรค์ส่วนตัวหรือขนาดของจู๋ล้วนๆ

 

ที่สำคัญ ต่อให้เราผ่านจำนวนคนและจำนวนครั้งมาโชกโชนขนาดไหน มันก็ไม่ใช่เครื่องรับประกันว่า ความมากประสบการณ์นั้นจะทำให้เราสร้างความว้าวให้แก่คู่นอนคนล่าสุดของเราได้เจ๋งเป้ง เพราะร้อยคนก็ร้อยแบบของความชอบ ความใช่ ไม่มีใครจะเหมือนใครเลยสักคน จะผ่านมากี่สิบกี่ร้อยคน พอมีอะไรกับคนใหม่ ก็ต้องมานับหนึ่งกันใหม่อีกนั่นแหละ ว่า “เออ นี่จุดว้าวของดิชั้นนะคะ ตรงนี้แรงได้ค่ะ ตรงนั้นต้องเบาๆ ตรงนี้อย่าแช่นานค่ะ” อย่างนี้เป็นต้น – และทั้งหมดนี้ แทบไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับขนาดของจู๋เลยแม้แต่น้อย

 

และคนที่มีประสบการณ์ทางเพศมาบ้างสักเล็กน้อย ย่อมรู้อีกว่า การร่วมเพศไม่ได้หมายถึงการสอดใส่เท่านั้น แต่ยังมีอีกหลายจุด หลายวิธี ในการนำพาผู้หญิงไปสู่จุดยอด และผู้หญิงส่วนมากก็คงรู้ว่า จุดสุดยอดที่ช่องคลอดนั้นเป็นไปได้ยากกว่า และไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าจำเป็นหรือไม่ หากเราสามารถถึงจุดสุดยอดได้ ณ จุดอื่นๆ

 

แต่ไม่ได้แปลว่า ‘ขนาด’ ไร้ความสำคัญโดยสิ้นเชิง เพราะใครๆ ก็คงรู้อีกนั่นแหละว่า ถ้ามันจะเล็กเกิ๊นนนนนนน สั้นเกิ๊นนนนนนน เราก็อาจจะต้องบอกว่า “เออ…ไม่ต้องใช้ก็ได้ค่ะ มาใช้นิ้วหรือ subsidize มันด้วยสารพัดเซ็กซ์ทอย และดิลโด้หลากสี หลายแบบ หลายขนาดกันเถอะ”

 

แล้วก็นั่นไง สุดท้ายขนาดมันก็อาจจะไม่สำคัญก็ได้ ในเมื่อจู๋สามารถถูกแทนที่ได้ด้วยนิ้วมือ หรือเซ็กซ์ทอย ดิลโด้ ฯลฯ (และการทำงานของ vibrator ต่างๆ นั้นก็ช่างเที่ยงตรง แม่นยำกว่ามนุษย์มากเหลือเกิน) ทว่านิสัยใจคอ ความอบอุ่น ความเข้ากันได้ในเรื่องอื่นของคนคนนั้นที่เป็นเจ้าของจู๋เล็ก-สั้น ไม่สามารถทดแทนด้วยวัตถุ artificial อื่นใดเลย

 

ที่สำคัญในสังคมชายเป็นใหญ่อันคอนเซอร์เวทีฟมากๆ ที่เชื่อว่าผู้หญิงดีๆ ควรมีผัวเพียงคนเดียว ไม่ควรมีเซ็กซ์ก่อนแต่งงาน แต่งงานแล้วก็ควรซื่อสัตย์ ไม่นอกใจ และไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต้องพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะไม่ให้เกิดการเลิกรา หย่าร้าง มิเช่นนั้นจะได้ชื่อว่าเป็นผู้หญิงที่ล้มเหลว – ในบริบทเช่นนี้ เรายิ่งจินตนาการไม่ได้เลยว่ารูปลักษณ์และขนาดของจู๋ผู้ชายจะสลักสำคัญอะไร

 

ในเมื่อผู้หญิงที่เป็นเมียของเขา เกิดมาทั้งชีวิตก็อาจจะเคยเห็นจู๋แบบตัวเป็นๆ แค่อันเดียวเท่านั้น จึงไม่สามารถจะเปรียบเทียบกับอะไรได้ และไม่มีทางรู้ว่า จู๋ของผัวตัวเอง ดีหรือไม่ดี ใหญ่หรือเล็ก สมมาตรหรือไม่สมมาตร

 

ตรงกันข้าม ในบริบททางอุดมการณ์เช่นนี้ ผู้ชายต่างหากที่มีโอกาสเห็นจิ๋มได้อย่างมากมายหลากหลายกว่า และสามารถเปรียบเทียบถึงคุณภาพ ขนาด สี กลิ่น ความกระชับ และอื่นๆ ทั้งมวลของนานาจิ๋มได้ และหากผู้หญิงจำนวนมากจะรู้สึกไม่มั่นใจในจิ๋มของตนเอง ว่าเอ๊ะ ดำไปไหม กร้านไปไหม หลวมไปไหม กลิ่นแรงไปหรือเปล่า บิดเบี้ยว ไม่น่ามองหรือเปล่า หน้าตาผิดแผกไปจากคนอื่นหรือเปล่า จนนำไปสู่การศัลยกรรมจิ๋ม ที่ทำกันอย่างแพร่หลาย – ก็ย่อมเป็นเรื่องที่เข้าใจได้

 

อย่างไรก็ตามในกรณีของผู้หญิง เนื่องจากอยู่ในสถานะของผู้ถูกกดทับ จึงมีขบวนการต่อสู้ เคลื่อนไหว เพื่อให้ผู้หญิงปลดแอกจากสิ่งที่เรียกว่า Body Shame ให้ผู้หญิงรักร่างกายของตัวเองอย่างที่มันเป็น ตั้งแต่สีผิว สีผม ขนาดของนม ก้น หน้าท้อง อ้วน ผอม ไปจนถึงการแสดงภาพถ่ายอวัยวะเพศหญิงของผู้หญิงจำนวนมาก เพื่อให้ทุกคนตระหนักว่า จิ๋มใครก็จิ๋มใคร มันไม่มีวันจะเหมือนกัน และทุกจิ๋มต่างก็เป็นอัตลักษณ์ของเราเหมือนหน้าตาเราที่ไม่มีวันจะไปเหมือนหรือซ้ำกับใครได้ และเลิกนำโมเดลจิ๋มในหนังโป๊มากดดันตัวเองเสียที (แต่ถ้าจะมีผู้หญิงคนไหนที่ไม่แฮปปี้กับจิ๋มตัวเองมากๆ จะไปทำศัลยกรรม ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก หรือผิดปกติอีกนั่นแหละ)

 

อ้าว แล้วขนาดของจู๋ มันเป็นปัญหาของใครล่ะ?

 

เขาว่ากันว่ามันเป็นปัญหาที่ตัวผู้ชายเองนั่นแหละ จากการศึกษาที่ชื่อ Penis base study โดย คิงส์คอลเลจ ลอนดอน มีข้อมูลออกมาว่า ร้อยละ 30 ของผู้ชายที่สำรวจ ไม่พอใจในจู๋ของตนเอง (มีร้อยละ 35 ที่พอใจ) กลุ่มคนที่ไม่พอใจนี้ มีทั้งคนจู๋ใหญ่ จู๋เล็ก

 

นั่นแปลว่าในกลุ่มคนที่ไม่พอใจนั้น ไม่ว่าจู๋เขาจะเป็นอย่างไร เขาก็รู้สึกว่ามันยัง ‘ไม่ดีพอ’ อยู่นั่นแหละ เกิดเป็นสิ่งที่เรียกว่า Penis shame คนเหล่านี้มีทั้งรู้สึกว่าของตัวเองเล็กไป ใหญ่ไป ถูกขลิบ ไม่ถูกขลิบ ขนเยอะเกินไปหรือเปล่า มันดูมีเส้นเลือดปูดโปนเกินไปหรือเปล่า เหม็นหรือเปล่า

 

 

ความกังวลเกี่ยวกับจู๋ของผู้ชายเกิดจากอะไร?

 

อาจจะฟังดูขัดแย้งในตัวเอง ถ้าจะบอกว่าก็มาจากลัทธิชายเป็นใหญ่นั่นแหละ ลัทธิชายเป็นใหญ่ที่เห็นว่าผู้ชายคือจ่าฝูง คือหัวหน้า ดังนั้นเครื่องเพศของผู้ชายคือสัญลักษณ์ของความแข็งแกร่ง เครื่องเพศที่ใหญ่ ย่อมแปลว่ามีความสามารถในการสืบพันธุ์ได้มาก และเมื่อชายเป็นใหญ่ เครื่องเพศของชายย่อมหมายถึงการเข้าไปทะลุทะลวง (penetrate) และการครอบครอง (occupy) ดังนั้น เครื่องเพศ ขนาด และความแข็งแกร่งของมันจึงเป็นตัวชี้วัดความเป็นชาย (masculinity)

 

ยิ่งมีขนาดใหญ่ มั่นคง แข็งแกร่งเท่าไร ก็ยิ่งดูสมชายมากเท่านั้น ตรงกันข้ามยิ่งเล็กกระจิ๋วริ๋วหลิวเท่าไร ก็ดูห่างไกลจนเกือบจะไม่สามารถเคลมความเป็นชายได้อย่างเต็มปากเต็มคำ และในท่ามกลางสังคมผู้ชายด้วยกัน เช่น โรงเรียนประจำชายล้วน ยิม ห้องอาบน้ำรวมชาย ทีมกีฬาชายที่ต้องทำกิจกรรมหลายอย่างร่วมกัน การ ‘จ้องมอง’ จู๋ของคนอื่นในเชิงเปรียบเทียบย่อมเกิดขึ้นเสมอ และสิ่งที่เกิดขึ้นกับคนจู๋เล็กก็อาจจะมีตั้งแต่การล้อเลียนว่าเป็นตุ๊ด ไร้น้ำยา ไร้ความสามารถ ถ้ามีเมีย เมียคงมีชู้ และอื่นๆ อีกสารพัด อันมีรากฐานมาจากความเชื่อว่า คุณภาพของความเป็นชายแปรผันตามขนาดของจู๋

 

นี่ยังไม่นับปัจจัยปลีกย่อย เช่น การเอาขนาดของจู๋ที่เห็นจากดาราในหนังโป๊เป็นมาตรฐาน หรือวรรณกรรมชวนสยิวที่ผลิตซ้ำวาทกรรมว่าจู๋ยิ่งใหญ่เท่าไร ผู้หญิงยิ่งคลั่งไคล้เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นวรรณกรรมอายุกว่า 350 ปี อย่าง ‘บัณฑิตก่อนเที่ยงคืน’ ที่ตัวเอกถึงกับยอมผ่าตัดเพื่อให้อวัยวะเพศของตัวเองใหญ่ขึ้น เพื่อจะพิชิตใจผู้หญิงให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ไปจนถึงหนังสือโป๊ในปัจจุบันที่ต้องให้ผู้หญิงศิโรราบเสมอเมื่อเจอเครื่องเพศอันมโหฬาร

 

และผู้หญิงจำนวนไม่น้อยก็ดันไปเชื่ออีกว่า ระหว่างมีอะไรกับผู้ชาย เราควรชมว่า ของเขาช่างใหญ่โต แข็งแกร่งเหลือเกิน ซึ่งอาจให้ผลในทางตรงข้าม เพราะผู้ชายบางคนบอกว่า – เฮ้ย พูดแบบนี้ วูบตกเลย เพราะรู้ตัวว่าของตัวเองไม่ได้ใหญ่อะไร พอผู้หญิงพยายามจะพูดเอาใจว่าใหญ่ว่าดี เลยรู้สึกเหมือนโดนสังคมสงเคราะห์ เกิดเวทนาตนเองมาอย่างปัจจุบันทันด่วน

 

ปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ล้วนมีส่วนทำให้ผู้ชายจำนวนไม่น้อยมีความสัมพันธ์ที่ไม่ราบรื่นนักกับจู๋ของตัวเอง หนักกว่านั้น ในโลกที่ผู้ชายเป็นใหญ่ ผู้ชายก็ไม่ถูกคาดหวังให้พูด คร่ำครวญถึงปัญหาหรือความไม่มั่นคงทางใจต่างๆ นานาของตัวเองอีก ดังนั้น ก็คงมีผู้ชายน้อยคนที่กล้าจะออกมาพูดเรื่อง ‘ผมและจู๋ของผม’ เหมือนผู้หญิงนมเล็กหลายคนพยายามออกมาต่อสู้และ empower ให้กับตัวเองด้วยการบอกว่า “พอกันที มายาคติเรื่องนมใหญ่คือสวย คือดี ฉันชอบนมเล็กๆ ของฉัน นมเล็กของฉันมันเซ็กซี่” หลังจากนั้นก็อาจจะมี โฆษณาชุดชั้นในหรืออะไรที่อยากทำ CSR สร้างภาพสร้างแบรนด์ให้ตนเอง ออกโฆษณามาตัวหนึ่งที่บอกว่า นมแบบไหนก็สวยทั้งนั้น จะกลม จะรี จะเล็ก จะใหญ่ ฯลฯ สวยหมด เซ็กซี่หมด

 

ทว่าสิ่งที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นคือ มีผู้ชายจู๋เล็กมากๆๆๆๆ ออกมาโชว์จู๋ตัวเองแล้วบอกว่า “เฮ้ย พอกันทีกับมายาคติจู๋ใหญ่คือดีคือแมน ผมภูมิใจในความเล็กของตัวเอง และผมก็คิดว่ามันเซ็กซี่มาก” จากนั้น กางเกงในคาลวิน ไคลน์ ก็จับคนจู๋เล็กถ่ายแบบกางเกงในขึ้นบิลบอร์ดใหญ่ๆ พร้อมสโลแกน size does not matter, small means sexy หรืออะไรก็ว่าไป แต่มันคงจะไม่มีวันเกิดขึ้นใช่ไหม?

 

ในฐานะที่เป็นนักเขียนหญิง ฉันก็ไม่อยากจะเข้าไปเสือกเรื่องของผู้ชายและเครื่องเพศของผู้ชายมากไปกว่านี้ ว่า เอ๊ะ ผู้ชายควรจะต้องออกมาพูด หรือทำอะไรสักอย่างกับ myth เรื่องขนาด หรือรูปลักษณ์ของจู๋หรือเปล่า

 

แต่ก่อนจบอยากแนะนำหนังสือเล่มหนึ่ง ที่น่าจะเป็นใบเบิกทางสำหรับการพูดของผู้ชายเกี่ยวกับจู๋ของพวกเขา

 

หนังสือเล่มนั้นชื่อ manhood: the bare reality โดย Laura Dodsworth ที่ได้ไปถ่ายภาพจู๋ของผู้ชาย 100 คนพร้อมบันทึกถ้อยคำของพวกเขาเกี่ยวกับจู๋ของพวกเขาเอง ใน 100 คนนี้มีตั้งแต่อายุ 20-92 และมีทุกเพศวิถี

 

ภาพอวัยวะเพศของชาย 100 คนถูกถ่ายอย่างเรียบง่าย ตรงไปตรงมา เราจะได้อ่านถ้อยคำของเขา ที่ขนาบด้วยภาพอวัยวะเพศของเขาแทนภาพใบหน้า อย่างที่เราคุ้นเคยกับบทสัมภาษณ์ทั่วไป

 

และเพื่อให้เห็นภาพ ฉันเลือกแปลถ้อยคำของบางคนมาให้ลองอ่าน เพื่อจะเห็นว่า เออ…เราอาจจะรู้จักผู้ชายน้อยเกินไปจริงๆ และเราแทบไม่เคยจ้องมองอวัยวะเพศของพวกเขาอย่างปราศจากอคติเช่นนี้มาก่อน

 

“ตลอดชีวิตผมเติบโตขึ้นมากับความรู้สึกว่า จู๋ผมเล็กเกินไป เท่าที่จำความได้ผมพกความละอายนี้ติดตัวอยู่เสมอ และผมเชื่อว่า ขนาดของจู๋นี้ได้ก่อร่างสร้างชีวิตมาให้ผมเป็นแบบนี้จนกระทั่งอายุยี่สิบกว่าๆ

 

ช่วงที่ยากที่สุดคือช่วงวัยรุ่น ผมจะดูจู๋ของเพื่อนๆ ในห้องน้ำที่โรงเรียน และเห็นว่าของใครๆ ก็ใหญ่กว่าของเราหมดเลย มันเป็นความรู้สึก ‘เล็กกว่า’ อยู่อย่างนั้นเสมอ ผมก็เริ่มกังวลว่าด้วยขนาดที่เล็กขนาดนี้ มันจะใช้งานได้หรือเปล่า แล้วก็กังวลว่าวันหนึ่งใครๆ จะมาเห็นมันเข้า

 

เพราะมีจู๋ที่เล็กมากนี่แหละ ทำให้ผมมีเซ็กซ์ครั้งแรกช้ามาก อายุ 21 แล้วตอนนั้น ก่อนหน้านั้น พอถึงจุดที่ใกล้ๆ จะมีเซ็กซ์ทีไร ผมก็จะกลัวว่า ถ้าผู้หญิงมาเห็นเข้าว่ามันเล็กขนาดนี้ เขาจะว่ายังไง ในที่สุดผมก็ตัดสินใจมีเซ็กซ์กับผู้หญิงคนหนึ่งที่ผมไว้ใจและรู้สึกผ่อนคลายมากพอ

 

ตอนนี้เวลาผมไปเข้าห้องน้ำสาธารณะ ผมก็ยังกังวลว่าจะมีใครมาเห็นจู๋เล็กๆ ของผมหรือเปล่า

 

ผมคิดว่าถ้าผมมีจู๋ที่ใหญ่กว่านี้ ผมน่าจะเข้าไปอยู่ในโลกของพวกผู้ชายได้อย่างมั่นใจมากกว่านี้ เวลาอยู่ในยิม ก็จะพยายามหลบมุม ปิดจู๋ของผมด้วยผ้าเช็ดตัว ไม่สามารถเดินโอ่อ่าสบายใจได้อย่างใครอื่นเขา

 

แต่ผมประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานนะ จู๋เล็กๆ ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อความมั่นใจในการทำงาน และมันอาจทำให้ผมดูอ่อนน้อมถ่อมตน

 

บางทีผมดูโฆษณาสารพัดวิธีที่จะทำให้จู๋ใหญ่ขึ้น ผมว่ามันเสียเวลา สำหรับผม ผมคิดว่าต้องยอมรับร่างกายของตัวเองอย่างที่มันเป็นจะดีกว่า

 

แล้วในที่สุด ผลก็กลายเป็นว่า ขนาดของจู๋ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการมีคู่รักหรือคู่นอนเลย และจริงๆ มันกลับดีด้วยซ้ำ คู่นอนของผมส่วนมากชอบเพราะว่ามันไม่ทำให้เขาเจ็บ เวลาทำออรัลเซ็กซ์ทำได้ง่าย เพื่อนสนิทของผมคนหนึ่งบอกว่า จู๋ใหญ่ให้ความรู้สึกเหมือนโดนคุกคามและเจ็บ แต่ก็นั่นแหละผู้หญิงหลายคนก็บอกว่า ไม่มีวันนอนกับผู้ชายจู๋เล็ก เพราะมันดูไม่เป็นชายสมชาย ผมก็ไม่รู้หรอกว่ามีผู้หญิงคิดแบบนี้เยอะไหม แต่ผมกับคู่ของผม เราไม่มีปัญหา” (หน้า 80-83, อายุ 58 ปี)

 

“ผมมีจู๋ที่ใหญ่ และนั่นทำให้ผมรู้สึกว่าเป็นข้อได้เปรียบ ถ้าผมอยากเอาเปรียบนะ มันเป็นความรู้ปนๆ กันเกี่ยวกับเรื่องนี้ บางทีก็เหมือนเป็นโบนัส จู๋ใหญ่ๆ น่าจะทำให้ชีวิตง่ายขึ้นมาก แต่โดยพื้นฐานแล้ว ผมไม่เชื่อว่าจู๋ใหญ่ดีกว่าจู๋เล็ก พูดให้ง่ายขึ้นอีกนิดคือ ผมชอบที่ผมมีจู๋ใหญ่ แต่ผมไม่ชอบวิธีที่สังคมรับรู้เกี่ยวกับขนาดของจู๋

 

และโดยไม่รู้ตัวที่ผมใช้ร่างกายเป็นฉากหลบตัวตนที่แท้จริง ผมรู้ว่าเมื่อไรที่ผมแก้ผ้า ผมจะได้รับเสียงชื่นชม ดังนั้นก็จะซ่อนความหวั่นไหวต่างๆ ที่มีในชีวิตไว้ได้ภายใต้จู๋ใหญ่นั้น แล้วมันก็กลายเป็นว่า พอผมหาคู่นอนผ่านแอปพลิเคชัน ผมจะตรงไปห้องนอน แก้ผ้า มีเซ็กซ์กันเลย ไม่ลองจิบกาแฟ คุยกันก่อน เพราะผมไม่แน่ใจว่า ถ้าคุยกันแล้วเขาจะชอบผมหรือเปล่า ผมไม่มั่นใจในบุคลิกของตัวเอง และผมก็กลัวการถูกปฏิเสธ เพราะฉะนั้นแก้ผ้าเลยดีกว่า ง่ายกว่า

 

สำหรับเกย์มันไม่ยากเท่าผู้หญิง-ผู้ชาย คือเราพร้อมจะส่งรูปเปลือยให้กันได้ตลอดเวลา ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร” (หน้า 84, อายุ 36 ปี)

 

“ผมชอบจู๋ของผมเท่าๆ กับที่ผมชอบส่วนอื่นๆ ของร่างกาย มันเป็นส่วนหนึ่งของผม เหมือนใบหน้า คอ ขา เท้า และส่วนอื่นๆ ผมไม่ได้ภูมิใจอะไรกับมันเป็นพิเศษเท่าๆ กับที่ไม่ได้อับอายอะไรกับมันเป็นพิเศษ

 

สำหรับผมร่างกายก็แค่ร่างกาย ไม่ได้มีความหมายอะไรพิเศษเท่ากับคุณเป็นใครในร่างกายนั้น แม่ของผมพูดเสมอว่า ถ้าเมื่อไรที่แม่ตาย เอาร่างของแม่ใส่ถุงขยะแล้วจะเอาไปทิ้งที่ไหนก็ทิ้ง เพราะแม่ไม่ได้ต้องการร่างนั้นอีกต่อไปแล้ว ร่างกายเป็นแค่พาหนะของ ‘ความเป็นบุคคล’ ของคนคนนั้น ซึ่งหมายถึง ความคิด อารมณ์ ทัศนคติ

 

มันมีความกดดันทางสังคมทั้งต่อผู้หญิงและต่อผู้ชาย สังคมคาดหวัง กดดันให้ผู้ชายเป็นฝ่ายหาเลี้ยงครอบครัว ซึ่งมันสาหัสมากสำหรับผู้ชายที่หากวันหนึ่งคุณตกงาน หรือคุณกำลังอยู่ในช่วงล้มลุกคลุกคลานกับการสร้างเนื้อสร้างตัว เหมือนที่ผมเป็นอยู่ตอนนี้ ผู้ชายถูกคาดหวังให้เข้มแข็ง ไม่ร้องให้ ไม่แสดงอารมณ์อ่อนแอ เราต้องแกร่งดั่งหินผา ตั้งแต่เด็กๆ ใครๆ ก็บอกเราว่า Big boys don’t cry แล้วสิ่งนั้นก็อยู่กับเรามาตลอดชีวิต และนั่นทำให้ผมคิดว่า ผู้ชายจำนวนมากต้องเจอกับการเจ็บป่วยที่หนักมาก เพราะเวลาเป็นอะไรนิดๆ หน่อย ๆ เราจะไม่พูด ไม่บ่น รู้ตัวอีกทีก็อาการหนักแล้ว หรือการที่ผู้ชายฆ่าตัวตายมากกว่าผู้หญิง ก็มาจากการที่พวกเขาไม่สามารถจะพูด หรือบ่นออกมาได้นั่นแหละ” (หน้า 152-153, อายุ 57 ปี)

FYI
  • ปัจจุบันเจ้าของสถิติอวัยวะเพศใหญ่ที่สุดในโลกชื่อ Jonah Falcon มีขนาด 9 นิ้ว เมื่อไม่แข็งตัว และ 13 นิ้ว ในเวลาแข็งตัว
  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising