เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2019 ที่ผ่านมา สาธารณรัฐอุซเบกิสถานได้จัดการเลือกตั้งครั้งทั่วไปครั้งสำคัญ หรือการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาโอลีย์ (Oliy Majlis) ภายใต้คำรณรงค์ว่า ‘New Uzbekistan, New Elections’ หรือ ‘อุซเบกิสถานใหม่กับการเลือกตั้งแบบใหม่’ เพราะการเลือกตั้งรัฐสภาครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกหลังยุคของ อิสลาม คาริมอฟ (ผู้ล่วงลับ) อดีตประธานาธิบดีคนแรกของประเทศและอยู่ในอำนาจมาอย่างยาวนานถึง 25 ปี
หลังคาริมอฟเสียชีวิตในปี 2016 ชัฟคัต มีร์ซีโยเยฟ ก็ชนะการเลือกตั้งและเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีในช่วงปลายปี 2017 กลายเป็นประธานาธิบดีคนที่ 2 ของประเทศมาจนถึงปัจจุบัน โดย 3 ปีที่ผ่านมา ภายใต้การนำมีร์ซีโยเยฟ เขาได้พัฒนาและปฏิรูปอุซเบกิสถานอย่างจริงจังในหลายๆ ด้าน จนกล่าวกันว่าเป็น ‘อุซเบกิสถานใหม่’
หนึ่งในนั้นคือการปฏิรูปให้ประเทศมีความเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ และการปฏิรูประบบการเลือกตั้งให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลผ่านกฎหมายเลือกตั้งใหม่ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 26 มิถุนายน 2019 ดังนั้นคำรณรงค์ของการเลือกตั้งครั้งนี้จึงสื่อความหมายที่เน้นคำว่า ‘ใหม่’ เพื่อฉายภาพความหวังของประเทศที่คนในชาติต้องร่วมกันถักทอให้เกิดอุซเบกิสถานยุคใหม่ด้วยการเลือกตั้งแบบใหม่ที่บริสุทธิ์ ยุติธรรม ตามมาตรฐานสากล การเลือกตั้งครั้งนี้จึงมีความพิเศษที่สำคัญมากต่ออนาคตของอุซเบกิสถานและภูมิภาคเอเชียกลาง
ในการเลือกตั้งครั้งนี้ คณะกรรมการกลางการเลือกตั้งของอุซเบกิสถานให้ความสำคัญอย่างมากต่อการเชื้อเชิญให้นานาประเทศและองค์การระหว่างประเทศต่างๆ ให้เข้าไปร่วมสังเกตการณ์ ซึ่งมีผู้แทนและองค์กรจากหลายประเทศมาร่วมสังเกตการณ์มากกว่า 825 คน จาก 41 ประเทศ รวมทั้งประเทศจีนด้วย แม้จะไม่ได้เป็นประเทศประชาธิปไตยก็ตาม ทั้งนี้เพื่อเปิดโอกาสให้โลกได้ร่วมเป็นประจักษ์พยานความโปร่งใสและความยุติธรรมของการเลือกตั้งครั้งนี้ ผู้เขียนเป็นหนึ่งในคนที่ได้รับเชิญจาก มิรซา อับดุลซาโลมอฟ ประธานคณะกรรมการกลางการเลือกตั้งอุซเบกิสถาน
ก่อนทำความเข้าใจการเมืองและความเป็นไปของอุซเบกิสถานในปัจจุบัน ผู้เขียนขอย้อนเกริ่นถึงภูมิหลังทางประวัติศาสตร์สักเล็กน้อย หลังจากที่ได้ศึกษาและได้มีโอกาสสัมผัสโดยตรง ซึ่งพบว่ามีหลายเรื่องที่เราอาจต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับประเทศนี้ใหม่ โดยเฉพาะการผ่านมุมมองของคนในประเทศมากกว่าการรับรู้ผ่านสื่อกระแสหลักเพียงอย่างเดียว
อุซเบกิสถานในยุคประธานาธิบดีอิสลาม คาริมอฟ
อิสลาม คาริมอฟ เป็นผู้นำอุซเบกิสถานมาตั้งแต่สมัยที่อุซเบกิสถานยังเป็นสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียต หรือเป็น 1 ใน 15 รัฐสังคมนิยมในวงศ์ไพบูลย์ของสหภาพโซเวียต โดยในปี 1989 คาริมอฟดำรงตำแหน่งเลขาธิการกลางพรรคคอมมิวนิสต์แห่งอุซเบกิสถาน ซึ่งปกครองอุซเบกิสถานโดยพฤตินัย
จนกระทั่งในปี 1991 ภายหลังได้รับเอกราช คาริมอฟชนะการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีคนแรกของอุซเบกิสถาน และสามารถอยู่ในอำนาจมาอย่างยาวนาน ชนะการเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงเกินร้อยละ 85 ทุกครั้ง กระทั่งเสียชีวิตในวันที่ 2 กันยายน 2016 รวมระยะเวลาในการดำรงตำแหน่งทั้งสิ้น 25 ปี
ตลอดระยะเวลาที่ประธานาธิบดีคาริมอฟปกครองอุซเบกิสถาน หนึ่งในผลงานที่โดดเด่นของเขาแต่ไม่เป็นที่รับรู้หรือกล่าวถึงมากนักในสายตาคนนอกคือ การทำให้ประเทศมีความสงบสุขและก้าวพ้นช่วงเวลาสำคัญของการเปลี่ยนผ่านจากรัฐสังคมนิยมสู่การปรับตัวเข้ากับโลกเสรียุคหลังสงครามเย็นได้อย่างราบรื่น ในขณะที่หลายพื้นที่ในภูมิภาคเกิดปัญหาความไร้เสถียรภาพ
ภาพลักษณ์ของคาริมอฟในสายตาคนนอกหรือสื่อตะวันตกอาจสวนทางกับความนิยมชมชอบในภาวะผู้นำของเขาในสายตาคนอุซเบกิสถาน ทั้งนี้คาริมอฟถูกมองจากโลกภายนอกบางส่วนผ่านการนำเสนอภาพความเป็นเผด็จการที่ปกครองด้วยกฎเหล็ก ทำเศรษฐกิจไร้เสถียรภาพ ปราบปรามผู้เห็นต่างทางการเมืองอย่างหนัก ละเมิดสิทธิมนุษยชน จับคนนับพันจำคุกด้วยถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกหัวรุนแรงทางศาสนา อีกทั้งการเลือกตั้งในแต่ละครั้งถูกมองว่าไม่โปร่งใสและไม่ได้รับการยอมรับจากประชาคมโลก เช่น การเลือกตั้งในปี 2015 คาริมอฟได้รับคะแนนเสียงท่วมท้นกว่าร้อยละ 90 องค์การว่าด้วยความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป (Organization for Security and Co-operation in Europe: OSCE) กล่าวหาอุซเบกิสถานว่าเป็นรัฐเผด็จการที่ไม่มีฝ่ายค้านอย่างแท้จริง อีกทั้งคณะกรรมการการเลือกตั้งยังถูกมองว่ามีการดำเนินงานที่ขัดกับหลักนิติธรรม ไม่มีอิสระในการทำหน้าที่
แม้ว่าในสายตาสื่อตะวันตกจะมองคาริมอฟว่าเป็นเผด็จการที่ปกครองอุซเบกิสถานยาวนานเกือบสามทศวรรษ แต่ในทางกลับกัน ในสายตาของประชาชนอุซเบกิสถานส่วนใหญ่ชื่นชมในตัวคาริมอฟเป็นอย่างยิ่ง มองว่าแม้เขาจะเป็นผู้นำที่รวมอำนาจเข้าสู่ส่วนกลาง แต่ก็เพราะความจำเป็นในการรักษาเสถียรภาพของอุซเบกิสถานซึ่งถูกแทรกแซงจากภายนอกอยู่ตลอดเวลา เนื่องจากอุซเบกิสถานเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่มหาอำนาจต้องการเข้ามามีอิทธิพล รวมถึงภัยคุกคามจากการก่อการร้าย อย่างไรก็ตาม เขาได้พยายามรักษาสมดุลของความสัมพันธ์ระหว่างอุซเบกิสถานกับรัสเซีย จีน และสหรัฐอเมริกา เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกโดดเดี่ยวในเวทีโลก
ผมมีโอกาสพูดคุยแลกเปลี่ยนกับคนอุซเบกิสถานหลายคน พบว่าคนอุซเบกิสถานจำนวนมากรักและศรัทธาในตัวคาริมอฟอย่างมาก ตอนที่เขาเสียชีวิต คนเกือบทั้งประเทศรู้สึกเสียใจ หลายคนร้องไห้กลั้นน้ำตาไม่อยู่ จนถึงขณะนี้บางคนยังน้ำตาไหลถ้าพูดถึงความดีงามของคาริมอฟที่ทำให้กับประเทศ หากไปเยือนเมืองซามาร์คันด์ ก็จะพบเห็นสุสานฝังศพที่ยิ่งใหญ่มโหฬารของเขาตั้งตระหง่านบนพื้นที่สูงใกล้กับสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของอุซเบกิสถานและสุสานของกษัตริย์คนสำคัญในอดีต
ดังนั้นไม่ว่าโลกจะมองอย่างไร แต่สำหรับคนอุซเบกิสถานแล้ว คาริมอฟคือคนที่วางรากฐานความมั่นคง ความสงบสุข ความเป็นเอกภาพ และค่านิยมความรักชาติ (ที่ไม่ใช่ชาตินิยม) ให้กับอุซเบกิสถาน ส่วนประธานาธิบดีมีร์ซีโยเยฟ คือผู้ที่มาสานต่อและปฏิรูปในเวลาที่เหมาะสม
เหตุการณ์ประท้วงรุนแรงที่เมืองอันดิจาน ปี 2005
วันที่ 13 พฤษภาคม 2005 เกิดการประท้วงรัฐบาลที่เมืองอันดิจาน ทางตะวันออกของประเทศ ใกล้พรมแดนของประเทศคีรกีซสถาน เป็นเขตที่ถูกจับตามองจากทางการอุซเบกิสถาน เพราะเชื่อว่ามีกลุ่มต่อต้านรัฐบาลซึ่งมีแนวความคิดที่จะแยกตัวเป็นอิสระ อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวต่างๆ เชื่อว่าการประท้วงมีสาเหตุจากความไม่พอใจในการบริหารประเทศของประธานาธิบดีคาริมอฟ
นอกจากนี้ยังมีการเรียกร้องให้ทางการปล่อยตัวนักธุรกิจที่ถูกจำคุก 23 ราย ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกมุสลิมหัวรุนแรง โดยรายงานบางแหล่งระบุว่า คาริมอฟสั่งให้กองกำลังทหารเปิดฉากยิงใส่ผู้ประท้วงหลายพันคนในเมืองนี้ ซึ่งในการปะทะกันของกองทัพรัฐบาลกับผู้ชุมนุมประท้วง เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก รัฐบาลยืนยันจำนวนผู้เสียชีวิต 187 คน แต่รายงานขององค์กรสิทธิมนุษยชนบางแห่งระบุว่าจำนวนผู้เสียชีวิตอาจสูงถึง 1,500 คน
ทั้งนี้คนอุซเบกิสถานจำนวนหนึ่งมองว่ารัฐบาลมีความจำเป็นต้องใช้ความรุนแรงเนื่องจากมีกลุ่มติดอาวุธที่เคลื่อนไหวแบ่งแยกดินแดนอยู่เบื้องหลังและใช้ประชาชนเป็นโล่มนุษย์ รัฐบาลจึงไม่มีทางเลือกนอกจากการปราบปราม หากไม่แล้วคงเสียดินแดนและส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศระยะยาว
ภายหลังเหตุการณ์ดังกล่าว สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และ OSCE ได้เรียกร้องให้องค์การนานาชาติเข้าไปตรวจสอบ แต่ประธานาธิบดีคาริมอฟยืนยันว่าเป็นเรื่องภายใน สื่อบางสำนักรายงานว่ารัฐบาลได้จับกุมนักเคลื่อนไหวสิทธิมนุษยชน และควบคุมสื่อท้องถิ่น
คาริมอฟตอบโต้สหรัฐฯ ด้วยการออกคำสั่งให้ถอนฐานทัพสหรัฐฯ ที่ประจำอยู่ที่เมืองคาร์ชิ คานาบัด ซึ่งเป็นเมืองที่มีชายแดนติดอัฟกานิสถาน ต่อมาสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรปได้มีมติคว่ำบาตรอุซเบกิสถาน ทั้งนี้การลงโทษดังกล่าวส่งผลให้อุซเบกิสถานหันไปเพิ่มความใกล้ชิดกับรัสเซียและจีนมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์กับสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรปก็ได้รับการฟื้นฟูในภายหลัง เนื่องจากอุซเบกิสถานเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญในการทำสงครามต่อต้านการก่อการร้ายในอัฟกานิสถาน
การปฏิรูปประเทศภายใต้การนำของประธานาธิบดีชัฟคัต มีร์ซีโยเยฟ
ภายหลังการเสียชีวิตของประธานาธิบดีคาริมอฟในปี 2016 การเปลี่ยนผ่านอำนาจการปกครองประเทศเป็นไปอย่างราบรื่น เมื่อ ชัฟคัต มีร์ซีโยเยฟ ผู้เคยเป็นนายกรัฐมนตรี ถูกแต่งตั้งให้ทำหน้าที่รักษาการประธานาธิบดี จนกระทั่งได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีคนที่สองของอุซเบกิสถานและบริหารประเทศมาถึงปัจจุบัน มีร์ซีโยเยฟถือเป็นคนที่ใกล้ชิดกับคาริมอฟมากที่สุดคนหนึ่ง
ในยุคของมีร์ซีโยเยฟ เขาได้แสดงให้เห็นถึงความพยายามในการปฏิรูปประเทศด้านต่างๆ จนได้รับการกล่าวขานในวงกว้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความพยายามในการแก้ไขภาพลักษณ์ด้านสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพของประเทศ อาทิ การปล่อยตัวนักโทษทางการเมืองกว่า 30 คน การสั่งปิดคุก Jaslyk ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการทรมานและจำคุกผู้ที่วิจารณ์รัฐบาลอุซเบกิสถาน การให้เสรีภาพในการแสดงออกที่มากขึ้น การลดอำนาจฝ่ายความมั่นคงที่ถูกมองว่ากระทบสิทธิและเสรีภาพของประชาชน อีกทั้งการออกมาตรการต่อต้านการบังคับใช้แรงงาน เป็นต้น
ความพยายามเหล่านี้ได้ทำลายข้อครหาของคนนอกว่ามีร์ซีโยเยฟคือผู้สืบทอดอำนาจเผด็จการ เนื่องจากเขาเคยเป็นนายกรัฐมนตรีที่ถูกมองว่าเป็นมือขวาของอดีตประธานาธิบดีคาริมอฟ โดยในปี 2017 นักวิเคราะห์จากองค์กรสิทธิมนุษยชน (Human Rights Watch) กล่าวว่า “การปฏิรูปประเทศของมีร์ซีโยเยฟควบคู่กับการปรับปรุงความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านในเอเชียกลาง นำมาซึ่งความหวังถึงการเปลี่ยนแปลงของอุซเบกิสถานที่ไม่ได้เห็นมาเป็นเวลายาวนาน”
การเปิดประเทศสู่การค้าเสรีเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญต่อความสำเร็จในการปฏิรูปประเทศของประธานาธิบดีมีร์ซีโยเยฟ เขาตระหนักว่าอุซเบกิสถานอยู่ในภาวะที่เศรษฐกิจถดถอย จึงพยายามนำพาประชาชนเกือบ 33 ล้านคนให้หลุดพ้นจากความยากจนด้วยการเปิดประเทศเพื่อดึงดูดนักลงทุนประเทศต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐอเมริกา เห็นได้จากการลงนามข้อตกลงทางธุรกิจกับบริษัทอเมริกาเป็นมูลค่ากว่า 4.8 พันล้านดอลลาร์ อีกทั้งการที่ประธานาธิบดีมีร์ซีโยเยฟเดินทางไปเจรจากับประธานาธิบดีทรัมป์ที่ทำเนียบขาวในปี 2018 หรือการที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของอุซเบกิสถานเดินทางเยือนกองบัญชาการกลางของสหรัฐอเมริกา (CENTCOM) เพื่อหารือความร่วมมือทางทหารระหว่างกันในปี 2019 ชี้ให้เห็นถึงการเดินหน้าสานความสัมพันธ์กับสหรัฐอเมริกาอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกันความเหินห่างจากพันธมิตรเก่าแก่อย่างปากีสถาน ส่งผลให้สหรัฐอเมริกาต้องยอมรับว่าอุซเบกิสถานเป็นพันธมิตรที่จำเป็นในการทำสงครามต่อสู้กับกลุ่มติดอาวุธในอัฟกานิสถาน
การเลือกตั้งรัฐสภาโอลีย์และพรรคการเมืองของอุซเบกิสถาน
รัฐธรรมนูญปี 1993 กำหนดให้อุซเบกิสถานปกครองในระบอบประชาธิปไตยแบบสาธารณรัฐ มีประธานาธิบดีเป็นประมุข มีฝ่ายตุลาการที่ประกอบด้วยศาลฎีกา ศาลรัฐธรรมนูญ และศาลเศรษฐกิจ มีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร ปัจจุบันคือ อับดุลลา อารีพอฟ มีรัฐสภาโอลีย์ที่ประกอบด้วยวุฒิสภาจำนวน 100 ที่นั่ง (โดย 84 ที่นั่งได้รับเลือกโดยสภาระดับภูมิภาค มีวาระ 5 ปี และอีก 16 ที่นั่งได้รับการแต่งตั้งโดยประธานาธิบดี) และสภานิติบัญญัติ (สภาผู้แทนราษฎร) จำนวน 150 ที่นั่ง มาจากการเลือกตั้ง โดยมีวาระ 5 ปี
ตามรัฐธรรมนูญอุซเบกิสถาน กำหนดให้ประธานาธิบดี สมาชิกสภานิติบัญญัติ และสมาชิกสภาระดับท้องถิ่นต่างๆ ต้องมาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน โดยมีวาระการดำรงตำแหน่ง 5 ปี ผู้ที่มีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงคือพลเมืองทุกคนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ยกเว้นผู้ที่ได้รับการประกาศว่าเป็นบุคคลไร้ความสามารถโดยการตัดสินของศาล หรือรับโทษจำคุกสำหรับคดีร้ายแรง ทั้งนี้ผู้ที่อยู่ในศูนย์คุมขังก่อนการพิจารณาคดีมีสิทธิ์ลงคะแนน
วันที่ 22 ธันวาคมที่ผ่านมาเป็นการเลือกตั้งสมาชิกสภาโอลีย์ ควบไปพร้อมกับการเลือกตั้งสภาท้องถิ่นระดับอำเภอและจังหวัด ผู้มาออกเสียงเลือกตั้งจะได้รับบัตรลงคะแนน 3 ใบ ทุกใบเป็นกระดาษขนาด A4 ปรากฏข้อความรายละเอียดของพรรคการเมือง ผู้สมัคร และช่องลงคะแนนที่ชัดเจน
ในการเลือกตั้งครั้งนี้อุซเบกิสถานได้นำระบบทะเบียนอิเล็กทรอนิกสำหรับผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งมาใช้เป็นครั้งแรก ซึ่งตามข้อมูลของ กกต. ผู้มีสิทธิ์ออกเสียงที่ถูกขึ้นทะเบียนทั้งหมดมีประมาณ 20.5 ล้านคน มีหน่วยเลือกตั้งทั้งหมด 10,260 แห่ง ในจำนวนนี้ 55 แห่งเป็นหน่วยเลือกตั้งในต่างประเทศ ซึ่งทำให้การเลือกตั้งครั้งนี้มีผู้มาออกเสียงเป็นจำนวนมากถึงร้อยละ 71.1
การจัดการเลือกตั้งครั้งนี้ของอุซเบกิสถานภายใต้กฎหมายการเลือกตั้งใหม่เรียกได้ว่ามีความโปร่งใสและมีกระบวนการที่เป็นไปตามมาตรฐานสากล ทั้งนี้เพราะได้พัฒนาขึ้นมาจากคำแนะนำของหลายหน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็นสำนักงานเพื่อการพัฒนาสถาบันประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน (Office for Democratic Institutions and Human Rights) ขององค์การว่าด้วยความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป (OSCE), สมาคมเจ้าหน้าที่การเลือกตั้งโลก (World Association of Electoral Authorities) และองค์การความร่วมมือโลกอิสลาม (Organization of Islamic Cooperation)
ในการเลือกตั้งครั้งล่าสุดมีข้อกำหนดใหม่ๆ มากมายที่เอื้อต่อบรรยากาศที่เป็นธรรมและการแข่งขันที่เสรีระหว่างพรรคการเมืองต่างๆ ทั้งนี้เป็นครั้งแรกที่มีการยกเลิกการสำรองที่นั่งในสภา 15 ที่กับผู้แทนจากกลุ่มเคลื่อนไหวเพื่อการรักษาสิ่งแวดล้อมแห่งอุซเบกิสถาน (Ecological Movement of Uzbekistan) โดยให้กลุ่มนี้มีสถานะเป็นพรรคการเมืองหนึ่งที่ลงสนามเลือกตั้งร่วมกับพรรคอื่นๆ การเลือกตั้งครั้งนี้ยังกำหนดให้พรรคการเมืองต่างๆ ต้องมีตัวแทนผู้สมัครรับเลือกตั้งที่เป็นผู้หญิงจากพรรคของตัวเองไม่น้อยกว่าร้อยละ 30
พรรคการเมืองและผลการเลือกตั้ง
การเลือกตั้งวันอาทิตย์ที่ 22 ธันวาคม 2019 มีพรรคการเมืองที่แข่งขันกัน 5 พรรค ได้แก่
- The National Revival Democratic Party (NRDP) ‘Milliy Tiklanish’ มีสมาชิก 300,000 คน
- The People’s Democratic Party (PDP) มีสมาชิก 490,000 คน
- The Liberal Democratic Party of Uzbekistan (LDPU) มีสมาชิก 730,000 คน ซึ่งประธานาธิบดีมีร์ซีโยเยฟและคาริมอฟได้สังกัดอยู่กับพรรคนี้
- The Social Democratic Party Adolat (SDPA) มีสมาชิก 380,000 คน
- The Ecological Party (EP) มีสมาชิก 245,000 คน เป็นพรรคการเมืองและองค์กรเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมในอุซเบกิสถาน ก่อตั้งเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2008
พรรคการเมืองในประเทศอุซเบกิสถานสามารถแบ่งเป็นฝ่ายตามอุดมการณ์ได้ดังนี้ พรรค PDP และพรรค SDPA เป็นพรรคฝ่ายซ้าย ส่วนพรรค LDPU และ พรรค NRDP เป็นพรรคฝ่ายขวา ปัจจุบันพรรคฝ่ายขวามีเสียงข้างมากในรัฐสภา อย่างไรก็ตาม แม้พรรค LDPU และพรรค NRDP จะมีอุดมการณ์ไปในทางเดียวกัน แต่ก็มีบ้างที่วิจารณ์กันเอง เช่น พรรค LDPU กล่าวหาพรรค NRDP ว่าเลียนแบบอุดมการณ์และรูปแบบการรณรงค์หาเสียงจากพรรคการเมืองหนึ่งในประเทศตุรกี ในขณะเดียวกันพรรค NRDP ก็ได้ตอบโต้ว่าพรรค LDPU มีความเชื่อมโยงกับพรรคการเมืองหนึ่งในประเทศรัสเซียมากจนเกินไปเช่นกัน
คนอุซเบกิสถานให้ความสนใจกับการดีเบตนโยบายระหว่างพรรคการเมืองต่างๆ ทางทีวีมาก ไม่นิยมประท้วง หรือเดินขบวน หรือปราศรัยโจมตีกันในที่สาธารณะ ผมมีโอกาสซักถามถึงเนื้อหาของการดีเบตว่าพรรคการเมืองทั้งหลายวิจารณ์คู่แข่งกันหนักไหม มีการโจมตีกันเรื่องส่วนตัวบางไหม มีการขุดคุ้ยเรื่องส่วนตัวเหมือนที่เกิดขึ้นในหลายๆ ประเทศไหม คำตอบที่ได้คือไม่มี ส่วนใหญ่พรรคการเมืองจะเน้นนำเสนอนโยบายของตัวเองมากกว่า
หลังปิดหีบเลือกตั้งเวลา 20.00 น. แต่ละหน่วยจะนับคะแนนและส่งผลไปยังส่วนกลาง เช้าวันรุ่งขึ้นจะเป็นงานแถลงข่าวเกี่ยวกับการจัดการเลือกตั้ง ซึ่งองค์กรและผู้สังเกตการณ์ทั้งในและนอกประเทศจะมารวมตัวกัน ณ สถานที่จัดงานในเมืองหลวงทาชเคนต์ เพื่อรายงานสรุปผลการสังเกตการณ์ โดยในช่วงเย็น กกต. จะประกาศผลการเลือกตั้งเบื้องต้น
ในงานแถลงข่าว ผู้สังเกตการณ์เลือกตั้งจากหลายองค์กรสรุปไปในทิศทางเดียวกันว่า เป็นการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ ยุติธรรม โปร่งใส และเป็นประชาธิปไตย ไม่ว่าจะเป็นองค์กรความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ (Shanghai Cooperation Organization: SCO), กลุ่มประเทศเครือรัฐเอกราช (Commonwealth of the Independent States) ซึ่งเป็นกลุ่มความร่วมมือระดับภูมิภาคที่ประกอบขึ้นมาจากอดีตกลุ่มสาธารณรัฐสังคมนิยมรัฐโซเวียต
นอกจากนี้นิตยสารชื่อดังอย่าง The Economist ยังยอมรับว่า เป็นการเลือกตั้งที่มีความเป็นประชาธิปไตยมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ ผู้เขียนในฐานะที่เป็นหนึ่งในผู้สังเกตการณ์ก็เห็นไปในทิศทางเดียวกัน และยอมรับว่า กกต. ค่อนข้างให้อิสระในการทำงานกับผู้สังเกตการณ์ต่างชาติ สามารถเลือกเมืองที่จะไปสังเกตการณ์ได้เอง จะไปหน่วยเลือกตั้งไหนก็ได้ โดยจะมีคนขับรถพาตระเวนไปตามหน่วยต่างๆ สัมภาษณ์และพบปะพูดคุยกับประชาชนหรือหน่วยงานต่างๆ ได้หมด ทั้งหมดนี้แสดงถึงความโปร่งใสในกระบวนการเลือกตั้งได้เป็นอย่างดี ซึ่งระบุอยู่ในมาตรา 8 ของกฎหมายเลือกตั้ง นอกจากนี้ผู้สังเกตการณ์ยังได้รับสิทธิในการยื่นเรื่องร้องเรียนในกรณีที่พบเห็นความผิดปกติในกระบวนการเลือกตั้งต่อ กกต. หรือต่อศาลภายใน 10 วันหลังประกาศผล
ผลการเลือกตั้งใน 150 เขต ปรากฏว่าสามารถสรุปและประกาศผลได้ 128 เขต อีก 22 เขต มีผู้มาใช้สิทธิ์ไม่ถึงเกณฑ์ขั้นต่ำที่กำหนด จึงต้องจัดให้มีการเลือกตั้งรอบ 2 ในเขตที่เหลือ ในการเลือกตั้งสภาโอลีย์ครั้งที่แล้วเมื่อปี 2014 ก็เช่นกัน ที่มี 22 เขตต้องจัดการเลือกตั้งรอบ 2 เพราะจำนวนผู้มาใช้สิทธิ์ต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด
โดยผลการเลือกตั้งล่าสุดที่ประกาศแล้วมีดังนี้
1. พรรค The Liberal Democratic Party Uzbekistan ได้ 43 ที่นั่ง (เทียบกับการเลือกตั้งครั้งก่อนได้ 47 ที่นั่งในรอบแรก และเพิ่มอีก 5 ที่นั่งในรอบสอง รวมได้ 52 ที่นั่ง)
2. พรรค The National Revival Democratic Party ได้ 35 ที่นั่ง (เทียบกับการเลือกตั้งครั้งก่อนได้ 28 ที่นั่งในรอบแรก และเพิ่มอีก 8 ที่นั่งในรอบสอง รวมได้ 36 ที่นั่ง)
3. พรรค People’s Democratic Party ได้ 18 ที่นั่ง (เทียบกับการเลือกตั้งครั้งก่อนได้ 21 ที่นั่งในรอบแรก และเพิ่มอีก 6 ที่นั่งในรอบสอง รวมได้ 27 ที่นั่ง)
4. พรรค The Social Democratic Party Adolat ได้ 21 ที่นั่ง (เทียบกับการเลือกตั้งครั้งก่อนได้ 17 ที่นั่งในรอบแรกและ เพิ่มอีก 3 ที่นั่งในรอบสอง รวมได้ 20 ที่นั่ง)
5. พรรค Ecological Party ได้ 11 ที่นั่ง (ครั้งก่อนได้รับการสำรองที่นั่งไว้ 15 ที่นั่ง)
อย่างไรก็ตาม มีความเป็นไปได้สูงว่าพรรค LDPU ซึ่งเป็นพรรคที่ประธานาธิบดีมีร์ซีโยเยฟสังกัดจะชนะการเลือกตั้งอีกครั้ง ทั้งนี้อาจด้วยเหตุผลหลายประการ อาทิ ผลงานที่ผ่านมาของมีร์ซีโยเยฟตั้งแต่สมัยที่เป็นนายกรัฐมนตรียุคคาริมอฟ ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันในตำแหน่งประธานาธิบดี ประกอบกับนโยบายการปฏิรูปประเทศในหลายๆ ด้านของตัวเขาเองและของพรรคที่ให้ความสำคัญกับประชาธิปไตย การทำประเทศให้ทันสมัย พัฒนาศักยภาพพลเมืองสู่ตลาดแรงงานสากล โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปิดเสรีทางเศรษฐกิจ
ด้วยผลงานและการชูนโยบายต่อเนื่องเหล่านี้ ทำให้พรรค LDPU มีฐานเสียงหลากหลายกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นคนชั้นกลางและรากหญ้า นักธุรกิจ ผู้ประกอบการ และเกษตรกร เป็นต้น ผมมีโอกาสคุยกับนักธุรกิจอุซเบกิสถานที่เคยประกอบธุรกิจในต่างประเทศ แต่ตัดสินใจขนเงินกลับมาลงทุนในอุซเบกิสถานเพราะถูกใจนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดปัจจุบันภายใต้การนำของมีร์ซีโยเยฟ
ที่ผ่านมาอาจกล่าวได้ว่าอุซเบกิสถานสามารถประคองประเทศก้าวผ่านช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อของการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญๆ มาหลายยุคได้โดยราบรื่น ทั้งการเปลี่ยนผ่านสู่การเป็นประเทศเอกราชหลังยุคโซเวียต การปรับตัวในยุคหลังสงครามเย็น การเปลี่ยนแปลงถ่ายโอนอำนาจหลังยุคคาริมอฟสู่ยุคของมีร์ซีโยเยฟ ที่นำมาสู่การปฏิรูปประเทศในหลายๆ ด้าน
การเลือกตั้งล่าสุด ผลการเลือกตั้งอาจไม่สำคัญมากหากเทียบกับความสำเร็จอีกครั้งในหน้าประวัติศาสตร์ของการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคสมัยใหม่ที่เป็นประชาธิปไตยด้วยกระบวนการเลือกตั้งที่โปร่งใสและความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้ลบล้างภาพลักษณ์ในอดีตที่เคยถูกนำเสนอผ่านสื่อต่างชาติว่าไม่เป็นประชาธิปไตยไปได้อย่างสิ้นเชิง
หากจะสรุปภาพรวมพัฒนาการของอุซเบกิสถานในรอบเกือบสามทศวรรษที่ผ่านมาภายใต้การนำของประธานาธิบดีสองคนที่ได้รับความนิยมสูงในประเทศ อาจกล่าวได้ว่า 25 ปีของคาริมอฟ เขาคือผู้นำพาอุซเบกิสถานฝ่าคลื่นมรสุมการเปลี่ยนแปลงของโลกมาถึงศตวรรษที่ 21 อย่างราบรื่น วางรากฐานความสงบสุขและความเรียบร้อยภายในได้อย่างดี ทำให้อุซเบกิสถานวันนี้ติดอันดับประเทศที่ปลอดภัยและมีความสงบสุขมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ในขณะที่มีร์ซีโยเยฟคือผู้ที่เข้ามาสานต่อและปฏิรูปประเทศในช่วงเวลาที่เหมาะสม สร้างกระบวนการประชาธิปไตยที่เป็นที่ยอมรับในประเทศและในระดับสากล
ความสงบสุขเรียบร้อยภายในประเทศ ความเป็นเอกภาพ วัฒนธรรมการเมืองที่ไม่นิยมความรุนแรงและความแตกแยกของคนอุซเบกิสถาน การเลือกตั้งที่โปร่งใสและได้รับการยอมรับในระดับสากล จึงเป็นสัญญาณดีต่อการพัฒนาประเทศและการสร้างประชาธิปไตยที่ตั้งมั่นในอนาคต
ด้วยเหตุนี้ อุซเบกิสถานจึงเป็นประเทศหนึ่งที่ตอนนี้ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะนักธุรกิจนักลงทุนกำลังให้ความสนใจเป็นพิเศษในฐานะประเทศที่มีศักยภาพในการพัฒนาและมีทรัพยากรมากมาย ที่สำคัญคือกำลังเปิดเสรีทางเศรษฐกิจมากขึ้น ในทางการเมืองก็เป็นประเทศที่มีบทบาทสำคัญในเอเชียกลางและเป็นตัวผลักดันสำคัญให้เกิดความร่วมมือระดับภูมิภาค
ประเทศไทยโดยเฉพาะนักลงทุนไม่ควรมองข้ามโอกาสในการสานสัมพันธ์กับอุซเบกิสถานเป็นอย่างยิ่ง ปัจจุบันอุซเบกิสถานมีสถานกงสุลประจำกรุงเทพมหานคร หวังว่าในอนาคตเราจะมีสถานทูตไทยประจำอุซเบกิสถานเมื่อทั้งสองประเทศมีความสัมพันธ์กันมากยิ่งขึ้นทั้งในทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม
อ้างอิง:
- “ผู้นำอุซเบกิสถานลาโลกสะเทือนวงการ”. เดลินิวส์, https://www.dailynews.co.th/foreign/521316 (3 กันยายน 2559)
- “Uzbekistan profile-timeline”. BBC NEWS, https://www.bbc.com/news/world-asia-16218972 (8 May 2018)
- “Uzbekistan presidential election marked by lack of genuine political alternatives, legal and organizational shortcomings persist, say OSCE/ODIHR observers”. OSCE, https://www.osce.org/odihr/elections/uzbekistan/148161 (30 March 2015)
- “The Andijan Massacre Remembered”. Amnesty International, https://www.amnesty.org/en/latest/news/2015/07/the-andijan-massacre-remembered/ (2 July 2015)
- “Uzbekistan Events of 2017”. Human Rights Watch, https://www.hrw.org/world-report/2018/country-chapters/uzbekistan (19 September 2017)
- “Parliamentary elections in Uzbekistan”. Embassy of The republic of Uzbekistan to the republic of Latvia, https://uzbekistan.lv/en/parliamentary-elections-in-uzbekistan/ (18 July 2018)
- “Republic of Uzbekistan”. OSCE, https://www.osce.org/odihr/elections/uzbekistan/428687?download=true (28 August 2019)
- “Bickering Emerges on Uzbekistan’s Political Scene”. The Diplomat, https://thediplomat.com/2019/10/bickering-emerges-on-uzbekistans-political-scene/ (28 October 2019)
- “Uzbekistan set for general elections in December”. Asia Pacific, https://www.aa.com.tr/en/asia-pacific/uzbekistan-set-for-general-elections-in-december/1591609 (23 September 2019)
- “Uzbekistan’s Minister of Defense visits CENTCOM”. U.S. Central Command, https://www.centcom.mil/MEDIA/IMAGERY/igphoto/2002084349/
- “Remarks by President Trump and President Mirziyoyev of Uzbekistan Before Bilateral Meeting”. The White House, https://www.whitehouse.gov/briefings-statements/remarks-president-trump-president-mirziyoyev-uzbekistan-bilateral-meeting/ (16 May 2018)
- “Obituary: Uzbekistan President Islam Karimov”. BBC NEWS, https://www.bbc.com/news/world-asia-37218158 (2 September 2016)
- “EU eases Uzbek sanctions despite reporter’s jailing”. Reliefweb, https://reliefweb.int/report/uzbekistan/eu-eases-uzbek-sanctions-despite-reporters-jailing (13 October 2008)
- “The United States and Uzbekistan: Launching a New Era of Strategic Partnership”. The White Hose, https://www.whitehouse.gov/briefings-statements/united-states-uzbekistan-launching-new-era-strategic-partnership/ (16 May 2018)
- “Uzbekistan’s voters head to polls for parliamentary elections” Xinhua, www.xinhuanet.com/english/2019-12/22/c_138650101.htm
- “Uzbekistan announces preliminary results in parliamentary elections” Xinhua, http://www.xinhuanet.com/english/2019-12/23c_138652720.htm
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า