*บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของซีรีส์*
หลังจากรอคอยกันมาอย่างยาวนานตั้งแต่มีการเปิดตัวนักแสดงไปเมื่อปีก่อน เวลาที่แฟนๆ ซีรีส์เฝ้ารอก็มาถึง เมื่อเอพิโสดแรกของ นิ่งเฮียก็หาว่าซื่อ ออกอากาศไปเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (19 กุมภาพันธ์) ซีรีส์วายเรื่องแรกจากค่ายมันดีเวิร์คก็ได้มอบประสบการณ์แปลกใหม่ให้กับผู้ชมได้ตั้งแต่เริ่มต้น
นอกจากเคมีของนักแสดงที่น่าจับตามอง ผู้ชมยังได้สัมผัสเรื่องราวโรแมนติกคอเมดี้ที่ช่วยเยียวยาจิตใจและทำให้อมยิ้มตามได้ตลอดเอพิโสดผ่านเสน่ห์ทางการแสดงที่น่าติดตาม งานภาพที่ทำให้เราประทับใจตั้งแต่วินาทีแรก และวิธีการเล่าเรื่องที่น่าสนใจ
ความพิเศษของซีรีส์วายเรื่องนี้คือพล็อตเรื่องที่โดดเด่นจากซีรีส์วายเรื่องอื่นๆ โดย นิ่งเฮียก็หาว่าซื่อ เป็นซีรีส์ที่ถูกดัดแปลงจากนิยายชื่อเดียวกันของ แบมแบม บอกเล่าถึงเรื่องราวของ เกื้อ กีรติ (นิว-ชวรินทร์ เพริศพิริยะวงศ์) และ เหลียน กิเลน หวัง (ซี-พฤกษ์ พานิช) ที่ถูกหมั้นหมายกันตั้งแต่ในวัยเด็ก นอกจากการถ่ายทอดมุมมองความรักของผู้ชายสองคน ด้านผู้กำกับ อ๊อฟชั่น-กิตติพัฒน์ จำปา ยังต้องการผลักดันให้ซีรีส์เรื่องนี้เป็นตัวแทนในการสื่อสารเพื่อกลุ่ม LGBTQ+ และสนับสนุนการสมรมเท่าเทียมด้วยเช่นกัน
ต้นเอพิโสดเปิดมาด้วย Opening Scene ที่แสดงให้เห็นถึงธีมหลักของเรื่อง ซึ่งว่าด้วยการแต่งงานและความหลากหลายของความรักได้อย่างชัดเจน ด้วยภาพของเกื้อกำลังเดินอยู่บนท้องถนนในกรุงเทพฯ โดยผู้คนที่เดินผ่านไปมามีทั้งคู่รักชายหญิง ชายชาย และหญิงหญิง พร้อมกับเสียงในหัวของเกื้อซึ่งกำลังนึกถึงคำสัตย์สาบานในงานแต่งที่เราคุ้นหูกัน
“To have and to hold from this day forward.
For good, for worse, for richer, for poorer.
In sickness and health, until the death do us part”
อีกนัยหนึ่งฉากของคู่รักที่หลากหลายและคำมั่นสัญญาในงานแต่ง กำลังสะท้อนถึงความเท่าเทียมในการสมรสที่ทุกเพศควรได้รับ ซึ่งเป็นแก่นเรื่องหลักของซีรีส์ที่พยายามนำเสนอให้กับผู้ชม
สิ่งที่ค่อนข้างน่าสนใจคือการร้อยเรียงตอนต้นของเอพิโสดแรกออกมาให้เราได้ทำความรู้จักสองตัวละครหลักอย่างรวดเร็วในเวลาเพียง 5 นาที ด้วยการค่อยๆ เผยให้เห็นภาพในชีวิตประจำวันของ เกื้อ กีรติ คุณหนูตระกูลดังเก่าแก่ของประเทศไทย และ เหลียน กิเลน หวัง ลูกชายของครอบครัวเชื้อสายจีนที่ย้ายมาอาศัยอยู่ในไทย จากเสื่อผืนหมอนใบก็ทำธุรกิจจนประสบความสำเร็จกลายเป็นนักธุรกิจหมื่นล้าน
ทั้งสองครอบครัวรู้จักกันตั้งแต่เหลียนยังเด็ก ในวันที่เกื้อลืมตาดูโลกก็มีเหลียนอยู่ข้างๆ ตั้งแต่ตอนนั้น เขาจึงเป็นทั้งเพื่อน พี่ชาย และคนที่คอยดูแลเกื้อมาตั้งแต่เด็ก อีกทั้งคุณตาของเกื้อยังเป็นผู้มีพระคุณของครอบครัวเหลียน จากการฝากฝังให้เขาช่วยดูแลเกื้อก็กลายเป็นสัญญาทางใจให้ทั้งสองคนหมั้นกันตั้งแต่เด็ก
แม้จะเป็นเพียงสัญญาปากเปล่าที่ไม่ได้มีลายลักษณ์อักษร แต่ทั้งสองครอบครัวก็ยึดมั่นในคำสัญญานั้นมาตลอดโดยที่เกื้อเองก็เต็มใจ เพราะเขารักและผูกพันธ์กับเหลียนมาตั้งแต่เกิด ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเกื้อจึงพยายามทำตัวน่ารัก เรียบร้อย ให้สมกับการเป็นลูกชายตระกูลเก่าแก่ เพื่อสร้างความประทับใจให้คู่หมั้นของตนเองเสมอ
รู้ตัวอีกทีเกื้อก็ได้ปิดบังตัวตนที่ต่างกันสุดขั้วเอาไว้ โดยที่อีกฝ่ายไม่เคยมีโอกาสได้สัมผัสตัวตนที่แท้จริงของเขาเลยสักครั้ง
ความจริงแล้ว เกื้อ กีรติ เป็นเด็กหนุ่มที่ชื่นชอบกิจกรรมโลดโผนอย่างการขี่ซูเปอร์ไบค์ เขาเรียนวิศวกรรมยานยนต์แต่ก็โกหกเหลียนว่าตัวเองเรียนอยู่สาขาคอมพิวเตอร์ เพราะกลัวอีกฝ่ายจะรับไม่ได้ที่ลูกคุณหนูอย่างเกื้อจะมาหน้าคลุกฝุ่นหรือเปื้อนน้ำมันทุกวัน
นอกจากนั้นเกื้อยังชื่นชอบการทานหมูกระทะ ปิ้งย่าง ไม่ได้ชอบทานอาหารร้านหรูอย่างที่ต้องไปเดตกับคู่หมั้นทุกคืนวันศุกร์ และเขามีงานอดิเรกคือการเป็นนักร้องและมือกลองที่บาร์ลับย่านทองหล่อ
แต่ทุกครั้งที่ต้องไปพบเหลียน จาก ‘ไอเกื้อ’ ของเพื่อนๆ ก็จะแปลงร่างกลายเป็น ‘หนูเกื้อ’ สวมชุดสูทสีอ่อน พูดจาสุภาพเรียบร้อย เพื่อไปดินเนอร์ในร้านอาหารหรูที่เขาไม่ได้ชื่นชอบ แม้จะอึดอัดเพราะต้องปิดบังตัวตนที่แท้จริง แต่เกื้อก็ยอมอดทนมาโดยตลอดเพื่อที่จะสร้างความประทับใจให้กับคนที่ตัวเองรัก
ความน่าสนใจอีกอย่างคือการใช้ภาษาภาพในการเสริมคาแรกเตอร์ของตัวละครให้เด่นชัดมากขึ้น เช่น การจับคู่สีตรงกันข้ามของเกื้อ โดยในทุกฉากที่เกื้อเป็นตัวของตัวเอง เขามักจะสวมเสื้อผ้าสีแดง หรือแม้แต่ของใช้ส่วนตัวอย่างเคสโทรศัพท์ที่พกติดตัวก็ยังเป็นสีแดง สื่อถึงอุปนิสัยมั่นใจ มีชีวิตชีวา แต่ก็ตรงไปตรงมาและใจร้อนในบางครั้ง ในขณะที่เมื่อต้องกลายเป็นหนูเกื้อ เสื้อผ้าที่เขาสวมใส่มักจะเป็นสีครีม สื่อถึงภาพลักษณ์ที่สุภาพและอ่อนโยน
ในขณะที่เหลียนมักจะสวมเสื้อผ้าสีเทาหรือสีดำเป็นส่วนใหญ่ สื่อถึงความมั่นคง สงบนิ่ง แต่ในขณะเดียวกันก็ลึกลับและคาดเดาได้ยาก อย่างที่เราจะพบว่าในเอพิโสดแรกทั้งเกื้อและผู้ชมจะรู้สึกไม่เข้าใจในการกระทำของเหลียนอยู่บ่อยครั้ง
“บอกที่เพนตากอนด้วยว่าวันนี้ผมจะเข้าไป 4 ทุ่ม 15”
นอกจากนี้ระหว่างการดำเนินเรื่องยังมีการสอดแทรกบทสนทนาเล็กๆ น้อยๆ อย่างการนัดหมายของเหลียน ที่เขามักระบุเวลาเป็นเศษนาทีอย่างชัดเจน ยิ่งช่วยเสริมภาพความเป็นเพอร์เฟกต์ชันนิสต์ให้กับตัวละครได้อย่างดี
ทั้งนี้ สิ่งที่น่าชื่นชมเป็นอย่างมากและไม่พูดถึงไม่ได้คืองานภาพ ที่ทำให้เราเพลิดเพลินได้ตั้งแต่วินาทีแรก รวมถึงจังหวะการตัดต่อที่สอดรับไปกับจังหวะการหยอดมุกในแต่ละฉากได้อย่างดี แม้แต่ในฉากจริงจังหรือดราม่าก็ยังมีกลิ่นอายของความคอเมดี้ให้ผู้ชมได้รู้สึกผ่อนคลายอยู่เสมอ
ความตั้งใจของผู้กำกับในการผลิตซีรีส์เรื่องนี้เพื่อเป็นกระบอกเสียงให้ LGBTQ+ ถูกถ่ายทอดและสื่อสารออกมาอย่างชัดเจนตั้งแต่ในเอพิโสดแรก ด้วยตัวละครเหลียนที่กล่าวตำหนิตัวแทนบริษัทเอเจนซีที่กำลังเล่าถึงแนวคิดของโฆษณาน้ำดื่มตรากิเลน ซึ่งเป็นหนึ่งในธุรกิจของเขา
“ผมว่ามันหมดยุคแล้ว การที่เอาคนที่เป็น LGBTQ+ มาแสดงแต่ด้านตลกด้านเดียว ความคิดมัน Cliche เกินไป”
นับเป็นบทพูดเล็กๆ ที่สะท้อนถึงความพยายามในการเปลี่ยนแปลงภาพจำเก่าๆ ที่สื่อเคยผลิตซ้ำในอดีต
“มึงก็รู้ป่ะว่าการหมั้นของมึงกับหนูเกื้อ มันไม่ Valid กันทางกฎหมายอยู่แล้ว”
แม้แต่ในบทสนทนาของเหลียนกับ อี้ (แม็ค-ศรัณย์ รุจีรัตนาวรพันธ์) เพื่อนสนิทของเขาที่เอ่ยเตือนถึงการหมั้นระหว่างเขาและเกื้อ ว่าสุดท้ายการหมั้นในครั้งนี้ก็เป็นเพียงสัญญาปากเปล่า ไม่ได้มีผลในทางกฎหมาย ยิ่งสะท้อนภาพความจริงในสังคมไทยที่กฎหมายในตอนนี้ยังไม่สามารถรองรับความรักที่หลากหลายของผู้คนในสังคมได้
เอพิโสดแรกของ นิ่งเฮียก็หาว่าซื่อ นับเป็นก้าวใหม่ที่น่าจับตามองของวงการซีรีส์วาย ทั้งงานโปรดักชันที่แฟนซีรีส์ต่างชื่นชม เสน่ห์ของนักแสดงที่ดึงดูดให้เราอยู่กับเนื้อเรื่องได้ตั้งแต่ต้นจนจบ และจังหวะการเล่าเรื่องแบบโรแมนติกคอเมดี้ที่ทำออกมาได้อย่างลงตัว
รวมทั้งการนำผู้ชมเข้าไปสำรวจชีวิตและการแต่งงานที่ไม่เท่าเทียมของคู่รักหลากหลายเพศ ถือเป็นก้าวใหม่ของซีรีส์วายที่กำลังเป็นกระบอกเสียงสำคัญในการสื่อสารเพื่อ LGBTQ+ อย่างแท้จริง
นิ่งเฮียก็หาว่าซื่อ ออกอากาศทางช่อง Workpoint TV ทุกวันเสาร์ เวลา 22.30 น. และสามารถรับชมย้อนหลังได้ทาง YouTube เวลา 23.30 น.