วันนี้ (22 เมษายน) ปริญญ์ พานิชภักดิ์ รองหัวหน้าพรรค และหัวหน้าทีมเศรษฐกิจทันสมัย พรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วย ดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้ร่วมกันแถลงข่าวเสนอมาตรการให้กระทรวงพลังงานช่วยดูแลผู้บริโภคทั้งในส่วนของค่าไฟฟ้าและค่าน้ำมัน เพื่อลดภาระความเดือดร้อนของภาคประชาชนในช่วงสถานการณ์โควิด-19 รวมถึงมาตรการอุดหนุนค่าใช้จ่ายภาคประชาชนคนละ 5,000 บาทแบบทั่วถึงคนทุกกลุ่ม
ปริญญ์กล่าวว่า จากสถานการณ์การระบาดโควิด-19 ในปัจจุบันที่ถือเป็นวิกฤตทางด้านสาธารณสุขที่ส่งผลกระทบต่อวิกฤตเศรษฐกิจที่ต้องช่วยแก้ปัญหาอย่างต่อเนื่อง มาตรการของภาครัฐที่ออกมา โดยเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวข้องกับทางด้านพลังงานในส่วนของการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนเรื่องการลดค่าไฟฟ้า โดยมาตรการการช่วยเหลือค่าไฟฟ้าแบบขั้นบันไดของกระทรวงพลังงานที่ได้ออกมาเมื่อวานนี้ (21 เมษายน) ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี แต่ยังอยากให้ช่วยเหลือภาคประชาชนมากไปกว่านี้ เนื่องจากมีต้นทุนที่ลดลง ส่วนหนึ่งมาจากเรื่องของราคาน้ำมันและก๊าซที่เป็นส่วนหนึ่งในการคิดค่า FT ก็ได้ลดลงมาก และสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบทั่วโลกก็ได้มีการปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง จนถึงติดลบจากดีมานด์ที่ลดลง และไม่มีสถานที่ในการจัดเก็บ เช่นน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ที่ติดลบในคืนวันที่ 20 เมษายนที่ผ่านมาจากสัญญา Futures เดือนพฤษภาคมที่จะหมดอายุลง ผู้ที่ถือสัญญาอยู่จะต้องส่งมอบน้ำมันที่สหรัฐอเมริกา แต่เนื่องจากสถานที่จัดเก็บในประเทศเต็ม จึงต้องขายสัญญาออกไปแบบติดลบ แม้จะกลับมาเป็นบวกอีกครั้งก็ตาม
ปริญญ์ยังกล่าวต่อด้วยว่า อยากให้หน่วยงานที่รับผิดชอบเรื่องการคิดค่า FT คือ สำนักงานคณะกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ออกมาเปิดเผยสูตรในการคิดแบบโปร่งใสว่าได้มีการปรับลดต้นทุนแล้วอย่างแท้จริง และเร่งรีวิวเรื่องค่า FT โดยไม่ต้องรอให้ถึงรอบแบบปกติ เพราะขณะนี้ประชาชนมีความเดือดร้อนมากจากค่าไฟฟ้าที่แพงขึ้น และรูปแบบการคิดค่าไฟแบบขั้นบันไดที่ทำให้ต้องจ่ายค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้นไปจากเดิมมาก จากการอยู่บ้านในช่วงฤดูร้อนซึ่งปกติจะเป็นช่วงที่มีการใช้ไฟฟ้ามากกว่าปกติอยู่แล้ว เพื่อให้ความร่วมมือกับภาครัฐ ในการช่วยลดการระบาดของโรคโควิด-19 และอยากขอความร่วมมือจากการไฟฟ้าให้ลดผลประโยชน์ในส่วนของตัวเองลงเป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ ร่วมกับพี่น้องประชาชน รวมเจรจากับคู่สัญญา อาทิ ผู้ที่ขายไฟฟ้าให้กับ กฟผ. ทั้ง IPP และ SPP ก็สามารถทำ CSR โดยการขายไฟฟ้าในราคาที่ถูกลงให้กับ กฟผ. เพื่อช่วยลดต้นทุน แม้จะมีสัญญาต่อกันแบบ Long Contract ก็ตาม หากร่วมมือร่วมใจกันช่วยเหลือกันทุกฝ่าย ก็น่าจะทำให้ปรับลดค่าไฟฟ้าได้มากกว่าที่ทางกระทรวงพลังงานออกมาตรการมา เพื่อแสดงให้เห็นถึงความจริงใจในการที่จะช่วยเหลือพี่น้องประชาชนอย่างแท้จริงจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง
“เรื่องราคาน้ำมัน ก็อยากให้ทางกระทรวงพลังงานช่วยพิจารณา แม้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกลดลง แต่โครงสร้างราคาน้ำมันบ้านเรายังมีเรื่องของภาษี และการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน จึงอยากขอให้ลดหรืองดการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อน แม้ปัจจุบันคนจะเดินทางลดลง แต่ยังต้องมีการใช้น้ำมันในภาคขนส่ง ซึ่งถ้าราคาลดลงได้อีกก็จะช่วยพี่น้องประชาชนได้ โดยเฉพาะกลุ่มเกษตรกรชาวสวนผลไม้ที่กำลังเดือดร้อนจากผลผลิตที่ออกมาล้นตลาด และจำเป็นต้องเร่งระบาย หากต้นทุนค่าขนส่งลดลงก็จะช่วยได้มาก” ปริญญ์กล่าว
ด้าน ดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า นอกเหนือจากมาตรการการช่วยลดภาระให้กับพี่น้องประชาชนจากค่าไฟฟ้าและค่าน้ำมันแล้ว อีกมาตรการหนึ่งที่มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่ากันคือการช่วยอุดหนุนในส่วนของรายได้ ทางทีมมีข้อเสนอที่ต้องการให้ภาครัฐโดยกระทรวงการคลังให้การช่วยเหลือแบบครอบคลุมทุกคนแบบทั่วถึงทุกกลุ่มอาชีพ โดยใช้เกณฑ์เรื่องของรายได้ ให้การช่วยเหลือสำหรับผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่า 1,000,000 บาทต่อปีทุกราย เป็นจำนวนเงินเดือนละ 5,000 บาท เป็นระยะเวลา 3 เดือน ตรวจสอบข้อมูลจากบัตรประชาชน และจ่ายเงินแบบโอนตรงเข้าบัญชี และอาจมีคำถามว่าในรายที่มีรายได้มากกว่า 1,000,000 บาทต่อปี หากตกงานจะทำอย่างไร ซึ่งคนกลุ่มนี้ก็จะสามารถไปใช้สวัสดิการผ่านระบบประกันสังคม เพื่อเป็นการช่วยเยียวยาได้เช่นกัน
“การช่วยเหลือแบบนี้ รัฐอาจมีภาระเรื่องงบประมาณ แต่ก็ถือว่าเป็นการใช้งบประมาณส่วนหนึ่งสำหรับการป้องกันโรคได้ด้วย จากการที่ประชาชนให้ความร่วมมืออยู่บ้าน ลดการติดเชื้อ เพื่อชาติ เพราะหากมีการติดเชื้อ ต้นทุนค่าใช้จ่ายในการรักษาต่อรายก็เป็นสัดส่วนที่มากกว่า การให้เงินอุดหนุนทุกคนแบบครอบคลุมจึงนับเป็นการช่วยชาติได้สองต่อ คือช่วยให้ประชาชนมีรายได้ และช่วยลดงบประมาณในการรักษาในกรณีที่มีการติดเชื้ออีกด้วย” ดรุณวรรณ กล่าวในที่สุด
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า
